หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 262 เส้นทางเดินของจวนซู่เฉิงโหว (1)
กระทั่งแม้แต่มู่หรงจ้าวที่ระยะนี้ผงาดอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดยังแสดงท่าทีเห็นพ้องตามไปด้วย หลังจากที่ช่วงนี้เขาจัดการธุระไปหลายเรื่อง มู่หรงจ้าวที่ถูกมองเป็นเด็กในเดิมทีกลับได้รับความสนใจและคำชื่นชมจากคนมากมายพอสมควร มู่หรงจ้าวย่อมกระตือรือร้นมากเป็นธรรมดา เขากอบโกยคุณงามความดีที่ช่วยพลิกคดีให้ตระกูลกู้มาไว้ที่ตนโดยไม่สนใจสีหน้าย่ำแย่ของเสด็จพ่อและสายตาที่ท่านตาส่งมาให้อย่างไม่หยุดหย่อนแม้แต่น้อย
ในระหว่างนี้ท่าทีของมู่หรงเสียกลับแปลกไปมาก มู่หรงเสียยืนกรานคัดค้านฮ่องเต้ไม่ให้ออกสาส์นสำนึกผิด อีกทั้งยังบอกว่าความผิดทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความอกตัญญูขององค์ชายและไม่ตระหนักถึงความรักใคร่ของเสด็จพ่อ ถึงแม้เชื้อพระวงศ์ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องของตระกูลกู้ แต่ความผิดไม่ได้อยู่ที่เสด็จพ่อ ถึงแม้เสด็จพ่อจะยอมแบกรับความผิดนี้แทนองค์ชายโดยออกสาส์นสำนึกผิดในเวลานี้ แต่จะเป็นการทำลายชื่อเสียงในเรื่องพระปรีชาสามารถของเสด็จพ่อมากกว่า ฉะนั้นจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! องค์ชายผู้นี้…ย่อมหมายถึงมู่หรงอวี้ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่แล้ว
ฉันพลันฮ่องเต้ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็แววตาเปล่งประกาย ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมองบุตรชายที่มักแสดงท่าทีนิ่งขรึมและสุขุมคนนี้เข้าตาเท่าวันนี้มาก่อนเลย จากนั้นก็รีบเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จื้ออ๋องคิดว่าควรทำเช่นไรหรือ”
มู่หรงเสียเอ่ยกราบทูลด้วยท่าทีนอบน้อม “ลูกคิดว่าควรไล่แต่งตั้งยศให้กู้เซียงและเหล่าคนในตระกูลกู้ตามหลัง นอกจากนี้ก็ให้องค์ชายทุกคนร่วมจัดพิธีรำลึกถึงดวงวิญญาณของกู้เซียงด้วยตัวเองแทนเสด็จพ่อโดยกล่าวแสดงคำเทิดทูนของเสด็จพ่อด้วย”
ถึงแม้การแต่งตั้งยศให้กู้มู่เหยียนจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวารู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรกู้มู่เหยียนก็ถือว่าเคยเป็นพ่อตาของตน อีกอย่างวิธีการที่มู่หรงเสียเสนอก็ลดผลกระทบลงจนเหลือน้อยที่สุดแล้วจริงๆ อีกทั้งเป็นวิธีการกอบกู้ชื่อเสียงให้คนในเชื้อพระวงศ์ได้มากที่สุดแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้า ตรัสขึ้นพลางสะบัดแขนเสื้อ “จัดการตามนี้! ตอนนี้มอบหมายให้จื้ออ๋องเป็นฝ่ายจัดการก็แล้วกัน ส่วนเรื่องแต่งตั้งยศให้ตระกูลกู้ฝ่ายกรมพิธีการก็ไปหารือตามกฎมา เอาตามนี้ เลิกการประชุม!” ครั้นตรัสจบก็ไม่รอให้เหล่าขุนนางได้สติ ฮ่องเต้แคว้นหวาก็โบกมือแล้วลุกขึ้นกลับพระตำหนักไปแล้ว
จากนั้นก็ทิ้งให้เหล่าข้าหลวงค่อยๆ สบตามองหน้ากัน โดยเฉพาะขุนนางใหญ่และพวกมู่หรงจ้าวที่ถูกฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองด้วยสายตาเย็นยะเยือกตอนเสด็จกลับ เวลานี้พวกเขาถึงรู้สึกตัว เดิมทีสาส์นสำนึกผิดที่ฝ่าบาทตรัสถึงอะไรนั่นก็แค่เกริ่นถึงเท่านั้น แบบนี้ไม่ใช่การปั่นหัวพวกเขาหรอกหรือ
มู่หรงจ้าวขึงตาดุดันใส่มู่หรงเสียแวบหนึ่ง คนต่ำต้อย! ขี้ประจบประแจง!
ครั้นเห็นแววตาแค้นเคืองที่น้องเจ็ดส่งมา มู่หรงเสียกลับพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วหมุนตัวกลับจวนไป
ไม่นานผลเรื่องการไล่แต่งตั้งยศให้คนในตระกูลกู้ก็ออกมาแล้ว อัครเสนาบดีกู้มู่เหยียนถูกแต่งตั้งเป็น ‘จงอี้กง’ บุตรชายทั้งสอง ฮูหยิน สะใภ้ กระทั่งกู้อวิ๋นเกอและกู้ซิ่วถิงต่างได้รับการแต่งตั้งทั้งสิ้น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่เหลือคนในตระกูลกู้อยู่สักคน ไล่แต่งตั้งยศคนตั้งมากมายแต่ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวแล้วเหตุใดจะไม่อยากแต่งตั้งเล่า แม้แต่เรื่องบูรณะสุสานใหม่ให้เหล่าตระกูลกู้ยังไม่ต้องใช้เงินตำลึงของราชสำนักสักนิด สมบัติตระกูลกู้ที่ถูกยึดมาในตอนนั้นเอามาใช้บูรณะสุสานก็ยังเหลือไม่รู้ตั้งเท่าไร
มีเพียงเว่ยหลีแห่งจวนแม่ทัพใหญ่และมู่หรงจ้าวที่กระตุกยิ้มมุมปากให้กับการไล่แต่งตั้งยศให้กู้ซิ่วถิง คนยังไม่ตายเลย ไล่แต่งตั้งยศบ้าบออะไรกัน
ในจวนสกุลจัง มู่ชิงอีโยนแผ่นประกาศที่อยู่ในมือทิ้งลงบนพื้นด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันมามองกู้ซิ่วถิงที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อีกฝั่ง “ฮ่องเต้แคว้นหวาเชื่อว่าพี่ใหญ่ตายแล้วจริงๆ น่ะหรือ”
กู้ซิ่วถิงยักคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “คงอย่างนั้น หรือบางทีเขาอาจคิดว่าต่อให้ข้าตายหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกระมัง” ในสายตาของฮ่องเต้แคว้นหวา คุณชายใหญ่ของตระกูลกู้เป็นเพียงคุณชายใบหน้าหล่อเหลาที่มีความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อเวลานี้ตระกูลกู้ล่มสลายไปแล้ว กู้ซิ่วถิงจะตายหรือรอดกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยจริงๆ
มู่ชิงอีปิดปากยิ้มกล่าว “ฉังหนิงโหว…เหอะๆ ช่างใจใหญ่อย่างหาได้ยากจริงๆ พระองค์ทรงแต่งตั้งยศกั๋วกงสามตำแหน่งในคราวเดียวเชียว” ฮ่องเต้แคว้นหวาใจกว้างเฉพาะกับคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากตระกูลกู้ยังอยู่ล่ะก็ ต่อให้ทุกคนในตระกูลกู้จะรับใช้ฮ่องเต้แคว้นหวาจนเหนื่อยแทบตายก็อย่าได้คิดจะได้ตำแหน่งอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งตั้งถึงสามตำแหน่งในคราวเดียวด้วยซ้ำ
กู้ซิ่วถิงกลับไม่ใส่ใจนัก เลิกคิ้วเอ่ย “ฮ่องเต้แคว้นหวาส่งคนออกมาตามหาเจ้า ระยะนี้เจ้าต้องระวังตัวหน่อยล่ะ” ไม่เพียงแค่ส่งคนมาเท่านั้น แต่คนที่ถูกส่งมากลับเป็นเนี่ยอวิ๋นเสียด้วย อีกทั้งเซ่าจิ่นยังส่งคนมาช่วยเสริม เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นหวาให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยขององค์หญิงหมิงเจ๋อมาก
มู่ชิงอียิ้มตาหยีเอ่ย “รูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้ พี่ใหญ่มองออกหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงกวาดตามองสำรวจรอบหนึ่ง ต้องยอมรับว่าการแต่งตัวพรางกายของน้องสาวตนประสบความสำเร็จมากจริงๆ เพราะสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าหล่อเหลาเหนือใคร กระทั่งท่วงท่ากิริยากลับไม่มีความขัดเขินและระมัดระวังตัวอย่างที่สตรีมักจะมีเลยสักนิด หากเจอกันครั้งแรก กู้ซิ่วถิงไม่มีทางคิดว่านี่เป็นน้องสาวของตนหรือกระทั่งเป็นสตรีคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมู่ชิงอี
“สองวันนี้ ฮ่องเต้แคว้นหวาน่าจะเตรียมจัดการมู่ฉังหมิงแล้ว เจ้ามีความคิดเห็นเช่นใดบ้างหรือ” กู้ซิ่วถิงเอ่ยถาม
มู่ชิงอีไม่เข้าใจนัก “เหตุใดข้าต้องมีความคิดเห็นใดด้วยหรือ” นางไม่ใช่อีเอ๋อร์จริงๆ สักหน่อย นางต้องมีความเห็นอกเห็นใจรักใคร่หรือความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาอะไรทำนองนั้นด้วยหรือ เหตุที่นางไม่ได้ลงมือจัดการมู่ฉังหมิงเองเพราะนางไม่ชอบความรู้สึกลงมือเองแบบนั้นต่างหาก อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นนั้นด้วย
กู้ซิ่วถิงเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็ส่ายศีรษะ ชิงอีพูดไม่ผิดเลย สำหรับพวกเขาแล้วมู่ฉังหมิงเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง ต่อให้เป็นเมื่อก่อนเขาก็เป็นเพียงอาเขยเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้น้องสาวจะใช้ร่างของมู่ชิงอีอยู่ แต่ว่า…ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความกตัญญูแทนสักหน่อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมู่ฉังหมิงไม่คู่ควรกับความกตัญญูของมู่ชิงอีเลยสักนิด เขาติดค้างคนตระกูลจังตั้งสามชีวิตด้วยซ้ำ
ต่อจากนี้ชิงอีน่าจะไม่ใช้สถานะของมู่ชิงอีปรากฏตัวในเมืองหลวงอีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ลงมือฆ่ามู่ฉังหมิงเองแล้วจะอย่างไรเล่า
แน่นอนว่ากู้ซิ่วถิงย่อมไม่อยากให้น้องสาวของตนต้องมือแปดเปื้อนเลือดอีก
“ข้าคิดมากไปเอง”
มู่ชิงอีเอนกายแนบหัวลงบนไหล่ของพี่ชายอย่างสนิทสนมก่อนกล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้สึกแย่บ้างก็จริง แต่ไม่ใช่เพราะมู่ฉังหมิง แต่เพราะอีเอ๋อร์ นาง…” กู้ซิ่วถิงเองก็รู้ว่าเหตุใดน้องสาวของตนถึงได้มามีชีวิตใหม่ในร่างของลูกพี่ลูกน้องหญิงผู้นี้ เขาจึงทำได้แค่ถอนหายใจเสียงเงียบ
“แต่ว่าข้าก็ยังต้องไปเจอมู่ฉังหมิงสักหน่อย” มู่ชิงอียกยิ้มเย็นชาที่มุมปากพลางเอ่ยเสียงเบา
กู้ซิ่วถิงลูบไล้เส้นผมนุ่มลื่นพลางขมวดคิ้วกล่าว “ตอนนี้มู่ฉังหมิงถูกขังอยู่ในคุกเทียนสวรรค์ หากเจ้าไปเจอเขาจะอันตรายเกินไป” ก่อนหน้านี้ตอนเป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อยังไปโดยเปิดเผยตัวตนได้ แต่ตอนนี้นางคือจังชิง แล้วจะใช้สถานะใดไปเจอมู่ฉังหมิงเล่า
มู่ชิงอีกัดเล็บพลางขบคิดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นหวาคงไม่ฆ่ายกครัวแน่นอน เพราะเขายังต้องรักษาชื่อเสียงไว้บ้าง มีความเป็นไปได้สูงมากที่มู่ฉังหมิงจะถูกฆ่าตายอย่างเงียบๆ แต่…ข้าไม่อยากให้เขาตายง่ายดายขนาดนั้น”
กู้ซิ่วถิงมองน้องสาวที่เผยสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็แค่พาตัวเขาออกมาก็สิ้นเรื่องแล้ว” ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากมู่ฉังหมิงหายตัวไปแล้วจะทูลรายงานกับฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างไรย่อมไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องยุ่งด้วยแล้ว
“แล้วจะเสี่ยงเข้าไปในคุกเทียนสวรรค์ด้วยเรื่องเล็กแค่นี้หรือเจ้าคะ” มู่ชิงอีเบิกตากว้าง
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วเอ่ยยิ้มด้วยรอยยิ้ม “มีคนบอกว่ายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อน้องสาวของข้า คอยรับใช้ดั่งม้ารักเจ้านายมิใช่หรือ ข้าก็ให้โอกาสเขาแสดงให้เห็นแล้วอย่างไรเล่า”
มู่ชิงอีหมดคำพูดไปชั่วขณะ
ยามที่หรงจิ่นได้ยินเรื่องนี้กลับไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจเฉกเช่นเดียวกับมู่ชิงอีแต่อย่างใด ทว่ากลับเสนอว่าจะถือโอกาสนี้พาตัวคนในตระกูมู่ที่เหลือออกมาให้ชิงชิงระบายอารมณ์พร้อมกันเลยดีหรือไม่อย่างกระตือรือร้น ราวกับพอระบายอารมณ์เสร็จก็จับยัดกลับไปก็สิ้นเรื่องแล้ว