หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 255 การล่มสลายของจวนกงอ๋อง (1)
ตกกลางดึก หรงจิ่นนอนหลับไม่สนิทนักเพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว กระทั่งระหว่างสลบไสลยังไอออกมาเป็นเลือดจนทำเอามู่ชิงอีตกใจแทบแย่ ตลอดกลางดึกนั้นมู่ชิงอีไม่แม้แต่จะหลับตานอน นางฉีกชายผ้าเนื้อบางของตัวเองแล้วซักให้สะอาดก่อนนำมาเช็ดเหงื่อซับหน้าลดไข้ให้เขา สักพักเดี๋ยวก็ป้อนน้ำให้เขา เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้จนกระทั่งเกือบฟ้าสว่าง หรงจิ่นถึงอาการค่อยๆ สงบลงบ้าง
เพียงแต่มือของเขาเอาแต่ดึงชายผ้าของนางไว้ไม่ปล่อยจึงทำให้นางทำอะไรได้อย่างจำกัดโดยห่างจากเขาได้ไม่ไกลนัก ขอแค่นางคิดจะขัดขืนดันเขาออก หรงจิ่นก็จะเริ่มชักกระตุกนอนหลับไม่สนิทและเสียงหายใจเริ่มหอบถี่จนทำเอามู่ชิงอีตกใจจนไม่กล้าขยับไปไหน ซ้ำยังต้องปล่อยให้เขาดึงนางไว้เช่นนั้น
“หากองค์ชายหายแล้ว หม่อมฉันไม่มีเรื่องใดแล้ว รอแคว้นหวาจบเรื่อง หม่อมฉันจะตามองค์ชายไปแคว้นเย่ว์ด้วยแล้วกัน” ในศาลซอมซ่อริมแม่น้ำอันว่างเปล่า หญิงสาวร่างกายมอมแมมก้มหน้ามองบุรุษร่างกายมอมแมมเช่นเดียวกันซึ่งกำลังนอนสลบไสลอยู่บนพื้นพลางเอ่ยเสียงเบา
มู่ชิงอีไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่ว่าแผนการที่แท้จริงของหรงจิ่นคืออะไร แต่เขาพยายามทุ่มเทช่วยนางทุกอย่างจริงๆ กระทั่งเมื่อคืนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานคนหนึ่ง มู่ชิงอีเคยถามตัวเองซึ่งนางคงทำไม่ได้เช่นนี้ด้วยซ้ำ รอนางแก้แค้นให้ท่านปู่ ท่านพ่อท่านแม่และพี่สะใภ้แล้ว นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนควรทำเช่นไรต่อ หากการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทแคว้นเย่ว์คือความปรารถนาของหรงจิ่น แล้วเหตุใดจะช่วยเขาสักหน่อยไม่ได้เล่า
มู่ชิงอีมองกองไฟที่มอดลงก่อนค่อยๆ เติมฟืนใส่เข้าไปด้วยท่าทีสงบพลันลอบตัดสินใจในใจไปด้วย จากนั้นก็พิงกายบนร่างบุรุษที่กำลังหลับใหลบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าจนหลับไปพร้อมกับสภาวะจิตใจที่ฟุ้งซ่าน
ยามที่ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อย ในที่สุดกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีที่ถูกอู๋ซินพาตัวมาก็ตามหามู่ชิงอีและหรงจิ่นจนเจอ เพียงแค่ย่างกรายเข้ามาในศาลผุพังแห่งนี้ ภาพเบื้องหน้ากลับทำเอาใบหน้าแสนหล่อเหลาของกู้ซิ่วถิงขรึมลงชั่วขณะ
กองไฟที่ค่อยๆ มอดลงแต่ทิ้งความอบอุ่นไว้บ้าง หญิงสาวในชุดสีขาวร่างกายมอมแมมนอนแนบกายบุรุษที่มีชุดผ้าแพรสีดำคลุมอยู่พลางหลับสนิท เมื่อคืนพวกเขาลำบากกันมาทั้งคืนจริงๆ แม้แต่หญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้วงฝันยังขมวดคิ้วงามมุ่นมิคลาย
อีกทั้งแขนข้างหนึ่งของบุรุษผู้นั้นยังโอบเอวของหญิงสาวชุดขาวราวกับปกป้องไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง พวกเขาทั้งสองสวมชุดดำหนึ่งคนและสวมชุดขาวหนึ่งคน อีกทั้งเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมเหมือนกัน บุรุษมีใบหน้าหล่อเหลาเหนือใคร ส่วนหญิงสาวเองก็งดงามไร้ใครเทียม ยากนัก…หากไม่ให้คนอื่นคิดเลยเถิด
ถึงแม้จะรู้จักน้องสาวของตนดีว่าไม่มีทางทำเรื่องบัดสีอะไรในสถานที่แบบนี้ แต่คุณชายซิ่วถิงก็สัมผัสได้ว่าเส้นเลือดสีเขียวตรงหน้าผากของตนกำลังเต้นตุบๆ อย่างเริงร่าอยู่
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาด้านใน หรงจิ่นก็ลืมตาขึ้นพร้อมแสงเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากมีดซิวหลัว หลังจากเห็นชัดเจนว่าใครมาเยือนถึงปล่อยมือไม่เอาออกมาจากแขนเสื้อ
“ชิงชิง ตื่นเถิด”
มู่ชิงอีขยับตัวแล้วเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็อดชะงักให้กับแววตาเปื้อนยิ้มของหรงจิ่นไม่ได้ เวลานี้ถึงเห็นว่าตนกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของหรงจิ่นอยู่จึงรีบผลักหรงจิ่นออกก่อนลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หรงจิ่นมองนางพลางยิ้มตาหยีและไม่แม้แต่จะเตือนว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย
“ชิงอี” ในที่สุดคุณชายซิ่วถิงก็ทนไม่ไหว กระแอมไอเสียงเบาพร้อมเอ่ยเสียงขรึม
“พี่ใหญ่” เวลานี้มู่ชิงอีถึงเห็นว่าในศาลแห่งนี้ยังมีพวกเขาอีกสามคนยืนอยู่ “พี่ใหญ่ พี่ชาย พวกท่านมากันได้เช่นไรหรือ”
หรงจิ่นหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยพึมพำเสียงเบา “มากันช้าจริงๆ”
มู่หรงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเมื่อคืนต้องขอบพระทัยองค์ชายเก้ามากที่มีน้ำใจช่วยไว้ ชิงอีถึงได้ปลอดภัยไม่บาดเจ็บอะไร” ความจริงจะโทษว่าพวกเขามาช้าไม่ได้ อู๋ซินตามรอยหรงจิ่นจากเมืองหลวงมานอกเมืองได้เพราะเบาะแสที่ทิ้งไว้ระหว่างทาง แต่หลังจากมู่ชิงอีและหรงจิ่นตกลงแม่น้ำไปเลยไม่ทันได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ พวกเขาเองก็อาศัยตามหาริมฝั่งแม่น้ำจนมาถึงที่นี่ เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ สามารถตามหาพวกเขาเจอก็นับว่าเร็วมากแล้ว อย่างน้อยก็หาที่นี่เจอเร็วกว่าคนของมู่หรงอวี้มิใช่หรือ
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจทีหนึ่ง เขาไม่ได้ช่วยเพราะมีน้ำใจอะไรเช่นนั้นสักหน่อย เรื่องมีน้ำใจเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เขาแค่เป็นห่วงชิงชิงคนเดียวต่างหากล่ะ!
มู่หรงซีรู้นิสัยขององค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์นานแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ถึงแม้ตอนนี้ดูทรงแล้วเหมือนเรื่องที่องค์ชายเก้าเป็นคนไร้ความสามารถจะเป็นเรื่องบังหน้า แต่ขอแค่เขาไม่ได้มีเจตาร้ายกับชิงอีและพวกเขาก็พอ ส่วนเรื่องอื่นจะเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยทำไมเล่า
ครั้นถูกพี่ใหญ่เห็นเรื่องน่าอายของตน นานๆ ทีมู่ชิงอีถึงจะเผยใบหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขินเช่นนี้
“พี่ใหญ่ พวกท่านคงไม่เจอคนของมู่หรงอวี้หรอกกระมังเจ้าคะ”
กู้ซิ่วถิงเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนที่พวกเรามาถึงเขาพาคนกลับไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งคนคอยตามหาพวกเจ้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ตอนนั้นพวกเราถึงรู้ว่าพวกเจ้าตกน้ำ คนพวกนั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
มู่ชิงอีพยักหน้า ในเมื่อมีพี่ใหญ่และพี่ชายอยู่ เรื่องพวกนี้ย่อมไม่ทำให้นางเป็นกังวล มู่ชิงอีมุ่นคิ้วมองหรงจิ่นที่อยู่บนพื้นพลางเอ่ยอย่างเป็นห่วง “องค์ชายเก้าอาการไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้ส่งตัวเขากลับเมืองหลวงได้หรือไม่”
กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้วแน่น ทว่ามู่หรงซีกลับเผยรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าพลางมองมู่ชิงอีและหรงจิ่น พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ปัญหา ตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้น้องหกไม่มีทางใจกล้าเหิมเกริมส่งคนมาทำอะไรหรอก องค์ชายเก้ากลับได้ทุกเมื่อ”
ถึงแม้เขารู้สึกว่าหรงจิ่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจริงๆ แต่หากชิงอีเองก็ชอบพอเขาเหมือนกัน มู่หรงซีกลับไม่สนใจเรื่องนี้เลย ยามนี้มีเรื่องหลายๆ เรื่องที่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ความต่างเรื่องแคว้นไม่ใช่ปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่หรงจิ่นเป็นองค์ชายแคว้นเย่ว์เกือบยอมทิ้งชีวิตเพื่อชิงอี ต่อให้น้องชายจะไม่พอใจแต่ก็คงไม่พูดอะไร แต่ทางฝั่งเสด็จพ่อ…
มู่หรงซีขมวดคิ้วมุ่น เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับชิงอีเหนือกว่าองค์ชายองค์หญิงคนใดตั้งแต่พวกเขาเกิดมาด้วยซ้ำ เกรงว่าคงไม่เห็นด้วยง่ายๆ กับเรื่องมู่ชิงอีและองค์ชายเก้าแคว้นเย่ว์แน่นอน…
อดกล่าวไม่ได้ว่าครั้งนี้องค์ชายสองผิงอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ที่เคยชินกับการตรึกตรองทุกอย่างอย่างลึกซึ้งได้คิดไปไกลแล้วจริงๆ
กู้ซิ่วถิงเหลือบมองหรงจิ่นด้วยท่าทีเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกของตนออกแล้วคลุมร่างของมู่ชิงอี ถึงแม้เสื้อผ้าบนกายของมู่ชิงอีจะไม่มีส่วนใดเปิดให้เห็นเนื้อหนัง แต่ถึงอย่างไรเสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อย อีกทั้งชายผ้ายังถูกฉีกจนขาดวิ่น หากเดินออกไปเช่นนี้คงดูไม่งามนัก
ถึงแม้รู้แก่ใจดีว่ากู้ซิ่วถิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของชิงชิง แต่หรงจิ่นก็รู้สึกเห็นแล้วขัดตาขัดใจอยู่ไม่น้อย เขากระแอมไอเบาๆ สองที บ่นพึมพำครู่หนึ่งก่อนหันไปมองคนตรงหน้าด้วยท่าทีน่าสงสาร
มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายตรงไหนหรือเพคะ” หรงจิ่นพยักหน้าแล้วชี้ไปยังศรีษะของตนเอง “ปวดหัว”
อู๋ซินที่ยืนอยู่ตรงประตูงุดหน้าลงด้วยความอับอายพลางคิดในใจ องค์ชายเก้ายังกล้าโกหกหน้าไม่อายอีกหรือ มีใครไม่รู้อาการป่วยขององค์ชายบ้างเล่า พออาการกำเริบก็หายใจโรยราใกล้ตาย แต่หากฝืนใจข่มอาการไว้ได้ก็จะกลับมามีกำลังวังชาในทันที จะปวดหัวอะไรอีก…
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาอย่างเอือมระอา “เช่นนั้นองค์ชายก็พักผ่อนสักครู่เถิด”
“ชิงชิงอยู่เป็นเพื่อนข้านะ”
“เพคะ”
นานๆ ทีใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายซิ่วถิงจะดุดันเช่นนี้ ทว่ามู่หรงซีที่ยืนอยู่ข้างกายกลับไม่ค่อยเข้าใจความคิดของน้องชายที่มีน้องสาวอยู่ในช่วงวัยแรกแย้มเช่นนี้นัก เขาส่ายศีรษะอย่างระอาใจก่อนส่งสายตาให้กู้ซิ่วถิงสื่อว่าให้ออกไปคุยกันข้างนอก