หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 237 ตัวตนถูกเปิดเผย (3)
เว่ยหลีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่ปิดบัง “ใช่แล้ว คนอย่างเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด หากมิอาจอยู่เป็นผู้ช่วยขององค์ชายเจ็ดได้ ทางที่ดีก็อย่าปรากฏตัวในเมืองหลวงเลยจะดีกว่า” ต่อหน้าคนฉลาดหลักแหลม ต่อให้มีเรื่องมากมายอยากปิดบังมากแค่ไหนก็คงปิดบังไว้ไม่อยู่ ในเมื่อถูกกู้ซิ่วถิงมองความคิดออกแล้ว เว่ยหลีจึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
กู้ซิ่วถิงพยักหน้าเอ่ย “ในเมื่อข้ารู้จุดนี้ดี แม่ทัพเว่ยก็ควรรู้ด้วยว่า…ข้าย่อมต้องเตรียมการเอาไว้อยู่แล้ว”
เว่ยหลีขมวดคิ้วมุ่นตรึกตรองอยู่นาน จนในที่สุดก็โบกมืออย่างยอมแพ้ “เจ้าไปเถิด”
เวลานี้กู้ซิ่วถิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด หากวันนี้เว่ยหลีไม่ปรากฏตัวเขาถึงจะแปลกใจมากกว่า เดิมที…ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับมู่หรงจ้าว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังอะไร แต่ตอนนี้…เว่ยหลีกลับพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด เช่นนั้นเขาก็สมควรชดใช้กรรมที่ต้องได้รับ!
กู้ซิ่วถิงไม่สนใจมู่หรงจ้าวที่ทำท่าอึกอักอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดแล้วหมุนตัวเดินออกจากจวนไปด้วยท่าทีสงบ เงาแผ่นหลังค่อยๆ เคลื่อนออกไปไม่ช้าไม่เร็วราวกับเขาไม่รับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องหลังเลยสักนิด รู้เพียงว่าเงาแผ่นหลังของกู้ซิ่วถิงหายลับไปหลังประตูวงเดือน เว่ยหลีเองก็ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใดๆ
“ท่านตา…” มู่หรงจ้าวเอ่ยด้วยท่าทีกังวล
เว่ยหลีถอนหายใจแล้วมองมู่หรงจ้าวด้วยความเป็นห่วง หากเทียบกันแล้วหลานชายผู้นี้อ่อนหัดกว่าจื้ออ๋องและกงอ๋องอยู่มาก เพราะถูกบุตรสาวของเขาตามใจจนเคยตัว เรื่องครั้งนี้เว่ยหลีเห็นว่าแปลกพิกลมาตั้งแต่แรกแล้ว กระดานหมากและแผนการอันแยบยลเช่นนี้มู่หรงจ้าวไม่มีทางทำได้แน่นอน หลังจากถามไถ่ก็หลุดเผยความจริงออกมาจริงๆ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซิ่วถิงไม่ได้รับมือง่ายไปกว่าท่านปู่ของเขาเลย แต่ครั้งนี้เขาประเมินความสามารถของศัตรูต่ำไปจนช้าไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ผ่านไปสักพักองครักษ์ตระกูลเว่ยที่อยู่ด้านนอกก็พุ่งพรวดเข้ามากล่าวรายงาน “นายท่าน...คุณชายผู้นั้น…”
เว่ยหลีหรี่ตาลงเอ่ยเสียงขรึม “คลาดสายตาไปได้หรือ”
องครักษ์พยักหน้า เอ่ยอย่างละอายใจว่า “เมื่อครู่ออกจากจวนไปได้ไม่นานเท่าไรก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วขอรับ”
เว่ยหลีพลันใจหายวูบ ส่วนใหญ่องครักษ์ของตระกูลเว่ยล้วนผ่านความเป็นความตายในศึกสงครามมาไม่น้อย กู้ซิ่วถิงหายตัวไปภายใต้สายตาที่จับจ้องของคนเหล่านี้ได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ในขณะเดียวกันเขาเองก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลอาบท่วมตัว โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรกู้ซิ่วถิง มิเช่นนั้น…เกรงว่าหรงเฟยที่อยู่ในวังคงเป็นอะไรไปจริงๆ แล้ว
ขณะที่เว่ยหลีและมู่หรงจ้าวต่างเป็นกังวลเรื่องกู้ซิ่วถิง คุณชายซิ่วถิงกลับเข้าเมืองหลวงไปนั่งจิบชาในห้องส่วนตัวของศาลาชิงอานด้วยท่าทีผ่อนคลาย พร้อมทั้งมีมู่หรงซีและมู่ชิงอีนั่งอยู่ตรงหน้าเขา
“ดูท่าทางฝั่งมู่หรงจ้าวคงราบรื่นไม่เบากระมัง” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง
กู้ซิ่วถิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายนิดหน่อย แต่เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
มู่หรงซีเคาะขอบโต๊ะเสียงเบา มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยว่า “ชิงอีคิดว่าน้องหกจะลงมือทำร้ายข้ากับน้องเก้าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่หม่อมฉันได้ยิน…เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นบอกว่าหลายวันมานี้มู่หรงอวี้กับตวนอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์แอบติดต่อหากัน มีความเป็นไปได้มากว่าสุนัขคงจนตรอกแล้ว” มู่หรงซีไม่นึกตงิดใจอะไร ทว่ากู้ซิ่วถิงกลับสังเกตเห็นว่าขณะที่มู่ชิงอีเอ่ยถึงเลี่ยอ๋องแห่งแคว้นเป่ยฮั่น ท่าทีนั้นชะงักเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงและพอจะรู้ในใจว่าแท้จริงแล้วสายลับส่งข่าวผู้นี้เป็นใคร
“ในเมื่อชิงอีพูดเช่นนี้ ระยะนี้ท่านก็ระวังตัวไว้บ้างจะดีกว่า” กู้ซิ่วถิงเอ่ยโน้มน้าว “เกรงว่าองครักษ์ในจวนท่านคงใช้งานอะไรไม่ได้ เช่นนั้นพากลับไปเพิ่มอีกสักหน่อยเป็นอย่างไรเล่า”
มู่หรงซีส่ายศีรษะปฏิเสธ “ช่างเถิด ถึงแม้ในจวนข้าจะไม่ได้คุ้มกันแน่นหนาเท่าไร แต่หากมู่หรงอวี้คิดจะลอบฆ่าองค์ชายในเมืองหลวงล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ปลอดภัยไว้ก่อน กลัวเกิดเรื่องที่ไม่แน่นอนขึ้นมากกว่า” กู้ซิ่วถิงเอ่ยเตือน มู่หรงซีส่งยิ้มบางแล้วพูดเบี่ยงประเด็นไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เก็บคำโน้มน้าวของสองคนนี้มาใส่ใจเลย
กู้ซิ่วถิงและมู่ชิงอีสบตากันแวบหนึ่งอย่างจนใจ เพราะสำหรับคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าอีกไม่นานต้องตาย อีกทั้งบนโลกใบนี้ก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์แล้ว เช่นนั้นการนอนป่วยตายกับถูกลอบฆ่าตายจะมีความแตกต่างกันอย่างไรเล่า
มู่หรงซีเอ่ยเสียงขรึม “หากมามัวรอดูแต่ว่ามู่หรงอวี้จะทำอะไร สู้พวกเราบีบบังคับให้เขาลงมือเร็วหน่อยเสียดีกว่า”
กู้ซิ่วถิงมองเขาด้วยคิ้วขมวด เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายหมายความว่าอย่างไรหรือ”
“จูซื่อ” มู่หรงซีเอ่ยเสียงเรียบ สำหรับสตรีที่ลอบฆ่าเสด็จแม่ของตนอย่างจูซื่อ มู่หรงซีย่อมโกรธเกลียดนางเข้ากระดูกดำอยู่แล้ว หากทำให้บุตรชายของนางเห็นนางถูกตัดหัวกับตาตัวเองได้ บางทีอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
“ท่านอยากไปทักทายจูซื่อสักหน่อยอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม นางย่อมเข้าใจอารมณ์ของมู่หรงซีอยู่แล้ว หากเวลานี้คนที่อยู่ในคุกคือมู่หรงอวี้ นางเองก็คงอดใจไม่ไหวอยากเข้าไปมุงดูด้วยเหมือนกัน
มู่หรงซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้ากล่าว “ช่างเถิด รอวันประหาร ข้าค่อยไปส่งนางก็แล้วกัน”
คุกเทียนสวรรค์อันมืดสลัวคือคุกที่อยู่ด้านในสุดของคุกอื่นๆ ในนั้นไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ทั้งสี่ฤดูกาล อีกทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกและกลิ่นเหม็นคลุ้ง ในคุกอันมืดมิดมีเพียงแสงจากเปลวไฟขนาดเท่าเมล็ดถั่วจากตะเกียงที่ส่องแสงสว่างไสว ยิ่งทำให้ห้องคุกในเดือนหกทั้งอับชื้นทั้งอบอ้าว แค่อยู่ตรงนั้นครู่เดียวก็เป็นเรื่องทุกข์ทรมานแล้ว
เพราะคุกแห่งนี้อยู่ด้านในสุด หากคิดจะแหกคุกย่อมเป็นเรื่องยาก ดังนั้นทหารเฝ้าคุกจึงแทบไม่ค่อยเข้ามาในคุกเทียนสวรรค์นี้เท่าไร ในคุกเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ของนักโทษดังระงม เดิมทีคุกแห่งนี้ใช้กักขังคนน้อยนัก แต่ครั้งนี้กลับมีคนเข้ามาเป็นกองเบียดเสียดอัดแน่นเต็มคุกในพริบตาเดียว และคุกด้านในสุดและมืดมิดที่สุดกลับมีสตรีที่สวมเสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงและรอยเลือดเกรอะกรังบนตัวคนหนึ่ง
นางผู้นี้ย่อมเป็นจูซื่ออยู่แล้ว จากตำแหน่งสูงศักดิ์ใช้ชีวิตสุขสบายในวังมานานกว่ายี่สิบปีกลับตกอับมาอยู่ในคุกเทียนสวรรค์ที่มืดมิดเย็นยะเยือกที่สุดแห่งนี้ นับตั้งแต่จูซื่อถูกโยนเข้ามาในคุกก็นอนฟุบตัวอยู่บนพื้นตะกายตัวลุกขึ้นมาไม่ไหว ก่อนที่นางจะถูกโยนออกจากวังยังถูกไทเฮาสั่งโบยอีกห้าสิบที หากไม่ใช่เพราะคนที่โบยนางยังจำได้ว่านางต้องถูกประหาร เกรงว่านางคงถูกตีตายตั้งแต่ตอนนั้น…
นับว่ายังให้สิทธิพิเศษกับจูซื่ออยู่บ้างเพราะยังจับนางขังไว้คนเดียว ส่วนคนของตระกูลจูที่เหลือกลับอยู่กันสองสามคน กระทั่งถูกอัดเข้าไปอยู่ในกรงขังเดียวหลายสิบคนก็มี กิน ดื่มและขับถ่ายในนั้นหมด จึงทำให้ในคุกยิ่งเหม็นเน่าสะอิดสะเอียนจนยากจะทนไหว
สำหรับจูซื่อแล้วยังนับว่าเป็นเรื่องดีอยู่บ้าง เพราะหากไม่ได้ถูกจับขังอยู่ในกรงขังคนเดียว เกรงว่าเวลานี้นางคงถูกคนของตระกูลจูฉีกเลือดฉีกเนื้อจนเละแน่นอน เดิมทีคนของตระกูลจูยังเสพสุขกับบารมีเกียรติยศของจูซื่อ มู่หรงอวี้และมู่หรงอานอยู่เลย แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ กลับถูกจับขังแล้วต้องรอวันประหารชีวิตเช่นนี้
วันแรกยังมีคนด่าทอเสียงดังอึกทึกครึกโครม พอวันที่สองเริ่มมีคนสบถด่าจูซื่ออย่างโกรธแค้น แต่ครั้นเห็นว่ากงอ๋องซึ่งเป็นความหวังเดียวของพวกเขาไม่ปรากฏตัวเลยทำให้คนพวกนั้นเริ่มสิ้นหวังในที่สุด หลังจากนั้นก็เริ่มประณามจูซื่อ สุดท้ายก็กลายเป็นคำสาปแช่งต่างๆ นาๆ เท่าที่พวกเขาจะก่นด่าออกมาได้ นอกเหนือจากนี้พวกเขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะระบายความหวาดกลัวและความสิ้นหวังที่อยู่ในใจเช่นไร หายนะทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เพราะจูซื่อหรอกหรือ
จูซื่อฟุบตัวลงบนกองหญ้าเปียกชื้นพลางรับฟังเสียงสาปแช่งด่าทออันไร้เรี่ยวแรงของเหล่าคนตระกูลจู น้ำตาจากหางตาก็ค่อยๆ รินไหลผ่านใบหน้าที่สกปรกมอมแมมของนางแล้วหยดลงบนกองหญ้าบนพื้น ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน จากสตรีอายุสี่สิบกว่าๆ ที่บำรุงดูแลตัวเองดีมาตลอดอย่างจูซื่อกลับดูแก่ลงไม่น้อย กระทั่งผมขาวตรงจอนผมก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่หลายเส้น