หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 200 โหรวเฟยผู้ที่ยิ่งสนุกมากเท่าไรก็ยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น (5)
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้าแล้วเดินตามมู่ชิงอีออกจากพระตำหนักหวาหยางไป มู่ชิงอีเดินนำหน้า ทว่าจู่ๆ เนี่ยอวิ๋นที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เมื่อครู่องค์หญิงใส่อะไรลงไปในกระถางธูปหรือ” การกระทำของมู่ชิงอีอาจจะปกปิดคนอื่นได้แต่กลับปกปิดเนี่ยอวิ๋นไม่ได้ ถึงแม้ท่วงท่าของนางจะไม่ถือว่าเชื่องช้า แต่ในสายตาของยอดฝีมืออย่างเนี่ยอวิ๋นกลับมีระดับความเร็วที่เชื่องช้าราวๆ กับยายแก่คนหนึ่งก็มิปาน มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ ยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้หรือ…ก็แค่ของที่เดิมทีมู่เฟยหลวนใส่เข้าไปแล้ว แต่ข้าใส่เพิ่มเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็เท่านั้น หวังว่า…มู่เฟยหลวนจะยังจำได้ว่าตนเองเคยทำอะไรไว้ มิเช่นนั้นคงแย่น่าดู”
เนี่ยอวิ๋นเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้เค้นถามอีกว่าตกลงแล้วมันคืออะไร ครั้นเห็นหญิงสาวตรงหน้าดูผ่อนคลายสบายใจ เนี่ยอวิ๋นเลยถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายทีหนึ่ง
เช้าตรู่วันถัดมามู่ชิงอีก็ได้ผลลัพธ์หลังจากยอมเสี่ยงอันตรายเมื่อคืนวาน มู่เฟยหลวนแท้งบุตรแล้ว ไม่เพียงแค่แท้งบุตรเท่านั้นแต่ยังถูกฮ่องเต้แคว้นหวาจับไปไว้ในตำหนักเย็นด้วย และเพราะมู่อวิ๋นหรงต้องไปเกี่ยวดองต่างแคว้นเลยไม่ได้โดนลูกหลงไปด้วยแต่ก็ถูกกักบริเวณเช่นกัน ถึงแม้จวนซู่เฉิงโหวจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดแต่มู่ชิงอีก็รู้ว่านี่คือคลื่นลมสงบก่อนพายุฝนใหญ่จะมา หรือจะพูดได้ว่าเพราะเห็นแก่หน้าขุนนางแคว้นเป่ยฮั่นนั่นเอง เพราะแคว้นหวาต้องไม่ส่งตัวผู้หญิงจากตระกูลขุนนางที่มีความผิดไปเกี่ยวดองกับแคว้นเป่ยฮั่น แต่หลังจากหมู่อวิ๋นหรงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับจวนซู่เฉิงโหวบ้างมิอาจมีใครรู้ได้เลย นอกจากนี้จู่ๆ ฮองเฮาก็มีพระราชโองการลงมาโดยมีเนื้อหาไม่ละเอียดนักว่าอวิ๋นผินต้องถูกถอดตำแหน่งกุ้ยเหรินอีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาฮองเฮาไม่เคยล่วงเกินพระสนมที่ให้กำเนิดองค์ชายเช่นนี้เลย ฮองเฮาทรงทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้แคว้นหวา การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ทำให้คนทั้งในวังและนอกวังต่างสงสัยไปตามๆ กัน แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าอวิ๋นผินและโหรวเฟยล่วงเกินอะไรฮ่องเต้แคว้นหวาเข้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะคาดเดาในใจได้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับใครบางคนที่มีความใกล้ชิดกับพระองค์แน่นอน
แต่มู่ชิงอีไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก พอเช้าวันรุ่งขึ้นนางก็พาเนี่ยอวิ๋นออกจากวังไป คิดว่าเมื่อวานฮ่องเต้แคว้นหวาคงรู้เรื่องสนุกๆ ไปไม่น้อย ในช่วงเวลาอันสั้นคงยังรับความจริงไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นมู่ชิงอีเลยไม่คิดจะเข้าไปยุแยงเขาในเวลานี้อีก ความคิดของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ถึงแม้การเข้าหาเขาจะบงการเขาได้ง่ายกว่าก็จริง แต่มู่ชิงอีรู้สึกว่าหากนางปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นหวาบ่อยเกินไป ไม่แน่อาจเกิดผลเสียง่ายกว่า
ในฐานะที่เป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อและบุตรสาวของจวนซู่เฉิงโหว หลังจากนางออกจากวังมาย่อมไปได้ไม่กี่ที่ มู่ชิงอีเลยกลับจวนซู่เฉิงโหว นางเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตอนนี้ทุกคนมีท่าทีเช่นใดบ้าง
“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกหรือ!” มู่ฉังหมิงจับจ้องมู่ชิงอีด้วยดวงตาสองข้างแดงก่ำขึงขัง สีหน้าราวกับอยากจะเข้ามาบีบคอบุตรสาวตรงหน้าให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น เนี่ยอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “ซู่เฉิงโหว โปรดท่านระมัดระวังคำพูดด้วย หากไม่ให้ความเคารพอาจต้องโทษร้ายแรงข้อหาล่วงเกินองค์หญิงได้”
มู่ฉังหมิงกัดฟันอย่างเคียดแค้น เพียงแต่ด้วยสถานะของเนี่ยอวิ๋นเลยทำให้เขามิกล้าเอ่ยขัดแม้แต่ประโยคเดียว มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ อย่างเหนื่อยหน่าย “หัวหน้าองครักษ์เนี่ย ข้าอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวคงไม่เป็นอะไรหรอก เช่นนั้นท่านกลับไปก่อนเถิด หรือไม่ก็เรียกสหายมาสังสรรค์ คิดว่าอานซีจวิ้นอ๋องและใต้เท้าเซ่าคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
เนี่ยอวิ๋นมองมู่ชิงอีแน่นิ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยอยากรับน้ำใจที่นางเสนอให้เท่าไรนัก แค่เห็นสีหน้าของคนตระกูลมู่ก็รู้แล้วว่าทันทีที่เขาไป ไม่แน่มู่ฉังหมิงอาจจะบีบคอนางตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบโดยไม่คำนึงถึงสถานะขององค์หญิงหมิงเจ๋อใดๆ ทั้งสิ้น ครั้นอ่านสีหน้าของเนี่ยอวิ๋นออก รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงอีก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้น เนี่ยอวิ๋นประเมินอารมณ์เลือดร้อนของมู่ฉังหมิงไว้สูงเกินไป หากมู่ฉังหมิงเป็นคนอารมณ์ร้อนบีบคอนางตายจริงๆ นางคงต้องนับถือเขาด้วยซ้ำ เพียงแต่น่าเสียดาย…ซู่เฉิงโหวมาดขรึมน่าเกรงขามผู้นี้ไม่มีทางละทิ้งชีวิตและตำแหน่งของตนไปด้วยเรื่องพวกนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่านางทำลายชีวิตบุตรสาวคนโตของเขา ซึ่งก็เหมือนที่ตอนนั้นเขารู้ว่ามู่เฟยหลวนทำลายชีวิตภรรยาของเขาก็คงไม่ต่างกัน
“เอาเถิด หัวหน้าองครักษ์เนี่ย ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจวนของข้า ไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของข้าหรอก แต่หากหัวหน้าองครักษ์ว่างจริงๆ เช่นนั้นก็ช่วยนัดอานซีจวิ้นอ๋องให้ข้าทีเป็นอย่างไรเล่า เพราะว่า…ข้าอยากจะคุยกับเขาเรื่องที่เขาติดหนี้บุญคุณข้าอยู่เหมือนกัน” หลังจากทำความรู้จักกันมาหลายวันเลยทำให้เนี่ยอวิ๋นเข้าใจนิสัยของมู่ชิงอีดี ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่พูดจาคำไหนคำนั้น ในเมื่อนางไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ เช่นนั้นไม่ว่าตนจะทำเช่นไรก็คงต้องกลับอยู่ดี อีกอย่างเนี่ยอวิ๋นก็แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของมู่ชิงอีเท่านั้นแต่ไม่ได้มีเจตนาอยู่ฟังเรื่องความลับอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นเขาเลยทำได้แค่กวาดตามองตักเตือนพวกคนตระกูลมู่ทีหนึ่งแล้วถึงประสานมือทำความเคารพมู่ชิงอีแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ครั้นเห็นเนี่ยอวิ๋นจากไป มู่ฉังหมิงถึงมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าสีหน้าที่ใช้จับจ้องมู่ชิงอีก็ยังดูไม่ได้เหมือนเคย “ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง นังเด็กเนรคุณ! เจ้าทำลายชีวิตพี่หญิงใหญ่ของเจ้า…พี่หญิงใหญ่ของเจ้า…” มู่ชิงอียิ้มเยาะแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหตุใดท่านพ่อไม่พูดบ้างเล่าว่าพี่หญิงใหญ่ทำร้ายท่านแม่ของข้าเช่นใดบ้าง บุตรสาวอย่างข้าใครทำอะไรมา ข้าก็จะเอาคืนเช่นนั้น แบบนี้ถึงจะนับว่ามีใจกตัญญูต่อท่านแม่ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เอาคืนแต่แค่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น ท่านพ่อเห็นด้วยหรือไม่เล่า”
ครั้นเห็นแววตาสุกใสของมู่ชิงอี มู่ฉังหมิงก็หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหลังก็ถลึงตาจับจ้องมู่ชิงอีเช่นกันทว่าไม่พูดอะไร เพียงแต่ร้องไห้คร่ำครวญเอ่ย “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ซวยกันทั้งบ้าน ซวยกันทั้งบ้านเลยจริงๆ! เจ้าสี่ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าทำอะไรผิดต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายนางขนาดนี้”
มู่ชิงอีกะพริบตาปริบๆ แล้วฉีกยิ้มใสซื่อกล่าว “ท่านย่าพูดเกินไปแล้ว เหตุใดถึงเป็นข้าทำร้ายพี่หญิงใหญ่ไปได้เล่า ทั้งๆ ที่นางเป็นคนยั่วโมโหฝ่าบาทเอง อีกทั้งยังฆ่าองค์ชายน้อยที่ฝ่าบาทเฝ้าคะนึงหาอีกต่างหากถึงได้โดนจับเข้าตำหนักเย็นเช่นนั้น คำกล่าวที่ว่าข้าทำร้ายพี่หญิงใหญ่ท่านย่าไปฟังมาจากไหนหรือ” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจ มู่ชิงอียิ้มเยาะเอ่ย “ท่านย่าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ จวนกงอ๋องอะไรนั่น ตอนนี้ทั้งอวิ๋นผินและพี่หญิงใหญ่ต่างโดนถอดตำแหน่งกันทั้งคู่ ท่านย่ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเพราะอะไร เพียงแต่น่าเสียดาย อวิ๋นผินก็แค่โดนถอดตำแหน่งเท่านั้น ขอแค่บุตรชายของนางยังอยู่คงมีสักวันที่จะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่พี่หญิงใหญ่คง…”
“หุบปาก!” มู่ฉังหมิงตะคอกใส่ มู่ฉังหมิงไม่ได้หลอกง่ายเหมือนมู่ฮูหยินผู้เฒ่าขนาดนั้น เขากวาดตามองมู่ชิงอีด้วยแววตาขึงขังแวบหนึ่งถึงหมุนตัวไปเอ่ยกับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านแม่ ท่านเหนื่อยแล้วกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ลูกยังอยากคุยกับอีเอ๋อร์สักหน่อย” มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามองสีหน้าอารมณ์ที่แตกต่างกันของสองพ่อลูกแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ส่ายศีรษะแล้วลุกขึ้นจับมือบ่าวรับใช้เดินออกไป
ณ สวนดอกไม้ในเรือนหลานจื่อเลยเหลือมู่ชิงอีและมู่ฉังหมิงเพียงสองคน มู่ฉังหมิงมองมู่ชิงอีอยู่นานถึงเอ่ยถามอย่างยอมแพ้ว่า “ตกลงเจ้าต้องการเช่นใดกันแน่” เวลานี้มู่ฉังหมิงคงต้องจำนนยอมแพ้ให้บุตรสาวคนนี้แล้ว โหรวเฟยถูกถอดยศตำแหน่งเลยทำให้แผนการที่เขาวางไว้ทั้งหมดพังไม่เป็นท่า ต่อให้โหรวเฟยไม่ได้ถูกถอดตำแหน่ง แต่เด็กในท้องแท้งแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องแย่อีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน อีกอย่างมู่ฉังหมิงกังวลอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้จะให้ฮ่องเต้แคว้นหวารับรู้ไม่ได้เด็ดขาด
มู่ชิงอีเอนกายบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านแล้วกวาดตามองมู่ฉังหมิงตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก ใบหน้าซูบผอม เส้นเลือดขึ้นดวงตาทั้งสองข้างจนแดงก่ำ หน้าผากเส้นเลือดปูดโปน สีหน้ามัวหมอง ตอนนี้ยังจะเหลือคราบท่านน้าเขยผู้สุขุมเยือกเย็นดั่งในความทรงจำของนางได้เช่นไรอีก เมื่อเราได้เปลี่ยนสถานะ จุดยืนและมุมมองก่อนที่จะมองใครคนนั้นอีกครั้ง เวลานั้นเราย่อมค้นพบว่าคนๆ นั้นแทบไม่ใช่คนๆ เดียวกับในความทรงจำของเราเลยสักนิด
ตอนต่อไป