หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 177 คำขอร้องของอานซีจวิ้นอ๋อง (4)
ยามที่เว่ยอู๋จี้เข้ามาก็เห็นหย่งจยาจวิ้นจู่ดึงมู่ชิงไว้พลางยิ้มเริงร่าคุยกันอย่างออกรส ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่ได้ดูตื่นเต้นเท่าหย่งจยาจวิ้นจู่แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยกลับผุดรอยยิ้มจริงใจออกมาทำให้รู้สึกว่านางคุยกับหย่งจยาจวิ้นจู่มีความสุขกว่ามาก ในทางกลับกันเชียนหลิงกลับถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างเดียวดาย เห็นได้ชัดว่านางเบียดเข้าไปแทรกกลางระหว่างมู่ชิงอีและหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่ได้เลย ครั้นเห็นเว่ยอู๋จี้ก้าวเข้ามานางจึงทำได้แค่มองเขาอย่างน้อยใจ “อู๋จี้…”
หย่งจยาจวิ้นจู่หันไปมองเว่ยอู๋จี้แวบหนึ่งแล้วยิ้มพลางเลิกคิ้วกล่าว “คุณชายเว่ยช่างเอาใจใส่นัก แม่นางเชียนหลิงแวะมาเยี่ยมคุณชายเว่ยยังคอยตามติดปกป้องดูแลไม่ห่าง ข้าอิจฉานัก” น้ำเสียงที่หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยกับเว่ยอู๋จี้ฟังดูไม่ดีเท่าไรนัก เดิมทีนางยังรู้สึกดีกับเว่ยอู๋จี้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรเสียเว่ยอู๋จี้ก็เป็นคนมีความสามารถมากคนหนึ่ง แต่รสนิยมความงามช่างแตกต่างกับหย่งจยาจวิ้นจู่มากจริงๆ ด้วยนิสัยของหย่งจยาจวิ้นจู่ย่อมไม่มีทางจงใจหาเรื่องหญิงสาวร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งอยู่แล้วแต่อาจจะพาลโกรธเว่ยอู๋จี้ไปด้วยมากกว่า ฟังดูแล้วอาจจะไร้เหตุผลแต่ใครใช้ให้นางเป็นจวิ้นจู่และเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกันเล่า
ทว่าเว่ยอู๋จี้กลับไม่ได้โกรธเคืองท่าทีไร้มารยาทของหย่งจยาจวิ้นจู่เลยสักนิด เขาเพียงมองหย่งจยาจวิ้นจู่ด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วมองเชียนหลิงพลางเอ่ย “หลิงเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”
เชียนหลิงเค้นรอยยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เปล่า”
แต่หย่งจยาจวิ้นจู่กลับไม่รู้ว่าอะไรคือความไว้หน้าเลยสักนิด นางยิ้มตาหยีเอ่ย “คุณชายเว่ย ข้ากับชิงอีจะไปเดินเที่ยวกัน พวกเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่เล่า พอดีเลยมีคนมาช่วยเราถือของเพิ่มด้วย ชิงอีว่าไหมล่ะ”
มู่ชิงอีก้มหน้ายิ้มบางกล่าว “เกรงก็แต่พวกเราจะรบกวนคุณชายเว่ยมาช่วยถือของเสียมากกว่า”
“ไม่หรอกมั้ง คุณชายเว่ยร่ำรวยมีกิจการใหญ่โต ไม่แน่อาจจ่ายเงินแทนเราเลยด้วยซ้ำ แม่นางเชียนหลิงเจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่เล่า” หย่งจยาจวิ้นจู่ฉีกยิ้มแป้น เชียนหลิงฝืนยิ้มเอ่ย “ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ขอตัวดีกว่าเพคะ จวิ้นจู่ไปกับองค์หญิงเถิด”
หย่งจยาจวิ้นจู่ย่อมหวังให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเลยอมยิ้มโบกมือเอ่ยขึ้นว่า “ช่างน่าเสียดายนัก เช่นนั้นพวกเราไม่ขออยู่เป็นเพื่อนแม่นางเชียนหลิงต่อแล้วกัน”
ครั้นเห็นเหมือนว่าหลิงเชียนทำทีดึงเว่ยอู๋จี้เดินออกไปข้างนอกแล้ว พวกนางก็สบตากันแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไหวไม่อยู่ หย่งจยาจวิ้นจู่ฟุบตัวหัวเราะอยู่บนโต๊ะจนตะกายลุกขึ้นมาไม่ไหว จากนั้นก็เอ่ยถามพลางปาดน้ำตาว่า “นางคอยกันท่าไม่ให้ใครเข้าใกล้คุณชายเว่ยราวกับป้องกันขโมยขนาดนั้นไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร” มู่ชิงอีปิดปากยิ้มบางกล่าว “ใครจะไปรู้เล่า”
พอส่งตัวเว่ยอู๋จี้และเชียนหลิงกลับไปแล้ว มู่ชิงอีก็ตัดสินใจออกไปเที่ยวกับหย่งจยาจวิ้นจู่ ถึงแม้การตายของมู่หลิงจะไม่เหมาะสมกับเวลาสักเท่าไรเลยจัดงานศพใหญ่โตอะไรมากไม่ค่อยได้ แต่เรื่องที่ควรทำในจวนก็ล้วนทำกันหมดแล้ว มู่ชิงอีไม่สนใจเสียงร้องไห้คร่ำครวญในจวนเลยสักนิด และก็คร้านที่จะอยู่ในจวนด้วย
พูดถึงครั้งสุดท้ายที่นางได้เดินเที่ยวเล่นอย่างมีอิสระเช่นนี้น่าจะเป็นเมื่อสี่กว่าปีก่อน หลังจากตระกูลกู้ถูกทำร้าย กระทั่งอิสระยังไม่มียิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องเดินเที่ยวอะไรทำนองนี้เลย หลังจากกลายเป็นมู่ชิงอีนางก็ยังไม่เคยเดินเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนใครสักคนอย่างอิสระผ่อนคลายโดยที่ในใจไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านเรื่องใดๆ เช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
ถึงแม้หย่งจยาจวิ้นจู่จะมาเมืองหลวงแคว้นหวาได้หลายวันแล้วแต่กลับยังคงมีนิสัยเห็นอะไรก็ใคร่รู้ไปหมดเหมือนเช่นเคย นางลากตัวมู่ชิงอีฝ่าฝูงชนที่พลุกพล่าน ครั้นเห็นร้านค้าสวยๆ ก็ไม่ลืมลากตัวนางแวะเข้าไปดูด้วย ผ่านไปสักพักในมือขององครักษ์แคว้นเป่ยฮั่นของพวกนางสองคนด้านหลังก็หอบหิ้วของพะรุงพะรังเต็มไปหมด ไม่ง่ายเลยกว่าหย่งจยาจวิ้นจู่จะเดินจนเหนื่อยถึงได้หาโรงน้ำชาสักแห่งได้พักเท้าตามอัธยาศัยบ้าง พอเห็นหย่งจยาจวิ้นจู่ทำทีว่าหลังพักเหนื่อยเสร็จจะเที่ยวต่ออีก มู่ชิงอีก็ลอบปาดเหงื่อในความกระปรี้กระเปร่าของหย่งจยาจวิ้นจู่อย่างอดไม่ได้
ในโรงน้ำชาหย่งจยาจวิ้นจู่ฟุบลงข้างขอบโต๊ะพลางใช้ดวงตาจับจ้องท่วงท่าชงชาอันสง่างามของมู่ชิงอีด้วยท่าทีตะลึงงัน ถึงแม้นางจะไม่สนใจน้ำชาที่จืดชืดไร้รสชาติเช่นนี้นัก แต่ท่วงท่าการชงชาของสหายคนใหม่กลับงดงามนัก หย่งจยาจวิ้นจู่แอบนึกเสียดายอยู่บ้างที่พี่สิบเอ็ดของตนเกี้ยวพาราสีสหายผู้นี้ไม่ติด
ครั้นรินชาแก้วหนึ่งวางบนขอบโต๊ะตรงหน้าหย่งจยาจวิ้นจู่แล้ว มู่ชิงอีก็ยิ้มบางกล่าว “เป็นอะไรไปหรือ เมื่อครู่ยังเริงร่าคึกคักอยู่เลย”
หย่งจยาจวิ้นจู่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอ่ย “ผ่านไปอีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องกลับแล้ว ชิงอี เจ้าไม่ไปแคว้นเป่ยฮั่นกับพี่สิบเอ็ดของข้าจริงๆ หรือ เขาต้องคิดถึงเจ้าแน่ๆ” มู่ชิงอีอมยิ้มพลางมองนางอย่างระอาใจ “หากเจ้ากับเลี่ยอ๋องไม่รังเกียจยินดีรับข้าเป็นสหายข้าก็ดีใจมากแล้ว ส่วนเรื่องอื่น…ข้าคงกล่าวได้แค่ว่าเราไม่มีวาสนาในเรื่องนั้น อีกอย่าง…เลี่ยอ๋องก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าว่าสักหน่อย เจ้ารุกหนักจับคู่ให้กันขนาดนี้ หากวันใดเลี่ยอ๋องมีสาวในใจขึ้นมาจะไม่เกลียดเจ้าแย่หรือ”
หย่งจยาจวิ้นจู่โบกมือโบกไม้อย่างเกียจคร้านสื่อว่าไม่คุยเรื่องนี้ต่อแล้ว มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หากเป็นอย่างที่ว่า เจ้าไม่อยู่แคว้นหวาต่อแล้วหรือ” มู่ชิงอีมองออกนานแล้วว่าท่าทีและการวางตัวของหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่เหมือนคนมาอภิเษกเพื่อเกี่ยวดองเลยสักนิด นางคงคิดว่าน่าสนุกดีเลยติดตามเกอซูฮั่นมาร่วมสนุกด้วยมากกว่า
หย่งจยาจวิ้นจู่พยักหน้ายิ้มกล่าว “ใช่แล้ว บิดามีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้วจะให้ข้ามาเกี่ยวดองได้เช่นใดเล่า ตัวเลือกในการเกี่ยวดองล้วนได้จัดเตรียมไว้นานแล้ว พวกเราจัดการหารือเรื่องนี้กันไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะให้เข้าไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้แคว้นหวาโดยตรงเลย ดังนั้นครั้งนี้ถึงไม่ได้พานางมาพร้อมกัน รอหลังจากพี่สิบเอ็ดกลับไป องค์หญิงที่จะมาเกี่ยวดองถึงจะถูกส่งตัวมา”
“เช่นนี้นี่เอง” มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าว หากองค์หญิงที่จะมาเกี่ยวดองยืนยันแล้วว่าจะเข้าวังมาเป็นพระสนม ความจริงส่งเข้าวังแต่งตั้งให้เสร็จสรรพเลยก็ดีเหมือนกัน เพื่อเลี่ยงมิให้เกิดเหตุการณ์อย่างองค์หญิงไหวหยาง
หย่งจยาจวิ้นจู่พิงมู่ชิงอีแล้วกระซิบเสียงเบาพลางยิ้มกล่าว “ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าความจริงแล้วพี่สิบเอ็ดไม่ได้คิดจะขออภิเษกกับองค์หญิงที่มาเกี่ยวดองด้วยเลย พี่สิบเอ็ดแค่มารับตัวเจ้าสาวเท่านั้น พอกลับไปก็จะส่งตัวนางเข้าวังของฮ่องเต้ เพียงแต่ฮ่องเต้ตรัสว่าหากท่านพี่สิบเอ็ดถูกใจก็รับตัวนางเข้าจวนตัวเองได้เลย” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มพลางเลิกคิ้ว นางคิดว่าสถานการณ์จริงๆ น่าจะกลับตาลปัตรมากกว่า ฮ่องเต้คงปรารถนาให้เลี่ยอ๋องอภิเษกมีพระชายาสักคน แต่หากเลี่ยอ๋องไม่ถูกใจ ฮ่องเต้ก็ค่อยรับมาเป็นสนม ยากนักที่จะได้เห็นหย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยความลับอย่างอ้อมค้อมกับนางเช่นนี้
“ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แห่งเป่ยฮั่นเองก็เป็นบุคคลโดดเด่นแห่งยุคเลยมิใช่หรือ” มู่ชิงอียิ้มกล่าว
หย่งจยาจวิ้นจู่พยักหน้าเอ่ยอย่างภาคภูมิว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้พระองค์จะมีวิทยายุทธ์ที่เทียบกับท่านพี่สิบเอ็ดไม่ได้ แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจไม่เบาเลยล่ะ พี่สิบเอ็ดมักเชื่อฟังคำพูดของเขาเสมอ เขาเอ็นดูข้าและพี่สิบเอ็ดมากที่สุดแล้ว” ครั้นแววตาสุกใสปรากฏความนับถือและเลื่อมใสให้เห็น มู่ชิงอีก็ยิ้มหวาน ความจริงแล้วหาความรู้สึกที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ในหมู่ราชนิกูลได้ยากมาก มิน่าถึงกล่าวกันว่าฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่นกับเลี่ยอ๋องสนิทสนมกันมาก
“ถวายบังคมองค์หญิงหมิงเจ๋อ ถวายบังคมหย่งจยาจวิ้นจู่” ระหว่างที่พูดคุยยิ้มแย้มกันอยู่นั้นก็มีบุรุษสองคนโผล่มา ครั้นเห็นมู่ชิงอีและหย่งจยาจวิ้นผงะไปถึงเดินเข้ามาหา หนึ่งในนั้นพวกนางต่างรู้จักกันดี เขาก็คืออานซีจวิ้นอ๋องจ้าวจื่ออวี้ ส่วนอีกคนมู่ชิงอียังคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างเพราะเคยเจอในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวามาก่อน แต่กระนั้นนางก็ไม่รู้จัก
“อานซีจวิ้นอ๋องมิต้องพิธีรีตองนักหรอก ท่านนี้คือ…”
บุรุษอีกคนประสานมือทำความเคารพ “กระหม่อมอิงเทียนฝู่อิ่นเซ่าจิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของมู่ชิงอีมีประกายแสงพาดผ่านแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยเสียงหวานว่า “ท่านทั้งสองมากพิธีเกินไปแล้ว หากไม่รังเกียจก็มานั่งด้วยกันเถิด”
ตอนต่อไป