หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 98 หม่อมฉันก็แค่หิว
บทที่ 98 หม่อมฉันก็แค่หิว
เสี่ยวหงและข้าราชบริพารตำหนักชูฮวาอีก 6 คน ติดตามจิ้งผินเข้าไปในเรือนเหมันต์เพื่อเข้าเฝ้าอันกุ้ยเฟย แต่กลับประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการโบยด้วยไม้พลอง การลงโทษจะถูกจัดขึ้นหน้าตำหนักคุนหนิง
ทหารองครักษ์ลากตัวเสี่ยวหงและคนอื่น ๆ ออกไปอย่างง่ายดาย สาวใช้ที่เคยหยิ่งยโสดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งน่าอเนจอนาถ แต่กลับถูกองครักษ์ต่อยเข้าที่คางจนเบี้ยว
เสียงร้องขอความเมตตาค่อย ๆ เงียบหายไป บนพื้นเหลือเพียงคราบเลือดสกปรก รองเท้าปักลายของใครสักคนหล่นอยู่บนพื้นระหว่างการดิ้นรน อันหรูอี้มองพวกนางอย่างเงียบงัน ไม่พูดอะไร
คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้สอดแนมที่เหลิงเยว่ส่งมาคอยจับตาดูอันหลิงหลง ทุกการกระทำของอันหลิงหลงอยู่ในการควบคุมของเหลิงเยว่ทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้น พวกนางยังเป็นผู้ลงมือลงไม้ด้วยความรุนแรงอีก
การกระทำของซ่งจื่ออานครั้งนี้เป็นการฆ่าไก่ให้ลิงดู เพื่อให้คนในวังได้เห็น ว่าการเป็นข้ารังแกนายจะมีจุดจบลงเช่นไร
หมอหลวงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง นั่นเพราะเขาเป็นแพทย์ จึงทนดูภาพการประหารชีวิตไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็อดรู้สึกเศร้าใจกับเบี้ยหมากเหล่านี้ไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว
หากพวกนางรู้จักสำรวมและรู้จักประมาณตน ไม่เป็นเครื่องมือให้คนชั่ว ก็คงไม่ต้องจบลงเช่นนี้
“หมอหลวง” อันหรูอี้กล่าว “เจ้าไปดูที่ตำหนักข้าง ๆ ด้วย”
หมอหลวงครุ่นคิดครู่หนึ่ง พิจารณาสีหน้าของอันหรูอี้ที่ไม่แสดงความโศกเศร้าหรือดีใจ เคยชินกับความสงบนิ่ง มีกิริยาและความสง่างามสมกับเป็นธิดาคนโตของอัครมหาสเนาบดี น่าชื่นชมยิ่งกว่าอันหลิงหลงเสียอีก
แต่หมอหลวงยังต้องถามอีกประโยคว่า “อันกุ้ยเฟย พระองค์ต้องการให้กระหม่อมไปตรวจอาการของจิ้งผินหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อันหรูอี้พยักหน้า ครุ่นคิดแล้วกล่าว “นางพักอยู่ที่นี่ในระยะ 2 วันนี้ หากนางตายที่นี่ ข้าย่อมถูกนินทา ท่านหมอหลวงโจว รบกวนท่านด้วย”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล ชิวจื้อจึงก้าวออกมาเชิญหมอหลวงไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที
อันหรูอี้ชำเลืองมองไปยังปลายทางเสียงร้องไห้หยุดลงแล้ว แม้ไม่รู้ว่าซ่งจื่ออานพูดอะไรกับนางบ้าง แต่เมื่อเขาสาบานว่าจัดการเรื่องนี้ได้ อันหรูอี้ก็เชื่อใจเขา
หลิวลวี่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องสนใจนางเลย หม่อมฉันว่านางคงไม่ตายหรอก”
เถาหงครั้งนี้กลับไม่ได้คัดค้าน นางคิดว่าหากอันหลิงหลงบาดเจ็บสาหัส แล้วกลับไปตำหนักชูฮวาได้ไม่นานก็ตาย ย่อมนับเป็นเรื่องดีเช่นกัน
อันหรูอี้ส่ายหน้า สายตาจับจ้องเลือดสดบนพื้น สีหน้าเคร่งเครียดผ่อนคลายลงหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กล่าวเรียบ ๆ ว่า “…นางยังมีประโยชน์อยู่”
หลิวลวี่จึงไม่พูดอะไรอีก ไม่นานหมอหลวงก็เดินกลับมาพร้อมกับชิวจื้อ ชิวจื้อรายงาน “ร่างกายของพระสนมไม่มีอันตรายใด ๆ ”
เพียงแค่พักฟื้นเติมเลือดลมให้พอ แผลบนใบหน้าก็จะหาย เพียงแต่จะเหลือรอยแผลเป็นเท่านั้น
หมอหลวงพยักหน้า “เมื่อครู่กระหม่อมตรวจชีพจร พบว่าชีพจรของจิ้งผินนั้นอ่อนมาก เกรงว่าจะมีอาการซึมเศร้าอยู่บ้าง โรคนี้กระหม่อมไม่มีความสามารถรักษา ได้แต่ให้พระสนมปล่อยวางด้วยตัวเอง”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “โรคซึมเศร้า… คนอย่างนางที่ทั้งเอาแต่ใจและโอหัง ก็ยังเป็นโรคซึมเศร้าได้ ดูเหมือนข้าจะประเมินความคิดของนางต่ำไปเสียแล้ว”
หมอหลวงไม่กล้าตอบ
อันหรูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ พูดอย่างจนใจ “ในเมื่อตรวจแล้วก็เขียนใบสั่งยาเถอะ จะได้ไม่เสียเที่ยวที่หมอหลวงมา เดี๋ยวให้ส่งยาบำรุงครรภ์พร้อมกับยาของนางมาด้วย แล้วก็ต้มที่นี่ รบกวนหมอหลวงด้วย”
หมอหลวงยิ้มเจื่อน ๆ “ไม่รบกวนหรอกพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว ขอให้พระชายารอสักครู่”
สำนักหมอหลวงไม่ปลอดภัยเสียทีเดียว อันหรูอี้ไม่กล้าเก็บยาบำรุงครรภ์ของตนไว้ที่นั่น กลับคิดว่าเก็บไว้ใต้สายตาของตนเองจะปลอดภัยกว่า
ชิวจื้อจึงไปรับยาที่สำนักหมอหลวง ขากลับแวะผ่านตำหนักคุนหนิง เห็นประตูใหญ่ปิดสนิท แต่เสียงร่ำไห้คร่ำครวญจากด้านนอกนั้นไม่อาจถูกกั้นด้วยประตูบานเดียวได้
นางยิ้มน้อย ๆ ฝ่าฝูงชนที่มุงดูและวิพากษ์วิจารณ์ แล้วกลับไปยังเรือนเหมันต์
เพิ่งเข้าเรือนเหมันต์ พอเข้าห้องโถงด้านใน ก็เห็นซูหว่านเอ๋อร์แอบขโมยขนมจากโต๊ะกิน เด็กหญิงซุกซนคิดว่าไม่มีใครเห็น แต่ไม่รู้ว่าอันหรูอี้ที่อยู่ข้างในกำลังยิ้มให้นาง
เด็กคนนี้ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไฉนจะกล้ายุ่งเรื่องเช่นนี้
ชิวจื้อยืนหน้าประตูกระแอม 2 ครั้ง ซูหว่านเอ๋อร์ตกใจสะดุ้ง รีบลุกขึ้นอย่างลนลาน ขนมในอกเสื้อร่วงหล่น กลิ้งเข้าไปด้านใน
ซูหว่านเอ๋อร์รีบตามหา ขณะก้มตัวไม่ทันสังเกตว่าขนมในแขนเสื้อก็ร่วงออกมาด้วย หล่นเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น
ชิวจื้ออดขำไม่ได้ อันหรูอี้ก็เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก สายตาสงบนิ่งและลึกล้ำ “เสียดายขนมมากมายเหล่านี้ เห็นทีจะต้องมีการลงโทษ”
ซูหว่านเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืน มองขนมที่กระทบเท้าพร้อมกลืนน้ำลาย “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ หม่อมฉันแค่… หิว”
ชิวจื้อเดินไปพลางหัวเราะไปพลาง “หิวก็กินอย่างเปิดเผยสิ วิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ทำไม เรือนเหมันต์ไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้หรอก”
ซูหว่านเอ๋อร์มองอันหรูอี้ด้วยสายตาวิงวอน ราวกับกำลังยืนยันว่าคำพูดของชิวจื้อเป็นความจริงหรือไม่ อันหรูอี้หลุดขำ โบกมือเรียก “มานี่ มานั่งข้างข้า ที่นี่ก็มี… ”
“มีขนมหวานด้วย”
ดวงตาของซูหว่านเอ๋อร์เปล่งประกาย นางก้าวเข้าไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วนั่งลงข้างขวาของอันหรูอี้อย่างไม่เกรงใจ หยิบขนมหวานยัดเข้าปากทันที
ชิวจื้อหัวเราะอย่างจนใจ “เด็กคนนี้ ไม่รู้จักพูดคำขอบคุณสักคำ เจ้ามาจากฝ่ายไหนกัน? กูกูผู้ดูแลไม่ได้สอนเจ้าหรือ?”
“หม่อมฉันเพิ่งเข้าวังมา” ซูหว่านเอ๋อร์เบ้ปาก “หม่อมฉันเป็นคนจุดโคมไฟข้างตำหนักไท่เหอ โคมไฟพวกนั้นดับช้ามาก พวกนางให้ข้าอยู่จนสุดท้าย กลับไปก็ไม่มีข้าวกิน! ”
ซูหว่านเอ๋อร์แสดงสีหน้าโกรธเคือง แก้มป่องยังมีเศษขนมหวานติด ดูเป็นเด็กที่ไร้เดียงสามาก
อันหรูอี้มองด้วยความเอ็นดู เช็ดเศษขนมหวานบนแก้มของนางให้สะอาด แล้วถาม “ที่แท้ก็เป็นนางกำนัลจุดโคมไฟ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว? ที่บ้านยังมีใครอีกหรือไม่? ”
ซูหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้า “ทูลเหนียงเหนียง หว่านเอ๋อร์อายุ 13 ปีแล้ว คนในครอบครัวบ่นว่าหม่อมฉันกินจุเกินไป จึงขายหม่อมฉันเข้าวัง บอกว่าจะมารับกลับเมื่อถึงอายุออกจากวังได้”
กินจุเกินไป…
เหตุผลนี้ช่างทำให้คนอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกัน อันหรูอี้และชิวจื้อสบตากัน ต่างก็รู้สึกขบขัน ชิวจื้อส่ายหน้าแล้วพูดเรื่องสำคัญ “ทูลพระชายา หม่อมฉันได้นำยามาแล้ว เถาหงและหลิวลวี่กำลังต้มอยู่”
“อืม” อันหรูอี้ครุ่นคิดแล้วกล่าว “หาคนที่เหมาะสมไปดูแลอันหลิงหลง แค่ 2 วันนี้ อีก 2 วันส่งกลับตำหนักชูฮวา พวกเราก็ปล่อยมือได้”
ซูหว่านเอ๋อร์ยืนเคี้ยวขนมอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองอันหรูอี้อย่างแปลก ๆ
อันหรูอี้รู้ว่านางกำลังคิดอะไร จึงยื่นมือลูบผมนางพลางยิ้มกล่าวว่า “จะว่าไป คราวนี้ข้าต้องขอบใจเจ้าด้วย เจ้าอยากได้รางวัลอะไรล่ะ? ”
ซูหว่านเอ๋อร์กะพริบตาถาม “รางวัลอะไรก็ได้หรือเพคะ? ”
อันหรูอี้เลิกคิ้ว “ข้าไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาง่าย ๆ แต่จะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
ซูหว่านเอ๋อร์แสดงสีหน้ายินดี “เช่นนั้นพระชายาจะอนุญาตให้หม่อมฉันอยู่ในวังของพระองค์ได้หรือไม่? ที่นี่มีของกินมากมาย! ต่อไปจะไม่ต้องหิวโหยอีกแล้ว! ”
อันหรูอี้ชะงักเล็กน้อย มองดวงตาใสซื่อน่ารักของซูหว่านเอ๋อร์ แล้วหันไปมองชิวจื้อ
ชิวจื้อยิ้มน้อย ๆ พูดอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า “หากหว่านเอ๋อร์น้อยกลัวหิว กูกูจะส่งคนนำขนมไปให้เจ้าทุกวัน ดีหรือไม่? ”
นัยว่าไม่สามารถอนุญาตให้อยู่ได้
อันหรูอี้กลับลังเลเล็กน้อย “ชิวกูกู ไม่เช่นนั้นรอให้ข้าถามจื่ออานก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถิด”