หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 97 ถูกส่งเข้าตำหนักเย็น
บทที่ 97 ถูกส่งเข้าตำหนักเย็น
อันหลิงหลงกลับมาสงบนิ่งแล้ว นางมองมือของตัวเอง รวมถึงบาดแผลบนแขนเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อน
เสี่ยวหงค่อย ๆ หลบเลี่ยงนาง บรรดานางกำนัลที่เคยเยาะเย้ยรังแกนางในอดีตต่างเงียบกริบไปทั่วทั้งตำหนัก ไม่มีผู้ใดส่งเสียง
ทุกคนต่างคิดว่าอันหรูอี้ปล่อยนางไปเพราะจิ้งผินคือน้องสาวของตนเอง แม้นางจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากฮองเฮาแล้ว แต่ก็ยังสามารถพึ่งพากุ้ยเฟยได้
ดังนั้นพวกนางส่วนมากคงถูกอันหลิงหลงเอาคืนในอนาคต แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายไปก็คืออันหลิงหลงรักษาความสงบไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่เหมือนในอดีตที่แค่แกล้งทำเป็นสงบ
ขณะนี้นางยืนอยู่หน้าหน้าต่างลายข้าวหลามตัด สายตาไม่มีร่องรอยของความปั่นป่วนเลยแม้แต่น้อย สงบนิ่งราวกับแจกันดอกไม้ข้างเท้าของนาง ไร้เสียง ไร้ลม
บางทีนางอาจจะสิ้นหวังไปแล้ว เสี่ยวหงอดคิดไม่ได้ บางทีอันหรูอี้อาจจะกักขังพวกนางทั้งหมดไว้ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อปล่อยพวกนาง แต่เพื่อทรมานพวกนางต่างหาก
นางกำลังจมอยู่ในความหวาดกลัวของตัวเอง ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้ ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก สายลมเย็นพัดฝุ่นบนพื้นปลิวว่อน พัดม่านโปร่งข้างเสาให้สะบัดไหว
อันหลิงหลงได้สติ หันศีรษะมองไปทางประตู แต่กลับถูกสายตาเยือกเย็นไร้ความปรานีจับจ้องจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
เสี่ยวหงและคนอื่น ๆ ตกใจจนสีหน้าซีดเผือด ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นทันที แต่ยังไม่ทันได้กราบไหว้หรือวิงวอนขอความเมตตา ซ่งจื่ออานก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ออกไปคุกเข่าข้างนอก”
เสี่ยวหงและคนอื่น ๆ ไม่กล้าเอ่ยปากเพิ่ม ต่างพยุงตัวกันลุกขึ้น ก้มหน้าเดินออกไป ก่อนประตูใหญ่จะปิดลงตามหลังอย่างแน่นหนา
อันหลิงหลงตัวสั่นไปทั้งร่าง เสียงกรีดร้องถูกกลั้นไว้ในลำคอ นางค่อย ๆ คุกเข่าลง โดยมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องหน้าต่างเป็นฉากหลัง แสงแดดอบอุ่น แต่มือของนางกลับสั่นระริก
ฉลองพระองค์สีเหลืองทองปรากฏตรงหน้า อันหลิงหลงหลับตาแน่น แต่มือเย็นเฉียบนั้นกลับยกใบหน้าของนางขึ้น
การกระทำนั้นแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนโยน แต่ดวงตาที่มองมากลับทิ่มแทงจิตใจยิ่งกว่าการกระทำทั้งหมด
ซ่งจื่ออานยังคงไม่สามารถระงับความโกรธไว้ได้ ทันทีที่สบตากับอันหลิงหลง จึงอดไม่ได้ที่จะตบหน้านางไปหนึ่งที
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นอย่างฉับพลัน อันหลิงหลงครางเบา ๆ ร่างของนางถูกตบจนเอียงไปด้านข้าง ชนแจกันแตกกระจาย เศษกระเบื้องบาดแก้มนางในพริบตา
“อ๊า… ”
อันหลิงหลงกุมหน้า ร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด
ซ่งจื่ออานสงบจิตใจลง นึกถึงภาพอันหรูอี้รวมถึงเด็กในท้องของนางขึ้นมา ในที่สุดก็ไม่ได้ลงมืออีก
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามอันหลิงหลง “อันหลิงหลง เราสงสัยจริง ๆ ว่าทั้ง ๆ ที่มาจากตระกูลเดียวกัน เหตุใดเจ้าถึงถูกเลี้ยงดูให้มีนิสัยชั่วร้ายเช่นนี้”
อันหลิงหลงขดตัวไปยังขอบเตียง เลือดสดที่ไหลลงมาตามแก้มแดงยิ่งกว่าชุดของนาง นางเงยหน้าขึ้นพลางส่ายหน้าอย่างตกใจและสับสน “ไม่ใช่เช่นนั้นนะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายลูกของนาง… เป็นฮองเฮาที่บังคับหม่อมฉัน เป็นเหลิงเยว่ที่ข่มขู่หม่อมฉัน! ”
ซ่งจื่ออานหัวเราะเยาะ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมกับเหลิงเยว่ล่ะ? ”
อันหลิงหลงชะงัก ริมฝีปากสั่นระริก “เพราะ… เพราะว่า… นางเป็นฮองเฮา เป็น… ”
“เป็นเจ้าแห่งวังหลัง? ” ซ่งจื่ออานกล่าวเรียบ ๆ พลางนั่งลงไปบนเก้าอี้ข้าง ๆ ดวงตาคมเผยแววเย็นชา “ตระกูลอันและตระกูลเหลิงเป็นศัตรูขับเคี่ยวกันมานาน เจ้าเพิ่งเข้าวังมากลับไปเข้าร่วมกับเหลิงเยว่ เจ้าเคยคิดถึงครอบครัวของตนเองบ้างหรือไม่? ”
ซ่งจื่ออานกำนิ้วมือ มังกรทองห้าเล็บบนเสื้อคลุมหันหน้าเข้าหานาง จักรพรรดิหนุ่มผู้งดงามแม้จะโกรธจนผมตั้งชัน แต่กลับกดข่มความโกรธทั้งหมดเอาไว้จนไม่เห็นร่องรอย
ด้วยเหตุนี้อันหลิงหลงจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะจัดการกับนางอย่างไร
ทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์กันเพียงคืนเดียว แต่ซ่งจื่ออานกลับมองว่ามันเป็นความอัปยศ อันหลิงหลงรู้สึกขมขื่นในใจ จึงพูดอย่างอ่อนน้อม “หม่อมฉันเพียงต้องการหาที่พึ่งพิง หม่อมฉัน… ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น”
ซ่งจื่ออานหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ช่างโง่เขลา”
อันหลิงหลงเม้มริมฝีปากแน่น ซ่งจื่ออานถามต่อ “ตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก เราก็สังเกตเห็นความไม่สงบเสงี่ยมของเจ้า แต่เพราะสำนึกไว้อยู่เสมอว่าเจ้าเป็นบุตรีของอัครมหาเสนาบดี เราจึงตั้งใจว่าหากเจ้าต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายในวัง เราก็จะให้ความมั่นคงแก่เจ้าตลอดชีวิต”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาพลันเย็นชาลงทันที “กระทั่งเจ้าร่วมมือกับฮองเฮา วางแผนต่อเรา เราก็ทนได้ มอบให้แม้แต่การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแก่เจ้า ไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเลย”
อันหลิงหลงหดตัวลงด้วยความหวาดกลัวและกังวล “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นพระสนม และยังเป็น… ของพระองค์”
“เจ้าเป็นคนเช่นไร เรารู้แจ้งแก่ใจ! ” ซ่งจื่ออานตัดบทคำพูดของนางอย่างฉับพลัน
อันหลิงหลงกำผ้าคลุมแน่น ในใจยังมีคำพูดมากมายที่อยากจะกล่าว แต่ซ่งจื่ออานคงไม่ยอมฟัง นางยิ้มขื่น ทำให้แผลบนใบหน้าขยับ สีหน้าจึงบิดเบี้ยวอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ในพระทัยของพระองค์มีแต่อันหรูอี้… ” อันหลิงหลงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “หม่อมฉันด้อยกว่านางตรงไหน? ทำไมพระองค์ถึง… ไม่แม้แต่จะหันมามองหม่อมฉันสักครั้ง? ”
ซ่งจื่ออานหัวเราะเยาะ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำนั้นกลับไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างที่ควรจะมี คงไว้เพียงความดูแคลน “เจ้ามีอะไรเทียบกับนางได้? ”
อันหลิงหลงกัดริมฝีปากแน่น “เพราะนาง… นางเป็นธิดาคนโตของจวนอัครมหาเสนาบดีหรือ? ”
ซ่งจื่ออานรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง “นี่คือเหตุผลที่เจ้าคอยกลั่นแกล้งนางมาตลอด? เจ้าคิดว่าสถานะบุตรีคนโตและความงามเป็นปัจจัยตัดสินทุกสิ่ง? อันหลิงหลง เจ้าช่างเป็นคนที่… ทั้งร้ายกาจและโง่เขลาเสียจริง”
ชายหนุ่มยืนขึ้น มองดูสีหน้าตกตะลึงของอันหลิงหลง ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาของตนเองค่อย ๆ เคร่งขรึมลง “ต่อให้หรูอี้จะเป็นเพียงบุตรีนอกสมรส บุตรีอันเกิดจากอนุภรรยา เจ้าก็ยังสู้นางไม่ได้อยู่ดี เจ้ามีจิตใจชั่วร้าย สร้างศัตรูไปทั่ว ไม่รู้จักสำนึกผิด ราวกับงูพิษ”
“แต่หรูอี้ หรูอี้นั้นต่างจากเจ้า นางไม่เคยคิดจะทำร้ายผู้อื่นก่อน เรื่องราวในจวนอัครมหาเสนาบดีในอดีต เราจะไม่ขอพูดโดยละเอียด แต่เจ้าทำอะไรกับนางไว้บ้าง ตัวเจ้ารู้ดี และหลังจากเข้าวัง หรูอี้เคยกลั่นแกล้งเจ้าบ้างหรือไม่? ”
“ตระกูลเหลิงเสื่อมถอยลงจนเป็นที่แน่ชัด หรูอี้ก็เคยแอบเตือนเจ้าด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับเอาความคิดอย่างคนชั่วไปตัดสินคนดี เจ้าคิดว่าหรูอี้จะชั่วร้ายเหมือนเจ้าหรือ? ”
“นางคือกุ้ยเฟยที่เราแต่งตั้งเอง! นางกล้าขัดแม้แต่ฮองเฮา หากนางต้องการฆ่าเจ้า ไยต้องรอจนถึงวันนี้! หากไม่ใช่เพราะนางยังคำนึงถึงว่าพวกเจ้าสองคนมาจากจวนเดียวกัน… ”
ซ่งจื่ออานค่อย ๆ ก้มศีรษะลง มือแตะลงบนศีรษะของนาง สายตาลึกล้ำเต็มไปด้วยความอาฆาต ทำให้ขนลุกขนพอง “…เจ้าสมควรตายไปนานแล้ว”
แววตาของนางเบิกกว้างขึ้นอย่างเงียบงัน อันหลิงหลงรู้สึกราวกับมีดาบเหล็กแขวนอยู่เหนือศีรษะ บีบคั้นให้ฟันของนางกระทบกันด้วยความหวาดกลัว แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างสาดส่องเจิดจ้า แต่นางกลับรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ
ซ่งจื่ออานค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เส้นผมยาวดุจแพรไหมปัดผ่านข้างหู เขามองลงมาที่อันหลิงหลงจากที่สูง ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาดุจใบมีด มองอันหลิงหลงราวกับกำลังมองขยะชิ้นหนึ่งที่น่ารังเกียจ
“จงอยู่แต่ในตำหนักชูฮวาของเจ้าให้ดี” ซ่งจื่ออานกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย “หากเจ้ากล้าเข้าใกล้หรูอี้แม้เพียงครึ่งก้าว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าต้องตาย”
อันหลิงหลงพลันหมดเรี่ยวแรง
ตำหนักชูฮวา… ซ่งจื่ออานสั่งให้นางอยู่แต่ในตำหนักชูฮวา มันต่างอะไรกับการเนรเทศนางไปอยู่ตำหนักเย็นกัน? เขาเกลียดชังนางอย่างถึงที่สุดจริง ๆ
ซ่งจื่ออานหมุนตัวกลับ ค่อย ๆ เดินออกจากตำหนัก ท่ามกลางแสงอาทิตย์ อันหลิงหลงผู้มีเลือดเปรอะเปื้อนใบหน้าปิดตาลง เสียงร่ำไห้อันแหบพร่าของนางค่อย ๆ ดังขึ้น ก่อนแผ่ขยายไปทั่วตำหนัก…
ซ่งจื่ออานไม่หยุดพักแม้แต่น้อย เขาเดินออกจากตำหนัก มองชิวจื้อที่เข้ามาต้อนรับแล้วกล่าวเรียบ ๆ “ประหารข้ารับใช้ใกล้ชิดของตำหนักชูฮวาด้วยการโบยจนตาย การลงโทษให้ไปจัดหน้าตำหนักคุนหนิง”
ชิวจื้อยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากแล้วขานรับ “เพคะ ฝ่าบาท”