หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 9 วีรบุรุษช่วยสาวงาม
บทที่ 9 วีรบุรุษช่วยสาวงาม
บทที่ 9 วีรบุรุษช่วยสาวงาม
“ฝ่าบาท…กระหม่อมรู้สึกว่าพระองค์ทรงใช้จ่ายเกินไปหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เซี่ยเหิงที่เดินตามหลังซ่งจื่ออานสังเกตสีหน้าของเจ้านายตนก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เซี่ยเหิงอยากจะแทรกแซง แต่เหล่าสนมในวังหลังใช้จ่ายเกินไปเพียงหนึ่งพันตำลึงเงินยังถูกเขาตำหนิอย่างหนัก เหตุใดพอเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่จวนอัครมหาเสนาบดีกลับใช้เงินไปถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทองได้ง่าย ๆ เช่นนี้เล่า?
นี่ยังเป็นเจ้านายของตนผู้ประหยัดอดออมอยู่หรือไม่?
“นางสมควรแล้ว” ซ่งจื่ออานมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีมาก
อันหรูอี้พูดคุยกับอันหลิงหลงไม่ราบรื่น จึงขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับจวน
หลิวลวี่ที่เดินตามรถม้าอยู่นอกรถพึมพำเบา ๆ ว่า “หึ คิดว่าจะเก่งสักเพียงใด สุดท้ายกลับถูกคุณหนูใหญ่ของพวกเราปราบจนอยู่หมัด…”
“ระวังคำพูดเจ้าด้วยหลิวลวี่” อันหรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
หลิวลวี่ยิ้มแย้มเผยให้เขี้ยวน้อย ๆ ที่น่ารักของตนออกมา “เจ้าค่ะคุณหนู แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ บุรุษผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก หากภายภาคหน้าคุณหนูไม่ต้องการเข้าวัง เช่นนั้นคุณหนูออกเรือนไปกับบุรุษผู้จ่ายหนึ่งหมื่นตำลึงเมื่อครู่ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะเจ้าค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล เดี๋ยวเถอะ ระวังข้าจะฉีกปากเจ้า!” ไม่คิดว่าหลิวลวี่จะเอ่ยออกมาตรง ๆ เช่นนี้ ทำให้อันหรูอี้ซึ่งยังเป็นสตรีที่ยังไม่เคยออกเรือน ใบหน้าจึงแดงก่ำด้วยความอาย
หลิวลวี่กล่าวขอโทษพร้อมหัวเราะคิกคักเป็นภาพบรรยากาศระหว่างนายและบ่าวที่เต็มไปด้วยความคึกคักและผ่อนคลายมาก
“โครม!” รถม้าสะบัดไปมาอย่างรุนแรงเกิดเสียงดังสนั่น
หลิวลวี่ตกใจตะโกนขึ้นว่า “เกิดอันใดขึ้น! คุณหนูใหญ่ยังอยู่ในรถนะ! พวกเจ้าควบคุมม้ามิระวังบ้างหรือ!”
“แย่แล้วคุณหนู! คุณหนูใหญ่ม้าตัวนี้พยศไปแล้ว!” เสียงของคนขับรถม้าดังขึ้นด้วยความเร่งรีบและหวาดกลัว เขาดึงบังเหียนม้าอย่างสุดแรงแต่ก็ไม่สามารถควบคุมม้าได้เลย
อันหรูอี้จับราวรถม้าไว้แน่น เมื่อรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ของตัวรถม้า นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น
รถม้าและม้าตัวนี้ล้วนได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีที่สุด แม้กระทั่งคนขับรถม้ายังเป็นผู้ที่มีฝีมือหาจับตัวได้ยาก ต่อให้ม้ามีอาการตื่นตระหนกเช่นไรย่อมสามารถควบคุมไว้ได้ แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้เกรงว่าจะต้องมีผู้คิดร้ายกับนางและลงมือกระทำบางอย่างกับม้าของนางเป็นแน่!
รถม้าพุ่งทะยานเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองอย่างบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ตื่นตระหนกตกใจดังขึ้นทั่วบริเวณ
ขณะที่ม้าตัวนั้นกำลังวิ่งพุ่งชนทุกสิ่งที่กีดขวางมันอยู่นั่น จู่ ๆ ขาของมันก็ชนเข้ากับแผงลอยที่ตั้งอยู่ทำให้มันสูญเสียการทรงตัวทันที! ตัวรถม้าทั้งคันพลิกคว่ำอย่างแรงไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของม้า
แม้ว่าอันหรูอี้จะเตรียมตัวไว้แล้วแต่รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็วสูงพลิกคว่ำอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางจึงไม่สามารถต้านทานแรงเหวี่ยงได้ ร่างกายของนางกระแทกกับผนังรถม้าไปมาอย่างแรง ก่อนจะถูกเหวี่ยงออกไปนอกตัวรถอย่างรวดเร็ว!
อันหรูอี้ร้องอยู่ในใจว่า ‘แย่แล้ว!’ นางตัดสินใจยกมือขึ้นมาปกป้องศีรษะซึ่งเป็นจุดสำคัญ การพลัดตกลงมาเช่นนี้ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บแน่ แต่แค่นางป้องกันศีรษะของตนมิให้บาดเจ็บได้ ส่วนอื่นก็ไม่น่าเป็นห่วง!
ทว่าความเจ็บปวดจากแรงกระแทกสู่พื้นที่ตนคาดไว้กลับมาไม่ถึงสักที อันหรูอี้รู้สึกว่าตนเองตกลงไปในอ้อมกอดของใครสักคน ร่างกายของนางหยุดกลางอากาศครู่หนึ่งก่อนจะถูกวางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
เมื่ออันหรูอี้เงยหน้าขึ้นนางพบว่าผู้ที่ช่วยชีวิตนางคือซ่งจื่ออาน!
จู่ ๆ อันหรูอี้ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในใจ ซ่งจื่ออานเป็นสุภาพบุรุษที่รู้จักวางตัว หลังจากที่เขาช่วยเหลือนางเสร็จก็รีบถอยห่างออกจากนางทันทีไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่น้อย
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต!” อันหรูอี้กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านมาก ข้า…”
“มิต้องมากพิธี ตามข้ามาก่อนเถิดข้อศอกของเจ้าดูจะได้รับบาดเจ็บ ต้องรักษาให้ดี” ซ่งจื่ออานยิ้มจาง ๆ พลางชี้ไปที่รถม้าสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่
อันหรูอี้ลังเลเล็กน้อย…จากนั้นนางก็พยักหน้าตอบรับ
ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกไว้วางใจบุรุษผู้นี้อย่างประหลาด แม้ว่าจะต้องอยู่ในรถม้าเพียงลำพังสองคนนางก็ไม่มีความคิดว่ามันจะดูไม่เหมาะสม ใด ๆ เลย
หลังจากที่ซ่งจื่ออานทำความสะอาดบาดแผลที่ข้อศอกของอันหรูอี้อย่างระมัดระวังจนเสร็จ อันหรูอี้กล่าวขอบคุณและเอ่ยปากถามว่า
“ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าหากมีวาสนาเราจะได้พบกันอีก เมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้งเช่นนี้ ท่านจะบอกนามของท่านให้ข้ารู้ได้หรือไม่?”
“เจ้าคงคาดเดาตัวตนของข้าได้บ้างแล้ว เหตุใดมิลองเอ่ยออกมาดูเล่า?” ซ่งจื่ออานคลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
อันหรูอี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าแพรไหมเช็ดผงฝุ่นบนฝ่ามือตนเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “หากคุณชายเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ การที่ข้าเอ่ยถึงตัวตนของท่านย่อมถือเป็นการล่วงเกิน แต่หากคุณชายมิใช่การคาดเดาของข้าคงผิดพลาด ไฉนจึงต้องทำเช่นนั้นเล่า?”
ซ่งจื่ออานรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจตนเองที่เร็วขึ้น เขาแน่นิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อย ๆ เผยรอยยิ้มพลางยื่นมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าแพรไหมจากมือของอันหรูอี้ เขาบรรจงเช็ดคราบเลือดบนมืออันหรูอี้อย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน…
“โอ้…ฟังจากน้ำเสียงคุณหนูอันหรูอี้แล้ว ดูท่าเจ้าจะมีอคติต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่บ้าง?”
อันหรูอี้เงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นดวงตานางก็สบเข้ากับดวงตาคมลึกคู่หนึ่ง จู่ ๆ หัวใจนางก็เต้นผิดจังหวะยุ่งเหยิงไปหมดราวกับกวางน้อยที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในอก นางหลุบตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับเขา ทว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้กลับทำให้นางเผยความรู้สึกชัดเจนขึ้น
ท่าทางเช่นนั้นของอันหรูอี้ในสายตาของซ่งจื่ออานยิ่งทำให้เขารู้หวั่นไหวกับนางมากยิ่งขึ้น…
“ข้ามิกล้ามีอคติใด ๆ ข้าแค่มิอยากผูกมัดชีวิตตนเองไว้ในกรอบสี่เหลี่ยมตลอดชีวิตเพียงเท่านั้น” อันหรูอี้รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าคุณชายผู้นี้อาจเป็นหนึ่งองค์ชายในวังจึงรู้สึกขัดเขินในใจโดยไม่รู้สาเหตุ
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้วคมเล็กน้อย สตรีผู้นี้มีจิตใจที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นสตรีที่มีทั้งสติปัญญาและรูปโฉมที่โดดเด่นเพียงนี้ แต่กลับไม่ปรารถนาจะแต่งเข้าตระกูลขุนนางหรืออภิเษกสมรสกับเหล่าเชื้อพระวงศ์งั้นหรือ?
นางมิรู้หรือว่าตนเองกำลังจะโดดเด่นในงานคัดเลือกสนมและได้รับการคัดเลือกให้เป็นพระสนมในไม่ช้า เหตุใดนางยังมีความคิดเช่นนี้อยู่อีก…
ซ่งจื่ออานรู้สึกว่านี้เป็นครั้งแรกในฐานะฮ่องเต้ผู้อยู่บนจุดสูงสุดในแผ่นดินนี้กลับถูกสตรีผู้หนึ่งดูหมิ่นชีวิตในวังหลวง ภายในใจเขาก็รู้สึกโกรธและเสียใจในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ บรรยากาศรอบตัวเขาก็เย็นขึ้นมาทันที!
เมื่อเห็นสีหน้าของซ่งจื่ออานที่เคร่งขรึมขึ้น อันหรูอี้ก็ถอนหายใจเบา ๆ
ในใจ
นางอยู่ในวัยสะพรั่งหากจะกล่าวว่าไร้ความปรารถนาในเรื่องรักใคร่ คงจะไม่ถูกนัก แต่ความตั้งใจของนางในชาตินี้คือการที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวสิ่งใดกับวังหลวง นางคงหมดวาสนากับบุรษผู้นี้อย่างน่าเสียดายแล้ว…
นางโค้งคำนับต่อซ่งจื่ออานอย่างสง่างามในรถม้าพร้อมกล่าวว่า “หากการที่ข้ารับเครื่องประดับมีค่าจากคุณชายในครั้งก่อน ทำให้คุณชายรู้สึกว่าหรูอี้มิคู่ควร หรูอี้ยินดีคืนของเหล่านั้นให้แก่คุณชาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วขอคุณชายอย่าได้ขุ่นเคืองหรูอี้เลยเจ้าค่ะ”
ซ่งจื่ออานเพียงหรี่ลงเล็กน้อย ดวงตาสีดำคู่นี้เรียวยาวดุจพระจันทร์เสี้ยวทั้งงดงามราวกับแช่อยู่ในหินไพลินดำชั้นเลิศเป็นเวลานาน…
“มิเป็นไร… เมื่อข้าให้เจ้าแล้วเจ้าก็รับไว้เถิด เซี่ยเหิงส่งคุณหนูหรูอี้ที่จวนอัครมหาเสนาบดี”
เซี่ยเหิงหัวหน้าองครักษ์ที่ปลอมตัวเป็นคนขับรถม้าของซ่งจื่ออานกลับอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงผิดหวังเมื่อถูกขัดจังหวะที่กำลังรับฟังเรื่องราวน่าสนใจอยู่ในรถม้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ก็คงไม่พอใจเช่นกัน แต่ผู้ที่อยู่ในรถม้ามิใช่ผู้ที่เขาจะต่อว่าอันใดได้
เซี่ยเหิงสะบัดแส้ ระบายความขุ่นเคืองที่ตนถูกทำให้ค้างคาใจไปที่หลังม้าพันธุ์ดีที่เป็นผู้บริสุทธิ์…