หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 84 งานเลี้ยงวันเกิด (6)
บทที่ 84 งานเลี้ยงวันเกิด (6)
ท้องพระโรง…
ไม่ว่าสถานการณ์ในอนาคตของเหลิงเยว่จะยากลำบากเพียงใด แต่ในตอนนี้ การส่งอันหลิงหลงเข้าสู่ท้องพระโรงนั้นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับนาง
อันหลิงหลงค่อย ๆ พยักหน้าด้วยสีหน้าซีดขาว รอยยิ้มแห่งชัยชนะวาบผ่านใบหน้าของเหลิงเยว่ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นภายนอกท้องพระโรง ขันทีสองคนแบกหีบยาวเข้ามา พวกเขาเดินอย่างระมัดระวัง ย่างก้าวหนักแน่น ชายเสื้อพลิ้วไหวตามจังหวะการเคลื่อนไหว ก้มหน้างุดไม่กล้ามองสิ่งใด
เพราะมิใช่ว่าวันนี้เพิ่งเกิดเรื่องในตำหนักฉยงฮวาไปมากมายหรอกหรือ?
ขันทีเดินมาหยุดตรงหน้าฝ่าบาท ยืนนิ่งมั่นคง สายตาของอันหรูอี้จับจ้องไปที่หีบยาวนั้น พินิจพิเคราะห์อย่างเงียบงัน
กล่องนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือ ยาวสองช่วงแขน ภายในไม่รู้ว่าบรรจุสิ่งใดไว้ แต่ดูท่าจะไม่เบาเลย
ของขวัญชิ้นนี้ ซ่งจื่ออานไม่ได้เอ่ยปากบอกกล่าวแก่สวีเจิ้งแม้แต่คำเดียว
ซ่งจื่ออานจับมือสวีเจิ้งราวกับกำลังกอบกุมดวงใจเอาไว้ พวกเขาทั้งสองเปรียบดั่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ส่องประกายคู่กันในงานเลี้ยง
สวีเจิ้งตื่นเต้นจนดวงตาเป็นประกาย ในบรรดาของขวัญมากมายที่ถูกนำขึ้นท้องพระโรงในวันนี้ นางชื่นชอบกล่องใบนี้ที่สุด แม้ภายในจะมีเพียง แค่บทกลอนที่ซ่งจื่ออานแต่งขึ้น นางก็จะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาท… ”
สวีเจิ้งอดร้องเรียกเสียงแผ่วเบาไม่ได้ ซ่งจื่ออานเหลือบมอง แต่กลับไม่สบตากับนาง แถมยังแอบมองอันหรูอี้อย่างมีเลศนัย
แต่น่าเสียดายที่อันหรูอี้ก้มหน้าลง และเถาหงกำลังรินสุราให้นางพอดี จึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าของนางได้
สวีเจิ้งส่ายหน้าพลางยิ้ม “ฝ่าบาท ในนี้มีอะไรหรือเพคะ? ”
ซ่งจื่ออานกระแอมเบาๆ รีบเปิดผ้าแดงออก ปรากฏกล่องไม้ที่มีลวดลายสีแดงประดับอยู่ทั่ว ดูราวกับถูกผนึกไว้ แต่ไม่รู้ทำไมจึงให้ความรู้สึกหนักอึ้งเช่นนี้
กล่องไม้ค่อยๆ ถูกเปิดออก พู่สีแดงปรากฏแก่สายตาเป็นอันดับแรก แม้จะเป็นเพียงหัวหอกที่ถูกขัดจนเรียบลื่นและคมกริบ ตามด้วยลำหอกที่ตรงดิ่ง ส่งกลิ่นของไม้หอมให้ล่องลอยมาอย่างรวดเร็ว
สวีเจิ้งดวงตาเปล่งประกาย หยิบหอกพู่แดงขึ้นมาด้วยสองมืออย่างตื่นเต้นดีใจ
“นานมาแล้วที่ข้าสั่งให้คนทำหอกนี้ให้เจ้า” ซ่งจื่ออานโบกมือให้ขันทีถอยออกไป “กุ้ยเฟยของข้ามีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่เพราะในวังห้ามพกอาวุธ จึงต้องละทิ้งสิ่งที่รักไป ข้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง”
คำพูดของเขานั้นมาจากใจจริง
สวีเจิ้งนั้นคือวีรสตรีผู้เก่งกล้า แต่บัดนี้นางกลับถูกพันธนาการอยู่ในโลกแคบ ๆ สี่เหลี่ยม ความรู้ความสามารถทั้งหมดล้วนไม่อาจแสดงออกมาได้ มิหนำซ้ำนางยังต้องมารับความทุกข์แทนอันหรูอี้
ซ่งจื่ออานรู้สึกผิดอยู่ในใจ
สวีเจิ้งกำหอกทวนแดงแน่น ดวงตางามคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาดำขลับเป็นประกายราวกับผิวน้ำสะท้อนแสงแดด กระทบใจผู้พบเห็นยิ่งนัก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” สวีเจิ้งมองหอกทวนแดงด้วยแววตาทะนุถนอม ก่อนจะหันไปมองซ่งจื่ออาน “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ… ”
ซ่งจื่ออานแย้มยิ้ม “ไม่ต้องขอบใจเราหรอก วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เราขอให้สัญญาว่าในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าสามารถเก็บหอกเล่มนี้ไว้ที่ตำหนักซูฮวาได้”
นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
สวีเจิ้งรู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย นางถือหอกพู่แดงไว้ในมือ แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งอย่างงุนงง นางมอบหอกพู่แดงให้แก่สาวใช้ แต่สายตายังคงจับจ้องมันโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเมื่อใด เสียงดนตรีและการเต้นรำก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง บทเพลงดังขึ้นอีกหน
ซ่างกวนหมิงหมิงและเจิงจือหรงลุกขึ้น พวกนางเองก็มอบของขวัญให้แก่สวีเจิ้งเช่นกัน หนึ่งคือเครื่องประดับศีรษะประดับทับทิมและไข่มุก อีกหนึ่งคือภาพวาดและตัวอักษรของปรมาจารย์เต๋าเทียนเป่า
แม่ทัพสวีรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีกับสวีเจิ้ง เขามองเหลิงตู้ด้วยสายตาดูถูกเป็นระยะ เหลิงตู้กดความขุ่นเคืองและความโกรธเอาไว้ในใจ เขาเพียงแต่ต้องการหาทางระบายออก
และไม่นานหลังจากนั้น โอกาสนั้นก็มาถึง
อันหลิงหลงลุกขึ้นยืน
นางยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความอันตรายราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก เริ่มกัดกร่อนความสงบที่เพิ่งจะกลับคืนมา
นางเอ่ย “วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของพี่หญิง น้องมิมีสิ่งใดจะมอบให้ นอกจากของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ มิได้มีค่าอันใดมาก ขอพี่หญิงโปรดรับไว้ด้วย”
ริมฝีปากของเหลิงเยว่ปรากฏรอยยิ้มเย็นยะเยียบ นางไม่ได้เอ่ยวาจาใด ๆ ออกมา บัดนี้กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่เป็น “ในเมื่อเจ้าตั้งใจนำของขวัญมามอบให้ ความจริงใจก็มีค่ามากพอแล้ว จะพูดทำไมว่ามีค่าหรือไม่ คิดว่าเจ้าคงจะไม่ถือสาเช่นนั้น ใช่หรือไม่… อันหลิงหลง”
เหลิงเยว่เอ่ยปกป้องอันหลิงหลง อันกวงเหนิงจึงหันไปมองอันหลิงหลง ด้วยสายตาเรียบเฉย
ในอดีตจวนของเขามักวุ่นวายอยู่เสมอ เขาจึงไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งใด แต่เมื่อบุตรสาวแต่ละคนเติบโตขึ้น พอนึกย้อนกลับไป บางสิ่งกลับค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค่อย ๆ ตระหนักถึงการดูแลบุตรสาวของตนที่หละหลวม และค้นพบเรื่องราวมากมายที่ไม่สมเหตุสมผลของอันหลิงหลงภายในจวน
เช่นการที่นางจะทำตัวว่าง่ายต่อหน้าบิดา แต่เหตุใดคนทั้งหมดในเรือนไม้ไผ่ถึงได้หวาดกลัวและชังนางนัก
บุตรสาวผู้นี้ช่าง… เฮ้อ
อันกวงเหนิงไม่อาจเอื้อนเอ่ย ได้แต่ฝืนยิ้มให้แม่ทัพสวี เพราะการต้อง ‘เลี้ยงดูบุตรสาวอกตัญญู’ เช่นนั้น มีเพียงบิดาด้วยกันที่เข้าใจ
เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองถือว่าเคยร่วมมือกัน อีกทั้งยังมีศัตรูร่วมกัน แม่ทัพสวีเองก็เป็นบิดาเช่นกันจึงเข้าใจ อันกวงเหนิงย่อมไม่อาจยอมให้บุตรสาวของตนไปข้องเกี่ยวกับตระกูลเหลิง เขาจึงส่ายหน้าไม่ได้ใส่ใจ
บุตรสาวมีมาก ก็ย่อมมีสักคนที่โง่งม
เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ สวีเจิ้งย่อมไม่อาจเอ่ยวาจาว่า ‘ข้าขัดข้อง’ ออกมาได้ แม้ว่าจะอยู่เพียงตำหนักในก็ตามที แต่บัดนี้เหล่าขุนนางล้วนอยู่พร้อมหน้า หากแสดงท่าทีเช่นนั้น ย่อมต้องนับเป็นการเสียมารยาทเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เหลิงเยว่จึงเอ่ยเย้าขึ้น “น้องหญิงช่างเป็นห่วงเป็นใยพี่หญิงยิ่งนัก ‘ของขวัญเล็กน้อยแต่เต็มเปี่ยมด้วยไมตรี’ แม้น้องหญิงจะมอบเพียงขนห่านให้ พี่หญิงย่อมถือเป็นของล้ำค่า”
สิ้นคำเหล่าผู้คนด้านล่างต่างพากันหัวเราะคิกคัก อันหลิงหลงก้มหน้าลงพลางเอ่ย “ของขวัญอย่างขนห่าน ไฉนเลยจะคู่ควรกับหญิงพี่เล่าเพคะ”
กล่าวจบซิ่วหงก็ยกกล่องไม้ขึ้น อันหลิงหลงเอ่ยต่อ “ของกำนัลที่น้องหญิงนำมามอบให้เป็นเพียงสิ่งของแก้เหงา นั่นก็คือ… ผีผาทำจากหยกเนื้ออ่อน มีนามว่าเซียงเสวี่ย ตัวพิณทำจากไม้ฮวาหลี ส่วนคอทำจากงาช้าง สายซ่อนไว้ภายในดุจเกล็ดน้ำแข็ง ยามดีดจะให้เสียงดังกังวานไพเราะ แม้จะมิใช่ของล้ำค่าหาใดเปรียบ แต่ก็คงพอจะฟังรื่นหูได้บ้างเพคะ”
เมื่อกล่าวถึงผีผา บรรดาผู้คนย่อมต้องนึกถึงอันหรูอี้เป็นธรรมดา เพราะนางเคยบรรเลงมันจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวง
สวีเจิ้งเดาเจตนาของนางออก อดมิได้ที่จะรู้สึกขบขันอยู่ในใจ แต่ทว่าสีหน้ากลับมิได้เปลี่ยนแปลง “ลำบากน้องหญิงแล้ว ข้ามิเคยคิดว่าผีผาเพียงตัวเดียวจะมีที่มาที่ไปสลับซับซ้อนถึงเพียงนี้มาก่อนเลย น่าเสียดายที่พี่หญิงมิเชี่ยวชาญด้านการดีดพิณ เกรงว่าคงทำให้ความหวังดีของน้องหญิงต้องสูญเปล่าเสียแล้ว”
อันหลิงหลงกล่าวอย่างมีนัยว่า “พี่สาวอาจไม่เข้าใจ แต่ย่อมมีผู้ที่เข้าใจ ยามว่างก็เรียกคนมาดีดให้ฟังก็พอแล้ว”
ซ่งจื่ออานยิ้มไม่เปลี่ยนกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “จิ้งผินช่างมีน้ำใจนัก นั่งลงเถิด”
อันหลิงหลงกำลังจะนั่งลง ต้นขายังไม่ทันแตะเก้าอี้ เสียงของเหลิงเยว่ก็ดังขึ้นทันใด “หรูอี้ เจ้าไม่ใช่หรือที่มีฝีมือดีดผีผาเป็นเลิศ? ”
ซ่งจื่ออานหรี่ตาลง สวีเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วคลายออก “ฝ่าบาท วันนี้มีดนตรีและการแสดงมากพอแล้ว น้องหรูอี้เองก็เริ่มเมา ไม่จำเป็นต้องแสดงหรอกกระมัง? ”
“แค่มึนเหล้าเล็กน้อยเท่านั้น” เหลิงเยว่กล่าวเรียบๆ “อีกอย่าง น้องหญิงยังไม่ได้มอบของขวัญ ไฉนไม่ถือโอกาสนี้แสดงความยินดีแก่สวีกุ้ยเฟยเล่า? ”
ซ่งจื่ออานมองไปทางอันหรูอี้ด้วยความกังวลเมื่อเห็นฮองเฮาเอาจริง
อันหรูอี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
แต่เหลิงเยว่มิได้ให้โอกาสนางปฏิเสธ กลับถอนหายใจพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เอาเถิด ในเมื่อเป็นงานเฉลิมฉลองของสวีกุ้ยเฟย ทั้งยังเป็นน้ำใจจากฝ่าบาทเช่นนี้ อันกุ้ยเฟย เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองไปเลย”