หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 83 งานเลี้ยงวันเกิด (5)
บทที่ 83 งานเลี้ยงวันเกิด (5)
การค้าทาสในยุคราชวงศ์ซีจิ้นตะวันตกนั้นเป็นการละเมิดกฎของบรรพบุรุษ หากพบเห็นองค์เสี้ยนตี้เคยตรัสว่าให้ยึดทรัพย์สินในทันที
ที่เหลิงซิงและเหลิงฟางมีท่าทีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ แสดงว่าไม่บริสุทธิ์ใจ หากไม่ใช่เพราะมีความผิดติดตัว คงมิปะทุออกมาให้เห็นเช่นนี้ การค้าทาสเป็นเรื่องที่ราชวงศ์ซีจิ้นชิงชังยิ่งนัก
เรื่องนี้ซ่งจื่ออานรู้ดี แต่จำต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน
เขาสามารถทำลายเส้นทางการค้าทาสได้ แต่ไม่อาจลงมือกับเหลิงซิงและเหลิงฟางได้
งานเลี้ยงวันเกิดที่ควรจะราบรื่นกลับพลิกผันหลายตลบ อันหรูอี้มองดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน นางรู้ดีว่าเรื่องวุ่นวายนี้จะต้องกระเด็นมาถึงตัวนาง แต่หาได้แยแสไม่ เพราะนางเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว
การร่ายรำอันงดงามถูกขัดจังหวะจนต้องหยุดชะงัก บรรดาข้าหลวงต่างพากันคุกเข่า ก้มหน้าเศร้าสร้อย นึกคร่ำครวญในใจ ไฉนงานเลี้ยงเฉลิมฉลองจึงไม่สงบสุขเช่นนี้ ขอเพียงอย่าพาลให้เรื่องเดือดร้อนมาถึงตนก็พอ
ซ่งจื่ออานมิได้ใส่ใจ ใช้จังหวะที่ทุกสายตามุ่งความสนใจไปที่เหลิงฟางและฮองเฮา เอ่ยกับอันหรูอี้พร้อมผงกศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะแอบขยับริมฝีปากกล่าวว่า
“ค่ำนี้ไปพบข้าที่ตำหนัก”
อันหรูอี้หน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาฉายแววดุเล็กน้อย ในช่วงเวลาแบบนี้ยังจะคิดเรื่องเช่นนี้อีกหรือ
ซ่งจื่ออานมองใบหน้างดงามของนางอย่างอาวรณ์ ก่อนจะหันกลับไปมองเหลิงซิงด้วยสีหน้าเย็นชา
ครู่ก่อนเหลิงซิงและเหลิงฟางปรารถนาอันหรูอี้อย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน ครั้งนี้นับเป็นโอกาสดี หากไม่เอาคืนเสียหน่อย เห็นทีเขาซ่งจื่ออานคงไม่สมกับเป็นบุรุษ
“เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร” ซ่งจื่ออานเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงเนตรของโอรสสวรรค์ฉายแววขุ่นเคือง จ้องมองเสนาบดีรายนั้นอย่างเงียบงัน
ผู้ถูกมองเองก็ทำทีราวกับเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เงียบเชียบและวุ่นวายจึงรีบกล่าวขออภัย
“โอ ขอพระองค์โปรดประทานอภัย กระหม่อมชราแล้วก็เป็นเช่นนี้ ความจริงกระหม่อมยังพูดไม่จบก็ถูกขัดเสียก่อน มิได้มีเจตนาทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่อย่างใด”
“เข้าใจผิดหรือ” ซ่งจื่ออานเหลือบมองเหลิงเยว่เพียงคราเดียวก่อนเอ่ย “ฮองเฮาเหลิง กลับไปประทับที่ของพระองค์ก่อนเถิด ระวังกิริยาด้วย”
เหลิงเยว่กัดฟันกรอด นางยังไม่ทันได้ฉุดอันหรูอี้ให้ตกต่ำ กลับถูกพี่น้องของตนเองฉุดให้ตกที่นั่งลำบากเสียก่อน แต่เมื่อซ่งจื่ออานออกปากสั่งเช่นนั้นแล้วนางก็ทำอะไรไม่ได้ มิเช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายเสียกิริยาเอง
ฝ่ายอันกวงเหนิงตบหน้าผากตัวเอง 2 ครั้ง แสร้งทำท่าทางจนปัญญาและหวาดหวั่น “ฝ่าบาทโปรดทรงทราบ กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ขอฝ่าบาททรงเชื่อมั่น ตระกูลสือทั้ง 2 ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์! ”
ขุนนางผู้นั้นรีบเสริม
“หญิงพวกนี้แม้จะเป็นทาส แต่เป็นทาสที่หลบหนีมา แล้วบังเอิญที่ท่านอ๋องทั้งสองพบเข้า จึงรับตัวไปไว้ที่จวน พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ตรวจสำมะโนครัวมาพบเข้า ท่านอ๋องทั้งสองเกรงว่าจะถูกพาดพิงไปด้วย จึงจำใจต้องไล่พวกนางออกไป สรุปคือท่านอ๋องทั้งสองบริสุทธิ์ใจ ไร้มลทิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น! ”
เหลิงเยว่จ้องเขม็งราวกับจะใช้สายตาจิกอันกวงเหนิงและขุนนางรายนั้นให้ตายคามือ ทันใดนั้นแม่ทัพสวีก็เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “บังเอิญหลายครั้งหลายครา เช่นนี้ เหตุใดผู้อื่นจึงไม่บังเอิญพบเจอ กลับเป็นสกุลเหลิงที่พบเจอ คำว่า ‘บังเอิญ’ นี่ช่างใช้ได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก”
อันกวงเหนิงแย้มยิ้ม “วันนี้เป็นงานเลี้ยงรับรองวันคล้ายวันประสูติของกุ้ยเฟย แน่นอนว่าพอดีก็คือพอดี เชื่อว่าท่านอ๋องทั้งสองคงมิใช่พ่อค้าที่จงใจค้าทาสหรอก”
เหลิงซิงและเหลิงฟางหน้าซีดเป็นสีเขียว เหลิงซิงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าวถูกต้อง… น้องรอง เจ้ายังไม่ขออภัยท่านอีกหรือ”
เหล่าขุนนางมากมายอยู่เบื้องหน้า หากไม่ขออภัย วันนี้เขาจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร เหลิงฟางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าว ราวกับคนใกล้ตายที่ดิ้นรน “เมื่อครู่เหลิงฟาง ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านไปชั่วขณะ ขอท่านเสนาบดีอย่าได้ถือโทษ”
เสนาบดีผู้นี้ย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว เพราะรับราชการมานานหลายปี ผ่านการปกครองอันดุดันของเสี้ยนตี้มาแล้ว พวกเขาเหล่าขุนนางเฒ่าถูกด่ามาน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
สิ่งสำคัญคือซ่งจื่ออานจะคิดเช่นใดต่างหาก
ซ่งจื่ออานยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ทอดสายตามองผู้คนในตำหนักโดยรอบ ก่อนจะหันกลับมา ทว่าแววตากลับยังเย็นเยียบ
“เหลิงซิง เหลิงฟางกล่าววาจาอุกอาจ ณ ตำหนักฉงฮวา ดูหมิ่นข้าราชบริพารผู้ซื่อสัตย์ จงริบยศถาฐานันดร จับตัวทั้งสองไปปิดปากแล้วนำตัวออกไปจากวัง”
เหลิงซิงและเหลิงฟางตกตะลึง เหลิงตู้มองซ่งจื่ออานอย่างไม่อยากเชื่อ เหลิงเยว่ลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง
“ฝ่าบาท พระองค์จะทำเช่นนี้ไม่ได้! ”
ซ่งจื่ออานกล่าวเสียงดัง “ห้ามสตรีในวังหลวงก้าวก่ายราชกิจ! ผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาแทนพวกมัน จงนำตัวออกไปด้วย! ”
เหลิงเยว่ตัวสั่นเทา สวีเจิ้งจ้องมองซ่งจื่ออานอย่างครุ่นคิด แม่ทัพสวีเอ่ยขึ้น “ถูกต้องแล้ว บุรุษผู้หลงใหลในสุราและสตรีเช่นนี้จะเหมาะสมอันใดกับการนั่งอยู่ที่นี่ อย่ามาทำให้ข้าแปดเปื้อนสายตาอีกเลย!”
ขณะที่เขากำลังกล่าว องครักษ์ประจำตำหนักก็ก้าวเข้ามา ควบคุมตัวเหลิงซิงและเหลิงฟางออกไป
เหลิงตู้ลุกขึ้นยืนเพื่อห้ามปราม แต่ทันทีที่เหลิงซิง และเหลิงฟางร้องตะโกนว่า “ฝ่าบาท โปรดอภัย” พวกเขาก็ถูกปิดปาก และโยนออกไปอย่างไร้ความเมตตา
เหลิงตู้ตกตะลึงจนผงะถอยกลับไปยังที่นั่งเดิม ส่วนแม่ทัพสวีและอันกวงเหนิงกลับหัวเราะออกมาพร้อมกัน ความรู้สึกอันตรายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลันแล่นเข้าสู่ร่าง
เป็นฝีมือของสวีจวินโถวอย่างแน่นอน! ต้องเป็นเขาที่ร่วมมือกับอันกวงเหนิงพูดใส่ร้ายป้ายสีตนต่อหน้าฝ่าบาทเป็นแน่ เหลิงตู้มองจ้องแม่ทัพสวีอย่างเคียดแค้น ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต ราวกับต้องการจะกัดกินเนื้อดื่มเลือดของอีกฝ่าย
เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะเขา!
แม่ทัพสวีไม่ต้องการสนใจชายแก่คนนี้แม้แต่น้อย เหลิงตู้กล้าคิดร้ายกับตน เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางปล่อยเหลิงตู้ไปอย่างแน่นอน ในเมื่อโกรธเคืองกันเช่นนี้ ตนต้องหาโอกาสทำลายล้าง
เดิมทีคิดว่าหลังจากผ่านเรื่องราววุ่นวายไปสองเรื่อง งานเลี้ยงคงจะดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าซ่งจื่ออานกลับเพียงยิ้ม ๆ และเอ่ยปากให้ทุกคน
“สนุกสนานกันต่อไป อย่าได้ทำลายวันคล้ายวันประสูติของกุ้ยเฟยเลย”
เรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะมีสิ่งใดควรค่าแก่การ ‘สนุกสนาน’ อีกหรือ?
แต่อันกวงเหนิงและขุนนางคนสำคัญอื่น ๆ ยังคงนิ่งเฉย ขุนนางที่เหลือจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่หัวเราะแหย ๆ และดื่มสุราสังสรรค์ต่อไป กระนั้นรอยยิ้มนั้นจะจริงใจหรือเสแสร้งแกล้งทำเพียงใด มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้
เหลิงเยว่มือสั่นเทา ซ่งจื่ออานไม่คำนึงถึงหน้าตาของนางเลย! อีกทั้งยังมีตระกูลอัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอันหรูอี้และอันกวงเหนิง หากไม่ใช่เพราะพวกเขา นางคงไม่ถูกซ่งจื่ออานตวาดต่อหน้าขุนนางเช่นนี้! นางจะทนความอัปยศนี้ได้อย่างไร?!
ตระกูลอัน…
เหลิงเยว่หันไปจ้องมองอันหลิงหลงในทันที มีเพียงการให้คนในตระกูลอันฆ่าฟันกันเองเท่านั้น ถึงจะระบายความแค้นของนางในยามนี้ได้!
แต่เพิ่งได้เห็นการต่อสู้ทั้งแบบเปิดเผยและลับ ๆ ระหว่างอันกวงเหนิงกับเหลิงตู้ไป ต่อให้อันหลิงหลงจะโง่เขลาเพียงใดก็ย่อมรู้จักเกรงกลัว แต่เพียงชั่วครู่ที่ลังเล งานเลี้ยงก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้กลับเป็นซ่งจื่ออานเองที่ก่อเรื่องขึ้น
“กุ้ยเฟย” สีหน้าของซ่งจื่ออานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเหมือนดอกท้อเบ่งบานในเดือนสาม ดวงตาคมกริบย้อมสีอ่อนหวาน เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าก็เตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าเช่นกัน”
คราวนี้แม่ทัพสวีไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว ของขวัญที่ฮ่องเต้พระราชทานด้วยพระองค์เอง คงไม่มีอะไรแปลกประหลาดอีกกระมัง?
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดและไม่เคยรู้เลย ว่าของขวัญที่ซ่งจื่ออานมอบให้กลับเป็นสิ่งที่จะพรากชีวิตเขาไปในท้ายสุด
ในขณะนั้นอันหลิงหลงที่ถูกขัดจังหวะหัวเราะออกมาเบา ๆ ใครจะรู้ว่าพอเงยหน้าขึ้น นางก็ได้เห็นรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจร้ายของเหลิงเยว่ ที่กำลังจดจ้องมองตนอยู่ ปากหรือก็พึมพำออกมา 3 คำ
ท้องพระโรง