หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 81 งานเลี้ยงวันเกิด (3)
บทที่ 81 งานเลี้ยงวันเกิด (3)
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ดนตรีและการร่ายรำได้หยุดลง
แขนเสื้อกว้างและผ้าไหมยาวลอยละล่องอยู่กลางเวทีราวกับสายน้ำและก้อนเมฆ นักเต้นที่กำลังร่ายรำอยู่นั้นไม่ได้สังเกตเห็นถึงกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเลย ราวกับเสียงพิณโบราณที่บรรเลงอย่างโดดเดี่ยว ดังก้องและเงียบเหงา
เหลิงซิงมองไปที่สวีเจิ้งพร้อมแสยะยิ้ม รอยยิ้มบนใบหน้าที่ซูบผอมนั้นช่างดูบิดเบี้ยว ไม่เหมือนกับการอวยพรวันเกิด กลับเหมือนปีศาจร้ายที่ปีนออกมาจากนรก กำลังกัดกินความสุขและความสงบของนางทีละเล็กทีละน้อย
หัวใจของสวีเจิ้งเต้นแรงขึ้นมาทันใด นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หาก ซ่งจื่ออานเพียงแค่ต้องการให้นางเป็นโล่กำบังให้กับอันหรูอี้ ทำไมเหลิงซิง และเหลิงฟางถึงออกมา ‘อวยพรวันเกิด’ นางด้วยเล่า?
ต่อให้ทุกคนเข้าใจซ่งจื่ออานผิดไป ต่อให้ตำแหน่งฮองเฮาของนางอาจจะสั่นคลอน แต่การเป็นแค่โล่กำบัง ซ่งจื่ออานไม่น่าจะปล่อยให้นางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ท่าทีของเหลิงซิงและเหลิงฟางแสดงถึงท่าทีของเหลิงตู้ เหลิงตู้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเป็นศัตรูกับตระกูลสวีมาก่อนหรือ? เหตุใดครั้งนี้พวกเขาถึงได้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างซ่งจื่ออานกันเล่า? ซ่งจื่ออานทำอะไรลงไปกันแน่? ภายนอกวัง… เกิดอะไรขึ้นกัน?
สวีเจิ้งมองไปทางซ่งจื่ออานด้วยความสงสัยเล็กน้อย นางคิดว่าซ่งจื่ออาน น่าจะห้ามปราม แต่ซ่งจื่ออานกลับกล่าวว่า “ในเมื่อนำของขวัญมาแล้ว ก็จงเอามาเถิด”
สวีเจิ้งรู้สึกหดหู่ในใจ นางมองไปทางบิดาของตน แต่กลับเห็นแม่ทัพสวีมีสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่าท่านก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเหลิงถึงได้เริ่มโจมตีพวกตน
หรือว่าเป็นเพียงเพราะงานเลี้ยงวันเกิดที่ตำหนักฉยงฮวานี้? แต่… เหลิงตู้ ไม่ใช่คนที่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงความโปรดปรานของสตรีหรอกหรือ?
ทั้งสองคนต่างสงสัย แต่ในสายตาของเหลิงตู้ มันกลับกลายเป็นมีความหมายอื่น เหลิงตู้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
อันกวงเหนิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางอันหรูอี้ พยักหน้าเบาๆ สายตาแสดงออกถึงความห่วงใยและความมั่นคง ให้นางวางใจ
ปฏิกิริยาของทุกคนเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ แต่กลับมีความหมายมากมายที่มองไม่เห็น ซ่งจื่ออานรอคอยของขวัญจากเหลิงซิงและเหลิงฟางอย่างสงบ และเห็นทั้งสองให้ขันทีนำหีบไม้ใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าแดงเข้ามา
เมื่อเปิดหีบไม้ออก ซ่งจื่ออานยังไม่ทันเอ่ยปาก เหลิงตู้ก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ฝ่าบาท สิ่งนี้เป็นของที่เหลิงซิงและเหลิงฟางนำมาจากเฉิงตูโดยเฉพาะ พวกเขาใช้ความพยายามไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เอ่ยวาจา บรรดาผู้คนในท้องพระโรงก็พากันเห็นพ้อง “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นเช่นกัน ตอนที่ท่านอ๋องทั้งสองขนย้ายสิ่งของเข้ามา กระหม่อมเพียงแค่เอ่ยปากขอชม พวกเขากลับไม่ยอม แถมยัง…”
“ไหนเลยจะแค่ไม่ยอมให้ชม” อีกคนเอ่ยแทรก “ข้าน้อยเพียงแค่เอ่ยถามว่าเป็นสิ่งใด ท่านอ๋องทั้งสองกลับปิดปากเงียบ ทำราวกับว่าเป็นความลับสวรรค์ก็มิปาน”
สีหน้าของแม่ทัพสวีพลันดำคล้ำดุจก้นหม้อ
เหลิงซิง เหลิงฟางถวายของกำนัล เหลิงตู้ช่วยเหลือด้วยอำนาจ และสิ่งนี้ถูกขนมาจากเมืองหลานโจว หลานโจวเป็นสถานที่ใด? นั่นคือที่ตั้งค่ายของกองกำลังเก่าแม่ทัพสวี!
ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งนี้ถูกขนมาจากที่นั่นจริงหรือไม่ แต่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในไม่ใช่ของดีแน่นอน เหตุใดเหลิงตู้จึงต้องโจมตีเขากัน?
แม่ทัพสวีรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ยังไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ก็เห็นเหลิงซิงเหลิงฟางยกมือเปิดหีบออกเสียแล้ว!
สมบัติปรากฏกาย แสงสว่างแผ่กระจาย แต่เมื่อมองให้ชัดอีกครั้ง กลับเป็นมังกรทองเก้าเล็บที่แกะสลักอย่างประณีต! บนนั้นยังมีตัวอักษร ‘สวี’ ขนาดใหญ่อีกด้วย!
แม่ทัพสวีและสวีเจิ้งต่างสูดลมหายใจเฮือกด้วยความตกใจ แม้แต่เหลิงเยว่ที่กำลังคิดวางแผนจัดการอันหรูอี้อยู่ก็ยังขมวดคิ้ว ส่วนซ่งจื่ออานที่อยู่ใกล้ที่สุด คงจินตนาการได้ว่าเขามีสีหน้าเช่นไร
นี่ไม่ใช่ของกำนัลที่ดี ดังนั้นผู้ที่เห็นของกำนัลนี้ย่อมไม่มีสีหน้าที่ดีเช่นกัน
สีหน้าของซ่งจื่ออานขรึมลงทันที สายตาของเขาจ้องมองมังกรทองอย่างเอาเป็นเอาตาย ท้องพระโรงเงียบกริบชั่วขณะ ราวกับทุกคนถูกความโกรธของ ซ่งจื่ออานครอบงำ
อันหรูอี้ก้มหน้าลง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้น นางรู้ว่าซ่งจื่ออานนั้นหาได้โกรธเคืองไม่ ตรงกันข้ามของกำนัลชิ้นนี้นับว่า ‘ดีเลิศ’ จนทำให้ซ่งจื่ออานรู้สึกยินดียิ่ง
การส่งของกำนัลเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการกล่าวหาว่าตระกูลสวีคิดก่อกบฏ แม้แม่ทัพสวีจะมีอารมณ์เยือกเย็นเพียงใดก็คงไม่อาจทนได้
แม่ทัพสวีคิดจะลุกขึ้นตบโต๊ะด้วยความโกรธ ทว่าซ่งจื่ออานกลับนิ่งเฉย ไม่เอ่ยสิ่งใด หากเขาโพล่งออกไปว่าตระกูลเหลิงคิดใส่ร้ายป้ายสี แล้วซ่งจื่ออานยกโทษให้ตระกูลเหลิงเพราะเห็นแก่สถานการณ์บ้านเมืองเล่า? เช่นนั้นตระกูลเหลิงก็จะได้ใจ อาศัยความชอบจากการศึกที่จะเกิดขึ้นนี้ลบล้างความผิด!
ดังนั้นเขาจึงรอ รออยู่นาน จนกระทั่งนางรำร่ายรำจนถึงท่อนสุดท้าย สะบัดผ้าแพรยาวสีขาวผูกไว้กับขื่อ เคลื่อนไหวร่ายรำอย่างงดงาม ซ่งจื่ออานก็ยังคงนิ่งเงียบ
เหลิงซิงเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เดาใจซ่งจื่ออาน ไม่ออก จึงเอ่ยขึ้นว่า “ของกำนัลชิ้นนี้ได้ยินว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของเมืองหลานโจว พวกข้าน้อยสองพี่น้องทุ่มทุนทรัพย์เพื่อให้ได้มันมา ไม่ทราบฝ่าบาททรงพอพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
แม่ทัพสวีโมโหจนแทบอยากจะตีไอ้เด็กทรามทั้งสองให้ตายคามือ แต่ก็ได้แต่กำจอกชาในมือจนเกือบแตก เขายังคงนั่งนิ่ง ไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่จ้องมองเหลิงซิงด้วยสายตาแข็งกร้าว
บัดนี้เรื่องราวบาดหมางถือว่าได้ข้อสรุปแล้ว!
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซ่งจื่ออานก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า…”
เหลิงซินและเหลิงฟางต่างชะงักไป สวีเจิ้งที่กลั้นหายใจไว้ก็ผ่อนลมหายใจออกมา
ซ่งจื่ออานหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก! ของขวัญชิ้นนี้มอบให้เจิ้งเอ๋อร์ ก็ควรจะถามเจิ้งเอ๋อร์ว่าชอบหรือไม่ เหตุใดจึงมาถามเราเล่า”
ซ่งจื่ออานเอียงศีรษะมองไปทางอันหรูอี้ “กุ้ยเฟย เจ้าว่านี่น่าขันหรือไม่น่าขัน? ”
ซ่งจื่ออานหัวเราะออกมา แม่ทัพสวีจึงหัวเราะตามไปด้วย ในใจรู้สึกโล่งอก
“ฝ่าบาทตรัสอะไรเช่นนั้น แม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของหม่อมฉัน แต่ฝ่าบาทคือจักรพรรดิแห่งซีจิ้น หม่อมฉันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวังหลังของฝ่าบาท แน่นอนว่าต้องถามความเห็นของฝ่าบาทก่อน”
แต่ว่าสวีเจิ้งไม่สามารถหัวเราะออกมาได้
ซ่งจื่ออานเมื่อครู่ยังเป็นห่วงนาง ตอนนี้กลับมองไปทางอันหรูอี้ เห็นได้ชัดว่าในใจยังมีความกังวล ดังนั้นจึงเริ่มห่างเหินจากนางโดยไม่รู้ตัว
อันหรูอี้สบตากับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องทั้ง 2 ทูลเกล้าถวายของขวัญ ล้วนเพื่อเอาใจฝ่าบาทและพี่หญิง การเลือกว่าจะคำนับให้ใครสำคัญถึงเพียงนั้นเชียว? ”
“พูดได้ไม่เลว! ” ซ่งจื่ออานดูเหมือนจะถูกคำพูดนี้ทำให้อารมณ์ดี ถึงกับหัวเราะพลางกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติ ธรรมเนียมจะสำคัญกว่าคนได้อย่างไร พวกเจ้าทั้งหลาย อย่าได้กลับหัวกลับหางเช่นนี้! ”
เหลิงซิงเหลิงฟางไม่คาดคิดว่าการถวายของขวัญจะจบลงเช่นนี้ ต่างขมวดคิ้วแล้วทูลลา
สีหน้าของเหลิงตู้ดูไม่สู้ดีนัก แม่ทัพสวีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ความกริ้วโกรธยังไม่จางหาย อันกวงเหนิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยปากเสียดสีอย่างยียวนว่า “หยกชั้นดีเช่นนี้ ช่างถูกทำลายไปอย่างไร้ค่าเสียจริง ไม่รู้ว่าบางคนจะรู้สึกเสียดายบ้างหรือไม่”
แม่ทัพสวีมุมปากกระตุก อันกวงเหนิงพูดพึมพำกับตัวเองต่อว่า “ไม่ถูก ไม่ถูก พวกเขาคงไม่เสียดายหรอก เพราะอย่างไรเสียก็ร่ำรวยเงินทองอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าความเสียดายก็คือการเสียหน้า เช่นสุภาสิตที่ว่า ‘จะขโมยไก่กลับถูกข่วน’ เป็นต้น โอ้ย ๆ ชั่วชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเสียหน้าเช่นนี้มาก่อนเลย”
แม่ทัพสวีพลันหลุดหัวเราะออกมา ยกแก้วสุราขึ้นให้อันกวงเหนิง “ท่านอัครมหาเสนาบดีอันพูดถูก พวกเราไม่เหมือนกับคนชั่วช้าเลวทรามพวกนั้น เสียหน้าก็ไม่เสียถึงพวกเรา”
อันหรูอี้และซ่งจื่ออานมองหน้ากัน แล้วยิ้มออกมาอย่างรู้กัน
ส่วนทางด้านเหลิงเยว่กลับขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองอันหลิงหลง