หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 80 งานเลี้ยงวันเกิด (2)
บทที่ 80 งานเลี้ยงวันเกิด (2)
ผู้ใดช่างกล้าหาญเพียงนี้ ถึงกับบังอาจจับจ้องพระสนมในรั้ววัง!
เหลิงเยว่คิดในใจ แต่ก็สังเกตเห็นความไม่พอใจของผู้อื่น นางมองตามสายตาของพวกเขาไป จนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียง “จุ๊” เบาๆ
ราชวงศ์ซีจิ้นมีขนบธรรมเนียมที่เปิดกว้าง ชายหญิงนั่งร่วมโต๊ะกันได้ แต่ก็มีข้อเสียเช่นนี้ นั่นคือพวกเหลิงซิงและเหลิงฟาง
ช่างน่าอับอายจริงๆ
อีกเดี๋ยวซ่งจื่ออานจะมา หากพวกเขายังจ้องมองเช่นนี้ นางคงไม่ต้องเป็นฮองเฮาแล้ว
“ท่านพี่! ” เหลิงเยว่กวาดตามองเหลิงตู้ “นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ช่วงนี้สบายดีหรือไม่? ”
เหลิงตู้มองกลับไปช้าๆ บุตรชายสองคนข้างกายเขามาที่นี่ด้วยความคิดเช่นไร เขารู้ดีแจ่มแจ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะได้กำชับไว้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้สิ คำกำชับนั้นได้ผลอย่างไร่ก็พอเดาได้
“เหลิงซิง เหลิงฟาง! ” เหลิงตู้หน้าดำทะมึน “ตระกูลเหลิงตอนนี้อยู่ในสถานการณ์เช่นไร หากพวกเจ้ายังไม่รู้จักสำรวมตัว จงรีบกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้! ”
เหลิงซิงขมวดคิ้ว ด้วยตนเองเพียงแค่มาชมโฉมงาม เพราะบัดนั้นซ่งจื่ออาน เอ่ยว่า ‘กุ้ยเฟยอันหรูอี้ บรรเลงพิณเสียงก้องกังวานทั่วไท่เหอ’ ทำเอาบุรุษในเมืองหลวงมากมายเพ้อฝัน เขาก็แค่มาชมดูเท่านั้น มิอาจเอื้อมถึง
แม้เพียงได้เห็นก็ช่างงามล้ำ
เพียงปรากฏกายอันหรูอี้ กระโปรงแดงสีทับทิมก็พลิ้วไหว นางก้มหน้าบรรจงดีดพิณ เงยหน้าเผยลำคอขาวผ่อง สีหน้าดูเย็นชา ทว่าใบหน้าช่างงดงาม หากได้โอบกอดเชยชม ย่อมงามล้ำเหนือสตรีใด
น่าเสียดาย นางเป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แม้เย้ายวนเพียงใดก็ได้แต่ดูเท่านั้น มิอาจเอื้อมถึง
เหลิงซิงเบื่อหน่าย จึงกล่าวกับเหลิงเยว่ว่า “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมอาศัยอยู่นอกวัง ไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ นับว่าคิดถึงยิ่งนัก พอเห็นเช่นนี้จึงวางใจ ที่พระวรกายของพระองค์ยังคงแข็งแรงดี”
แข็งแรงดีหรือ?
อันหรูอี้และซ่างกวนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสบตากัน แววตาแสดงความไม่เห็นด้วย หากเช่นนี้เรียกว่าแข็งแรงดี โลกนี้คงไม่มีผู้ใดป่วยกระมัง
เหลิงฟางดวงตาเจ้าเล่ห์ยังคงกวาดมองไปทั่วงาน แม้แต่สาวงามที่รินเหล้าอยู่ข้างกายก็ยังคิดจะลวนลาม หากมิใช่เหลิงซิงคอยเตือนสติ คาดว่าอีกไม่กี่อึดใจคงลากนางไปเสพสมกันในที่ลับตาเป็นแน่
เหลิงเยว่เพียงแต่เอ่ยปากเตือนสติเท่านั้น ความสนใจทั้งหมดล้วนมุ่งไปที่อันหรูอี้ บัดนี้งานเลี้ยงยังไม่ทันเริ่ม ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่การสร้างบรรยากาศให้คึกคักย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
นางเหลือบมองไปทางอันหลิงหลง ซึ่งเอ่ยปากพาทีอันหรูอี้ด้วยท่าทางสนิทสนมว่า “พี่หญิงเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าพระองค์ทรงโปรดการบรรทมเป็นอย่างยิ่ง ช่วงนี้พระวรกายยังทรงแข็งแรงดีหรือไม่เพคะ”
อันหรูอี้เหลือบมองนางพลางคลายคิ้วออก กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เพียงรู้สึกอ่อนเพลียบ้างเล็กน้อย มิอาจเทียบกับน้องหญิงได้หรอก ข้ามักงีบเวลาไม่มีสิ่งใดทำประจำ”
อันหลิงหลง รู้สึกว่าคำพูดของนางช่างน่าขันนัก
“เช่นนั้นก็นับว่าแปลกยิ่งนัก หม่อมฉันนึกว่าพระองค์ทรงว่างทุกวันเสียอีก เหตุเพราะฝ่าบาท… เอ่อ หม่อมฉันหมายถึง ใกล้ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสวีกุ้ยเฟย ได้ยินมาว่าฝ่าบาทมิทรงมีเวลาสนใจพระสนมองค์อื่นเลย”
อันหรูอี้ยิ้มบางๆ “คำพูดของน้องหญิงช่างผิดนัก เวลาอื่น… ฝ่าบาทก็มิได้ทรงสนใจข้าเช่นกัน”
อันหลิงหลงหน้าครึ้มไปชั่วครู่ นางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตากรุ่นโกรธ ทันใดนั้นดวงตาพลันกลับกลอกไปมา รอยยิ้มแสนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้า งดงามจนเหลิงฟางต้องหันไปมอง
“ฝ่าบาททรงงานหนักทุกวัน คงไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอกเพคะ”
อันหรูอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดนางจึงพูดแทนซ่งจื่ออานเช่นนั้น ในขณะเดียวกันเถาหงก็ก้มศีรษะลงต่ำพร้อมรายงาน “ทูลกุ้ยเฟย ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
อันหรูอี้เงยหน้าขึ้น ไม่สนใจอันหลิงหลงอีกต่อไป สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า ที่ปรากฏร่างสูงสง่าในชุดสีเหลืองทอง เสด็จมาพร้อมกับสวีเจิ้ง ทั้งสองยิ้มให้กัน ดูสนิทสนมกลมเกลียว
หนึ่งงามสง่าผ่าเผย อีกหนึ่งสดใสร่าเริง ทั้งสองเข้าสู่วังท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย
อันหรูอี้จ้องมองซ่งจื่ออานจากมุมมองนี้เป็นครั้งแรก มุมมองที่เขาเป็นฮ่องเต้หนุ่มผู้ครอบครองหกวัง นางเพิ่งมารู้สึกตัวเมื่อเถาหงกระตุกแขนเสื้อของนาง จึงค้อมคำนับพร้อมกับผู้คนทั้งหลาย
ปากกล่าว “ขอฝ่าบาทจงทรงพระเจริญ”
แต่ในใจกลับมีความรู้สึกขมขื่นแปลกประหลาดผุดขึ้นมา
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” ซ่งจื่ออานยิ้มพลางพาสวีเจิ้ง ไปนั่ง ณ ที่นั่งทางขวาของตน “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของสวีกุ้ยเฟย พวกเจ้าไม่ต้องเคร่งครัดนัก ขอเพียงสนุกสนานเท่านั้น”
นึกย้อนกลับไป ตั้งแต่นางเข้าวังมาจนถึงตอนนี้ ซ่งจื่ออานดูเหมือนจะอยู่เคียงข้างนางเสมอ นางยังไม่เคยเห็นเขาสนิทสนมกับสตรีอื่นเลย
ไม่เคยเลยสักครั้ง
นี่เป็นครั้งแรก
นางค่อยๆ นั่งลง อันกวงเหนิงและคนอื่นๆ ก็นั่งลงตาม เหลิงซิงและเหลิงฟางสงบเสงี่ยมลง ไม่อยากให้ศัตรูของพวกเขาสบโอกาสโจมตี มิเช่นนั้นงานเลี้ยงนี้จะกลายเป็นกับดักสำหรับพวกเขาเอง
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีและการร่ายรำ แขกเหรื่อต่างทยอยเข้าถวายพระพร เริ่มจากขุนนางชั้นผู้น้อยไล่ไปจนถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ผู้คนต่างหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
ฝ่าบาทซ่งจื่ออานตรัสว่า “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้า เช่นนั้นข้าขอมอบสุราจอกนี้ให้”
สวีเจิ้งยิ้มน้อย ๆ พร้อมหยิบจอกสุราขึ้นมาตอบว่า “ฝ่าบาทได้ประทานของขวัญล้ำค่าให้แก่หม่อมฉันแล้ว จอกนี้หม่อมฉันขอทูลถวายแก่ฝ่าบาท”
นางดื่มหมดจอกอย่างรวดเร็ว “โอ๊ะ นานแล้วที่ไม่ได้ดื่มอย่างสบายใจเช่นนี้ ฝ่าบาทอย่าถือสาหม่อมฉันเลยนะเพคะ”
ซ่งจื่ออานสรวลอย่างพอใจ จึงดื่มสุราในจอกของตนจนหมด แล้วตรัสว่า “ต่อไปนี้ในวังหลวงจะเตรียมสุราไว้ให้เสมอ เช่นนั้นไม่ต้องเกรงใจ อย่างไรเสียสุราเป็นตัวบ่อนทำลายสุขภาพ ควรดื่มแต่พอดี”
ทั้งสองผู้สูงศักดิ์ผลัดกันรินสุราให้กัน ต่างยิ้มแย้มอย่างมีความสุข อันหรูอี้นั่งมองอยู่เงียบ ๆ แต่แล้วนางก็เห็นสายพระเนตรของฝ่าบาทที่ทอดมองมา “ …หรูอี๋ เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี ระวังเรื่องดื่มสุราด้วยล่ะ”
อันหรูอี้รู้สึกอ่อนใจ จึงหัวเราะพลางตอบ “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย เพียงสองสามจอกเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกเพคะ”
แต่ชิวจื้อกลับบอกเขาว่าอันหรูอี้ไม่สบายมาสองสามวันแล้ว ซ่งจื่ออานมีแววกังวลในดวงตา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยั้งปากไว้
อันหรูอี้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทว่าพลันต้องผิดหวังขึ้นมา
ในตอนนั้นเหลิงซิงและเหลิงฟางก้าวเข้ามาพร้อมกัน ทั้งสองตั้งใจเดินไปข้างหน้าเพื่อมองดูหญิงงามทั้งหลาย สายตาของพวกเขาหยุดอยู่ที่อันหรูอี้ชั่วครู่
อันหรูอี้กำลังดื่มสุรา สุราของนางเจือจาง รอยยิ้มเองก็เจือจาง แม้จะมีสีหน้ายินดี แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าหมอง ท่าทางเหล่านั้นทำให้นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น หญิงงามในยามเศร้า ไซซีในยามป่วย มักเป็นที่น่าสงสารและทะนุถนอมที่สุด
ซ่งจื่ออานยกถ้วยสุราขึ้น ปิดบังรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปาก ซ่อนความโกรธไว้ในดวงตา
เหลิงซิงกระแอมเบา ๆ คำนับซ่งจื่ออานอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้ม “ทูลฝ่าบาท ในวันคล้ายวันประสูติของกุ้ยเฟย พวกกระหม่อมสองพี่น้องไม่มีสิ่งมีค่าใด จึงได้นำของล้ำค่าจากปวงชนมาถวายแด่กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อ้อ? ”
อันหรูอี้ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง นางจึงหันไปมองซ่งจื่ออาน ทว่าเขากลับไม่ได้มองมายังนาง นางจึงหันไปมองอันกวงเหนิง แต่กลับเห็นอันกวงเหนิงกำลังมองตรงไปยังเบื้องหน้า
ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอันกวงเหนิง คือแม่ทัพสวีซึ่งกำลังขมวดคิ้วอยู่
“ไม่ทราบว่าเป็นของกำนัลอันใด ถึงกับต้องให้ท่านอ๋องทั้งสองของแคว้นซีจิ้นออกไปเสาะแสวงหาตามหมู่บ้านเช่นนี้” น้ำเสียงของซ่งจื่ออานดังก้องไปทั่วโถงพระโรง