หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 8 หมื่นตำลึงนี้ เพื่อนางผู้เดียว
บทที่ 8 หมื่นตำลึงนี้ เพื่อนางผู้เดียว
บทที่ 8 หมื่นตำลึงนี้ เพื่อนางผู้เดียว
อันหลิงหลงตกตะลึงในทันที แน่นอนว่าสตรีที่อยู่ในวัยสาวแรกรุ่นเช่นนางเมื่อได้เห็นบุรุษรูปงามราวกับผู้ดูสูงศักดิ์ตรงหน้าก็ยากที่จะระงับไฟเสน่ห์หาในตัวได้ ซ้ำยังเป็นบุรุษในฝันที่นางปรารถนาแทบจะทุกประการ
ชุนหัวดึงแขนเสื้อเรียกสติของอันหลิงหลงเบา ๆ แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณหนูตน
ตรงกันข้ามกับอันหรูอี้ผู้ที่ได้รับคำชมกลับมีท่าทีสงบนิ่งในใจแต่ภายในใจของนางก็รู้สึกประทับใจในรูปโฉมและกิริยาท่าทางของบุรุษหนุ่มเช่นกัน แต่นางไม่ต้องการแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของตนออกมาให้เห็น “ขอบคุณที่กล่าวชื่นชมแต่…ข้ามิคู่ควรหรอกเจ้าค่ะ”
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววชื่นชมในใจรู้สึกพึงพอใจหญิงสาวตรงหน้า นางช่างงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับดอกบัวพ้นน้ำ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหลในตัวนางมากยิ่งขึ้น
“เจ้าเป็นบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีหรือ?” บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูแล้วยังวัยเยาว์นัก แต่ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับดูแก่เกินวัยไปมาก
ในใจอันหรูอี้เต้นรัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางรู้สึกว่ากิริยาท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ดูสุขุมและเคร่งขรึมราวกับเป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงมานานย่อมมิใช่คนธรรมดา ๆ แน่
อันหรูอี้กำลังเอ่ยตอบคำถามด้วยความระมัดระวังอันหลิงหลงก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าคือบุตรสาวคนที่สองของจวนอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ”
เดิมที่นางคิดการแสดงฐานะของนางว่าเป็นบุตรสาวของจวนอัครมหาเสนาบดี ชายหนุ่มที่ดูสูงส่งราวกับเทพเซียนผู้นี้ จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างพิเศษมากขึ้น
แต่ชายหนุ่มยังคงมองแต่อันหรูอี้ก่อนยิ้มจาง ๆ พลางส่งเสียง ‘อืม’ อย่างแผ่วเบาออกมาเท่านั้น “ข้าได้ยินมาตลอดว่าอัครมหาเสนาบดี…เลี้ยงดูบุตรสาวได้ดีมาก วันนี้ได้พบเห็นแล้วก็เห็นได้ชัดว่ายิ่งกว่าคำร่ำลือ”
บุรุษหนุ่มผู้นี้คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ‘ซ่งจื่ออาน’ เดิมทีเขาเพียงออกจากวังมาอย่างลับ ๆ เพื่อดูความคึกคักของถนนหนทางในเมืองหลวงเท่านั้น เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับสตรีที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้เช่นนี้ ช่างเป็นความโชคดีที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
สีหน้าอันหลิงหลงแข็งค้างแล้วก็ผลักอันหรูอี้เบา ๆ ที่ยังไม่ทันรู้สึกตัว และเบียดตัวเองเข้าไปอยู่ต่อหน้าซ่งจื่ออาน นางยิ้มอย่างเย้ายวนแล้วพูดว่า “สตรีผู้นี้คือพี่สาวของข้า มารดาของนางจากไปตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว… หากท่านพี่ของข้าพูดจาไร้มารยาทขอท่านอย่าได้ถือสาเลย”
อันหรูอี้รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย นางคิดว่าอันหลิงหลงช่างเป็นสตรีที่โง่เขลาจริง ๆ เพียงเห็นชายหนุ่มที่รูปงามก็วางตัวเทียวไล้เทียวขื่อโดยมิได้สนใจว่าผู้คนภายนอกจะมองจวนอัครมหาเสนาบดีเช่นไร เดิมทีอันหรูอี้มิได้คิดจะสนใจ แต่เมื่อเห็นว่าอันหลิงหลงเอ่ยถึงมารดาของตนเช่นนี้ นางจึงจำใจต้องเอ่ยอันใดบ้างแล้ว
“มิจ้องมองในสิ่งที่มิควร มิรับฟังในสิ่งที่มิควร มิเอ่ยวาจาในสิ่งที่มิควร
มิสนใจในสิ่งที่มิควรทั้งสี่ข้อนี้ หลิงหลงเจ้าทำได้กี่ข้อแล้วในวันนี้” อันหรูอี้ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซ่งจื่ออานมองอันหรูอี้ด้วยความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาคาดว่าคุณหนูใหญ่และคุณหนูสองคงต้องเข้าวัง แต่ทว่าตอนนี้เขากลับอยากได้เพียงอันหรูอี้คนเดียวแล้ว
สีหน้าอันหลิงหลงซีดขาวสลับแดงไปมาจนไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
“เถ้าแก่ สิ่งนี้ราคาเท่าไหร่?” ซ่งจื่ออานชี้ไปที่เครื่องประดับศีรษะที่ตั้งอยู่ในร้าน
เถ้าแก่เห็นว่าลูกค้าที่มาวันนี้ล้วนแต่เป็นผู้มั่งคังและสูงศักดิ์ จึงรีบร้อนจนลนลานพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “นะ…นี่คือสมบัติล้ำค่าของร้านของเราเลยขอรับ นี่คือมงกุฎขนนกที่ทำจากวัสดุที่ดีที่สุด ปักด้วยผ้าไหมชั้นดีพร้อมประดับด้วยขนหงส์สีขาว..รวมทั้งขอบประดับด้วยไข่มุกที่งดงามหาที่ใดเปรียบ แม้แต่ช่างปักยังใช้ผู้ที่มีฝีมือเท่านั้นซึ่งทำได้เพียงปีละหนึ่งชิ้นเท่านั้นขอรับ…ข้างหน้าหน้ายังมีจี้ห้อยประดับเช่นนี้…”
“ของมีค่าเช่นนี้ย่อมต้องคู่ควรกับสาวงาม เช่นนั้นบอกราคามาเถิดว่าเท่าไหร่?” ซ่งจื่ออานเอ่ยพร้อมกับยิ้มเยาะ
เถ้าแก่รับรู้ถึงแรงกดดันที่แปลกประหลาดในคำพูดของชายหนุ่มจึงเช็ดเหงื่อบนหน้าพลางพูดว่า “ข้าน้อยเกรงว่าราคามันจะสูงมาก…”
“หนึ่งหมื่นตำลึงพอหรือไม่?” แน่นอนว่าทุกสิ่งทั่วทั้งแผ่นดินล้วนเป็นของซ่งจื่ออาน เขาจึงไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าการซื้อเครื่องประดับชุดหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร
เถ้าแก่ตกใจจนตัวสั่นกับราคาที่สูงเกินจริงเช่นนี้เขาพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่…นี่…”
“เซี่ยเหิงให้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงแก่เขาแล้วเอาเครื่องประดับชุดนั้นมา” ซ่งจื่ออานโบกมือด้วยทวงท่าที่สง่างาม จากนั้นชายหนุ่มแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีก้าวออกมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็วและวางตั๋วเงินไว้ที่ฝ่ามือของเถ้าแก่โดยไม่ลังเล
เถ้าแก่เมื่อได้รับตั๋วเงินมาและเห็นตัวอักษรหมึกดำบนตั๋วเงินก็ตัวสั่นด้วยความตกใจทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นทันที เขากำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ซ่งจื่ออานกลับโบกมือห้ามไว้
โอ้พระเจ้า…นี่มันเฉียนจวง*[1]ของราชสำนักนี่!
ผู้ใดจะรู้ได้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าตนตอนนี้เป็นองค์ชายพระองค์ใด หรือว่า… จะทรงเป็นฮ่องเต้?
ซ่งจื่ออานรับเครื่องประดับจากเซี่ยเหิงโดยมิได้ชายตามองสีหน้าละโมบของอันหลิงหลงเลยแม้แต่น้อย เขายื่นส่งให้อันหรูอี้พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เครื่องประดับราคาแพงเช่นนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่คู่ควร หากเจ้าพอใจก็เอาไปเสียเถิด”
หัวใจของอันหรูอี้ก็พลันเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ดวงตาของซ่งจื่ออานคล้ายกับเหล้าดอกท้ออันหอมหวานที่ซ่อนเร้นอยู่หุบเขาและสายน้ำนับพันที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหว
แม้นางจะอยากปฏิเสธแต่ก็มิรู้จะเอ่ยออกมาเช่นไรดี พอเหลือบไปเห็นสายตาโกรธแค้นและอิจฉาริษยาของอันหลิงหลงที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงหลอกตนเองภายในใจให้รู้ดีขึ้น…
ตนรับของกำนัลนี้ไว้เพื่อที่จะให้อันหลิงหลงรู้สึกเจ็บใจเล่นเพียงเท่านั้น มิใช่เพราะความรู้สึกส่วนตัว… ต้องมิใช่เพราะเห็นแก่ตนเองแน่นอน…
หลังจากที่บอกให้หลิวลวี่รับของกำนัลชิ้นนี้แล้ว อันหรูอี้ก็ยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยและถามว่า “ข้ายังมิทราบชื่อแซ่ของท่านเลย ข้าจะได้กราบเรียนบิดาให้ส่งคนไปขอบคุณท่านที่จวนได้”
ซ่งจื่ออานตอบด้วยรอยยิ้มแวววาว “หากมีวาสนาได้พบกัน พวกเราย่อมได้พบกันอีก ยามนี้มิจำเป็นต้องรีบร้อน”
เมื่อพูดจบซ่งจื่ออานก็ไม่รอให้อันหรูอี้ถามต่อสะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างามแล้วหันหลังเดินจากไปโดยมีเซี่ยเหิงเดินตามหลังไป
“อันหรูอี้เจ้ากล้าแลกเปลี่ยนของกันลับหลังเช่นนี้ได้อย่างไร!” อันหลิงหลงหลังจากได้สติขึ้นมาความอับอายและความโกรธก็เข้าครอบงำจิตใจนางจนสิ้น
อันหรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่นี่มิใช่จวนอัครมหาเสนาบดี เจ้าโปรดระวังวาจาและกิริยาของเจ้าด้วย”
“ระวังวาจาและกิริยางั้นหรือ? แม้แต่ตัวเจ้ายังกล้ากระทำเช่นนั้นได้ ยังกล้าเอ่ยปากขอให้ระวังวาจางั้นหรือ เจ้าคิดว่าตนเองคู่ควร?” อันหลิงหลงไม่ได้สนใจคำเตือนของอันหรูอี้เลยแต่เพียงถามตอกย้ำไปเรื่อย ๆ
เหตุใดสิ่งที่นางชอบจึงต้องถูกอันหรูอี้แย่งไปเสมอทั้งบิดาและหนุ่มรูปงามผู้นั้นตัวนางก็เป็นธิดาแท้ ๆ ของจวนอัครมหาเสนาบดีเช่นกัน แต่กลับต้องด้อยกว่าอันหรูอี้ไปซะทุกเรื่อง ความรู้สึกนี้เปรียบเสมือนไฟแห่งริษยาที่แผดเผาราวกับถูกจับตรึงไว้บนตะแกรงที่เต็มไปด้วยไฟที่ร้อนระอุ
“มีผู้คนมากมายที่อยู่ที่นี่ เจ้ายังกล้าเรียกว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนของกันลับหลัง? ช่างเป็นเรื่องตลกยิ่งนัก เมื่อครู่ผู้ใดกันแน่ที่แทบจะเสนอตัวเองให้ ข้าเพียงรับของกำนัลจากผู้ใจบุญเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องโวยวายถึงเพียงนี้เล่า?”
อันหรูอี้เห็นอันหลิงหลงไม่ได้เชื่อฟังนาง จึงไม่คิดจะไว้หน้าอันหลิงหลงอีกต่อไป
แม้เรื่องนี้จะดูคลุมเครืออยู่บ้างแต่อันหรูอี้คิดว่าตนยังเป็นฝ่ายถูกต้อง ไม่ว่าอันหลิงหลงจะร้องไห้โวยวายเช่นไรก็ถือเป็นการหาเรื่องอย่างไร้เหตุผล
“ทำไมงั้นรึ? เห็นรสนิยมของข้าเปลี่ยนจากชั้นต่ำเป็นสูงส่งงั้นหรือ? เจ้าทนเห็นพี่สาวของตนได้ดีกว่าเจ้ามิได้สินะ?” อันหรูอี้เอ่ยอย่างบีบคั้นไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ในชาติก่อนเพราะนางเคยใจอ่อนทำให้ตนเองได้พบจุดจบที่น่าเศร้ามาแล้ว
อันหลิงหลงถูกต่อว่าจนอ้าปากค้างนางโกรธจนเกือบจะบิดผ้าเช็ดหน้าในมือขาด
“ในเมื่อมันมิได้มีสิ่งใดให้น่ารื่นรมย์แล้ว เจ้าก็อย่ากระทำตัวทำน่าขายหน้าไปกว่านี้ กลับจวนกันเถิด”
[1] หมายถึง ธนาคาร