หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 75 เรื่องราวของสาวน้อ
บทที่ 75 เรื่องราวของสาวน้อย
ชิวจื้อรออยู่ในสวนหยวนหมิงหยวนมาเป็นเวลานาน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก
เดิมทีนางจะทำอันใดย่อมไม่มีผู้ใดสนใจนาง แม้ว่านางจะเดินเล่นในสวนหลวงหยวนหมิงหยวนนานเพียงใด แต่ตอนนี้นางได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้ให้มาดูแลตำหนักเหมันต์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดึงดูดสายตามากที่สุด อีกทั้งเเต่นางยังเป็นคนสนิทของอันหรูอี้ ดังนั้นจึงมีคนคอยจับตามองนางอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงไม่เป็นไร แค่ให้องครักษ์เงาจัดการให้สลบแล้วลากไปทิ้งก็พอ แต่คนของตำหนักฮองเฮาไม่ใช่จะจัดการได้ง่าย ๆ แบบนั้น
ถึงแม้ตอนนี้ฮองเฮาจะถูกจำกัดอำนาจอยู่บ้างก็ตาม
เมื่อใกล้รุ่งสาง ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวในสวนหยวนหมิงหยวน ชิวจื้อชำเลืองไปที่มุมหนึ่งเห็นว่าคนที่คอยสะกดรอยยังไม่ตื่น
ซ่งจื่ออานและอันหรูอี้เดินออกมาด้วยกัน สภาพของทั้งสองไม่ดีนักเห็นได้ชัดว่าเหนื่อยล้าและผิดหวัง ซ่งจื่ออานส่ายหน้าให้ชิวจื้อแล้วพูดว่า
“วันนี้ไม่ต้องเข้าเฝ้า”
ชิวจื้อนิ่งอึ้ง มองดูสีหน้าหม่นหมองของเขาในสภาพเช่นนี้ก็ไม่เหมาะที่จะให้เข้าเฝ้าจริง ๆ
ชิวจื้อหันหลังกลับ แจ้งข่าวให้ขันทีอาวุโสทราบจากนั้นจึงกลับไปที่ตำหนักเหมันต์ ประตูตำหนักปิดสนิท เถาหงและหลิวลวี่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ทุกคนก้มหน้าต่ำ
ภายในไม่มีเสียงใด ๆ ราวกับว่าเป็นตำหนักร้าง
คนข้างในเพียงแค่ไม่ส่งเสียง พวกเขาหดตัวอยู่บนเก้าอี้นอนขนาดไม่ใหญ่นัก อันหรูอี้กอดซ่งจื่ออานไว้ มือตบบ่าของเขาเบา ๆ เป็นจังหวะ
อันหรูอี้มองดูสีหน้าสงบนิ่งของเขาแล้วถามว่า “คิดออกแล้วหรือยังเพคะ?”
ซ่งจื่ออานกำลังเสียใจ ไม่ใช่เสียใจที่ใช้เวลาสามปีในการสั่งสมกำลังแต่เสียใจที่ตนเองไม่เคยไตร่ตรอง
ในฐานะฮ่องเต้หนุ่ม ความปรารถนาในอำนาจเป็นเรื่องปกติ แต่ ‘บันทึกคดีมิชอบธรรม’ เล่มนั้นทำให้เขาตกตะลึง มันทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างรุนแรง
ผิดหวังใน ‘เสาหลักของราชสำนัก’ ที่อดีตฮ่องเต้องค์ก่อนทิ้งไว้ให้ และผิดหวังในตัวเองที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีผู้คนล้มตายมากมายขนาดนี้ ชีวิตมากมายเหล่านี้มีมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
แม้เขาต้องการอำนาจของราชวงศ์แต่ในใจของเขาต้องการความสงบสุขของซีจิ้นมากกว่า
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ในที่ที่เขามองไม่เห็นยังมีคนมากมายที่ปกปิดความจริง กองทัพสองแสนคนถูกปิดล้อม ส่วนผู้ที่ปิดล้อมเขากลับเป็นกองทัพของซีจิ้นเอง
นี่ต่างอันใดกับการบีบบังคับให้ประชาชนก่อกบฏเล่า? เขาในฐานะฮ่องเต้…ทำหน้าที่ได้สำเร็จสักกี่ส่วนกัน?
หลังจากไตร่ตรองแล้ว ซ่งจื่ออานกอดนางตอนนี้เขารู้สึกกกระหายการปลอบประโลมอย่างเร่งร้อน แล้วพูดว่า “คิดได้แล้ว”
และตอนนี้ อันหรูอี้มองดูฮ่องเต้หนุ่มที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง ดวงตาที่เหนื่อยล้าไม่อยากจะลืมขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่แขนกลับกอดไว้แน่น
ยิ่งนางรับรู้ถึงความโหดร้ายของราชสำนักมากเท่าใด นางก็ยิ่งทรงเอ็นดูโอรสสวรรค์องค์นี้มากเท่านั้น แต่นางกลับมิอาจปล่อยให้เขาจมปลักอยู่เช่นนี้ได้ “จื่ออาน… บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องไปเข้าเฝ้าแล้ว”
ซ่งจื่ออานกระพริบแผ่วเบา แลเห็นแววตาลอดผ่านออกมาแต่ก็มิได้เอ่ยอันใด
อันหรูอี้เพียงยิ้มออกมาจาง ๆ มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาอันรุนแรงใด เพียงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตนเอง เรื่องจริง… เรื่องราวของนางเอง
“จื่ออาน ข้าเองก็มีเรื่องราวสมัยที่เป็นคุณหนูใหญ่ในจวนเช่นกัน ท่านอยากจะทรงรับฟังหรือไม่?”
ซ่งจื่ออานพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ อันหรูอี้มองดูท้องฟ้าด้านนอก เวลาเข้าเฝ้าใกล้เข้ามาแล้ว นางจึงมิรอช้าจึงเอ่ยขึ้น “แท้จริงแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็มิได้มีสิ่งใดน่าฟังนัก มันเป็นเรื่องราวที่สั้นยิ่งนักและมิได้มีสิ่งใดน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย”
นางเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “ครั้นเมื่อยังเยาว์ คุณหนู ผู้นี้ก็ต้องพลัดพรากจากมารดา บิดาจึงพาสตรีผู้หนึ่งมาเป็นอนุ แม้มิได้มีฐานะเป็นฮูหยินใหญ่ แต่ก็ถือว่าเป็น ‘มารดา’ เช่นกัน ดังนั้นคุณหนูผู้นั้นย่อมเป็นบุตรสาวของอนุด้วย”
“ทว่าอนุผู้นี้กลับมิได้รักใคร่นาง เพราะนางเองก็มีบุตรสาวของตนอยู่แล้ว อนุ… จึงอบรมสั่งสอนคุณหนูผู้นี้ให้เป็นเพียงสตรีโง่งม หุนหันพลันแล่น จนทำให้บิดาเริ่มห่างเหินและผู้คนรอบข้างต่างพากันรังเกียจ”
ซ่งจื่ออานกระพริบตาช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น มองอันหรูอี้ด้วยแววตาลังเลก่อนจะเอ่ยถาม แต่ทว่าอันหรูอี้กลับส่ายหน้าให้เขาก่อนเอ่ยต่อ “คุณหนู ผู้นั้นถูกบิดาตบหน้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ นางยังถูกบุตรสาวของอนุใส่ร้ายว่าเกียจคร้าน จนถูกบิดาใช้ไม้เรียวเฟาดจนเกือบสิ้นใจ”
ดวงตาของซ่งจื่ออานเบิกกว้าง นี่ช่างแตกต่างจากที่เขาสืบมาโดยสิ้นเชิง
อันหรูอี้มิได้ใส่ใจกับท่าทางของเขา นางเล่าต่อ “ต่อมา ในปีที่มีการคัดเลือกสนม คุณหนูผู้นั้นได้เข้าร่วมกับน้องสาวทว่ากลับก่อเรื่องวิวาทกับผู้อื่นในรอบคัดเลือกเบื้องต้น จนถูกขับไล่ออกจากวัง”
“ครั้นเมื่อนางกลับไปยังจวน ย่อมต้องถูกโบยตีอีกครา แม้บิดาจะยังคงเหลือเยื่อใยอยู่บ้าง แต่อนุผู้นั้นก็ยังคงคิดแผนการร้าย นาง… นางให้ชายแปลกหน้าเข้าไปในห้องนอนของคุณหนู แล้วพาบิดาของนางไปพบกับภาพบัดสี”
สีหน้าของซ่งจื่ออานเริ่มส่อแววประหลาดใจ อันหรูอี้จึงเล่าต่อ “บิดาของนางสิ้นหวังในตัวนางอย่างสิ้นเชิง สั่งประหารสาวใช้คนสนิท แล้วไม่เหลียวแลนางอีกเลย อนุจึงได้ทีขังนางไว้ ไม่ให้น้ำไม่ให้ข้าว”
“นางคือ คุณหนูใหญ่” อันหรูอี้ หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “มิเคยต้องอดอยากแม้แต่น้อย ครั้งนั้นนางต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหย จนต้องกัดกินหญ้าที่พื้นดิน ไม้เนื้ออ่อนบนเตียง แม้กระทั่งหนังสือในห้อง… สุดท้าย นางก็สิ้นใจตายไปด้วยความหิวโหย”
ดวงตาของซ่งจื่ออานเป็นประกาย จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นนั่ง มองนางด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ
ดวงตาคู่สวยของอันหรูอี้เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “เพราะนางหวาดกลัวความหิวโหย เพราะนางปรารถนาเพียงชีวิตที่สงบสุข ท่านทราบหรือไม่ว่า เมื่อนางได้กลับมาเกิดใหม่พบว่าตนเองยังคงติดอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งในจวนตระกูลอีกครา นางหวาดกลัวเพียงใด”
“หรูอี้ …”ซ่งจื่ออานอึ้งงันไปชั่วขณะ ขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยกับนางเช่นไร ทว่าความเจ็บปวดกลับแล่นไปบีบรัดหัวใจของเขาอย่างทรมาน
“แต่จะทำเช่นไรได้ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป” อันหรูอี้ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน โอบกอดเขาไว้เบา ๆ เอาหน้าผากตนเองแนบกับหนาเผากซ่งจื่ออาน
“จื่ออาน ข้ารู้ดีว่าท่านเสียใจ เพียงแต่ท่านมิอาจทรงจมปลักอยู่เช่นนี้ได้”
“อย่าลืมว่าที่เหลียวหนิงยังมีทหารหาญอีกเกือบสองแสนกำลังรอคอยท่านอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บและความหิวโหย หากท่านปรารถนาจะเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ จะปล่อยให้ทหารของท่านต้องอดอยากอยู่เช่นนี้ได้หรือ?”
ซ่งจื่ออานนิ่งเงียบอยู่นาน สองแขนแกร่งโอบกอดอันหรูอี้ไว้แน่นก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากของนางอย่างดูดดื่ม
เสียงดังลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากเก้าอี้นอนตัวแคบ ก่อนจะเงียบหายไปในชั่วครู่
ซ่งจื่ออานนั่งยอง ๆ อยู่ข้างเก้าอี้ยาว ฟังความลับในใจของหญิงสาวบ่งบอกถึงความสงสารปนความโกรธแค้น
แววตาอันหรูอี้เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวดในใจนางยังไม่จางหาย ความหิวโหย ความน้อยใจบิดา ทำให้นางเกือบจะหนีไปกับอันก่วงเหนิง หากไม่ใช่เพราะความรักระหว่างบิดาและบุตรียังพอหลงเหลืออยู่ นางคงไม่เหลือสิ่งใดอีก
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน เข้าใจความทุกข์ของกันและกันแต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใด
“ไปเถิด” อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “ท่านควรไปเข้าเฝ้าแล้ว”
ซ่งจื่ออานยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างช้า ๆ ใบหน้าที่ครั้งแรกที่พบเจอแสนเยือกเย็น บัดนี้กลับมีคราบน้ำตามากมายเหลือคณา เขาไม่อาจคาดเดา
นางยังยืนหยัด แล้วเหตุใดเขาจึงยอมแพ้
“..วางใจเถิด” ซ่งจื่ออานสวมกอดนางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป ความเจ็บปวดค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “ข้าจะมิยอมให้ทหารที่ปกป้องแคว้นต้องทรมานจากความหิวโหย นี่คือความรับผิดชอบของผู้เป็นฮ่องเต้!”
อันหรูอี้พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอ่อนใจ “ข้าจะวางใจเรื่องอันใดได้ ท่านควรทำให้เหล่าทหารของท่านวางใจต่างหาก”
ซ่งจื่ออานคลายอ้อมกอด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทอดมองรอยยิ้มจางๆ ของหญิงสาวแสนงดงาม ดวงตางดงามดุจหงส์เพลิงฉายแววขบขัน
“สวรรค์มอบโอกาสให้เจ้าได้เริ่มต้นใหม่ มิใช่เพื่อรื้อฟื้นความเจ็บปวด… วางใจเถิด ข้าจะมิยอมให้เจ้าต้องหิวโหยอีก”