หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 74 บันทึกคดีมิชอบธรรม
บทที่ 74 บันทึกคดีมิชอบธรรม
เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ เมื่อสามปีก่อนหลัวหลิงเคยเป็นศิษย์เอกของท่านโจวหมิงอดีตเสนาบดีกรมขุนนาง
เขาเคยเป็นชายหนุ่มรูปงามสง่าแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองก็ต้องหนีออกจากเมืองหลวงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ตอนนี้เขาผอมซูบจนดูเหมือนจะล้มลงเมื่อลมพัด แก้มตอบและรอยคล้ำใต้ตาล้วนบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานที่ร่างกายนี้ได้รับมา
แท้จริงแล้วหลัวหลิงในบัดนี้รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที่ เมื่อหวนนึกถึงไปในตอนที่เขาต้องซุกตัวอยู่ในแอ่งน้ำสกปรกเพื่อหลบหนีจากนักฆ่า เขาเกือบจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาแล้วสิ้นชีพไปเสียตรงนั้น
หากไม่ใช่เพราะคำพูดสุดท้ายของอาจารย์โจวหมิงที่ยังคงดังก้องอยู่ในหู หากไม่ใช่เพราะเหล่าสหายศิษย์ร่วมอาจารย์ที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเขา และยามนี้ศิษย์ของท่านอาจารย์ก็เหลือเพียงเขาเพียงผู้เดียวแล้ว
และหากไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณอันเด็ดเดี่ยวของผู้ที่เป็นบัณฑิต เขาคงไม่มีวันยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้
มือของซ่งจื่ออานสั่นเล็กน้อย เขาควรจะโกรธแค้นแต่ความโกรธแค้นจนแทบคลั่งกลับกลายเป็นความโศกเศร้ายิ่งและความเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตาไหลรินออกมา
ตัวเลขที่เปื้อนด้วยหยาดน้ำตาเหล่านี้ทำให้เขากัดฟันแน่นจนแทบจะแหลกละเอียด
ปีที่หนึ่งแห่งรัชสมัยอันติ้ง เดือนอ้าย วันเกิงอู่*[1] ฮ่องเต้เสด็จขึ้นครองราชย์ ข้าหลวงต่างเมืองพากันเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อร่วมถวายพระพร เหลิงซิงหมายปองภรรยาของขุนนางเมืองหนึ่งจึงใส่ร้ายว่าอีกฝ่ายทุจริต ยึดทรัพย์แล้วฆ่าทิ้ง ภรรยาของขุนนางผู้นั้นจึงฆ่าตัวตายตามไป ส่วนผู้คนในตระกูลสิบสองชีวิตถูกสังหารจนหมดสิ้น
ปีที่หนึ่งแห่งรัชสมัยอันติ้ง เดือนอ้าย วันจื่อสวี่ ทั้งแคว้นต่างโศกเศร้าต่อการสิ้นพระชนม์ แต่เหลิงตู้กระทำการอุกอาจ จัดงานเลี้ยงรื่นเริง ขุนนางตรวจการเย่าหมิงตำหนิการกระทำของเหลิงตู้ เขาจึงถูกเหลิงตู้ใส่ร้ายว่าเป็นกบฏและถูกประหารชีวิต ส่วนคนในตระกูลถูกเนรเทศ
ปีที่สองแห่งรัชสมัยอันติ้ง เดือนหก วันเหริ่นเซิน ผู้ว่าการเกอโจวไม่ยอมรับสินบนจากเหลิงตู้ จึงถูกใส่ร้ายว่าสมรู้ร่วมคิดกับโจร ถูกฆ่าล้างตระกูลรวมบ่าวรับใช้ในตระกูลด้วยแล้วสิ้นชีพไปทั้งหมด 97 ชีวิต
ปีที่สามแห่งรัชสมัยอันติ้ง เดือนสิบสอง วันอู่อิน พายุหิมะปกคุลมไปทั่วดินแดนเหลียวหนิง เซวี่ยเถาเหิงแม่ทัพผู้ดูแลชายชายแดนพร้อมเหล่าทหารทหารสองแสนนาย แต่ทว่าเหลิงตู้กลับยักยอกเสบียงสามแสนชั่ง ทำให้ชายแดนขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า ทำให้ทหารแข็งตายไป 362 นาย และบาดเจ็บกว่าห้าพันนายจนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะสู้รบ
เพื่อปิดบังมิให้รายงานส่งไปถึงเมืองหลวง เหลิงตู้ถึงกับส่งทหารไปปิดล้อม ทหารที่คอยปกป้องบ้านเมืองกลับต้องมาต่อสู้กันเอง ตอนนี้ชะตากรรมของกองทัพเสวี่ยเป็นเช่นไรก็มิอาจรู้ได้!
และทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น!
ซ่งจื่ออานเซถลาไปสองก้าว ยกมือขึ้นกุมอก หายใจหอบถี่ อันหรูอี้ตกใจรีบเข้าไปประคองปลอบโยนด้วยเสียงแผ่ว “ยังมีคนที่เราต้องจัดการ ท่านต้องรักษาตัว…”
หลัวหลิงมองอันหรูอี้แวบหนึ่ง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองซ่งจื่ออาน “ฝ่าบาท เรื่องที่บันทึกไว้ในนี้ มิมีการแต่งเติมแม้แต่น้อย หลักฐานก็มิยากที่จะสืบหา!”
“แต่เรื่องของท่านแม่ทัพเซวี่ย ฝ่าบาทควรจัดการโดยด่วน! พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาเกือบครึ่งปีแล้ว มิรู้ว่าจะยืนหยัดต่อไปได้อีกนานเท่าใด!”
ซ่งจื่ออานกันฟันกลืนเลือดสด ๆ ลงคอ พิงตัวกับอันหรูอี้หายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งจึงค่อยสงบลงได้
ซ่งจื่ออานผลักแขนอันหรูอี้ออกเบา ๆ เก็บ ‘บันทึกคดีมิชอบธรรม’ ลงในกล่องไม้อย่างระมัดระวังวางมือลงบนกล่องอย่างเหม่อลอยราวกับว่าร่างทั้งร่างจมอยู่ในความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง
ความเงียบงันราวกับความตาย ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศกดดันจนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ไปทั่วห้อง
ความน่าสะพรึงแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนขนลุกซู่ราวกับสายฝนที่โปรยปรายอย่างรวดเร็ว รังสีอำมหิตแผ่กระจายไปทั่วทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะจ้องมอง
บรรยากาศภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ เผลอทำให้ผู้คนในห้องต่างพากันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
อันหรูอี้กำชายเสื้อคลุมแน่นโดยไม่รู้ตัว มองไปที่หลิวหลิงแต่บัณฑิตผู้นั้นกลับจ้องมองซ่งจื่ออานราวกับกำลังรอการตัดสินใจ
ผ่านไปนาน ประตูห้องรับรองพลันเปิดออก เถ้าแก่เดินเข้ามา เผชิญหน้ากับซ่งจื่ออานที่บัดนี้ไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้า
ไม่มีรอยยิ้มเสแสร้ง ไม่มีอารมณ์ใด ๆ ปรากฏ เถ้าแก่เคยเห็นท่าทีเช่นนี้จากนักฆ่าที่สิ้นหวังที่สุดเมื่อครั้งท่องยุทธภพในอดีต
เขาเพียงถอนหายใจในใจ เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เอ่ยกับซ่งจื่ออานว่า“เด็กน้อย เจ้าควรไปได้แล้ว”
บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงทันที อันหรูอี้ลอบกลืนน้ำลาย ซ่งจื่ออานยกกล่องไม้ขึ้นมาแล้วค่อย ๆ วางกลับลงในมือของหลัวหลิงอย่างระมัดระวัง
เขากุมมือของลหลัวหลิงเอาไว้ สีหน้าที่เรียบเฉยเริ่มปรากฏความรู้สึกขึ้นอย่างช้า ๆ เปรียบได้ดั่งมังกรที่กำลังค่อย ๆ เผยเกล็ดอันน่าเกรงขามออกมา จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่าง
“สามปีนี้ เจ้าลำบากมากแล้ว” ดวงตาของหลัวหลิงแดงก่ำขึ้นมาทันที ซ่งจื่ออานบีบไหล่ของเขาแน่น “พรุ่งนี้ พวกเขาจะส่งเจ้าไปยังจวนแม่ทัพฉิน ที่นั่นปลอดภัย”
ซ่งจื่ออานหยุดชั่วครู่ มองหลัวหลิงที่มีอายุใกล้เคียงกับตน หลับตาลงแล้วกล่าวต่อ “อีกสิบวัน จะมีคนมารับพวกเจ้าเข้าเฝ้า ข้า…จะมิยอมให้ราชวงศ์ซีจิ้นล่มสลายด้วยมือของชั่วช้าเด็ดขาด!”
“พวกเจ้า”?
ลั่วหลิงรู้สึกงุนงง หรือว่ายังมีคนอื่นอีก?
เขาไม่รู้ว่าซ่งจื่ออานทำอันใดไว้มากมายในสามปีนี้ และไม่รู้ว่าซ่งจื่ออานแอบช่วยเหลือวีรบุรุษผู้ซื่อสัตย์ไว้มากเพียงใด กระทั่งสามวันต่อมา เมื่อเขาเห็นกลุ่มคนทั้งแก่และเด็กที่จวนแม่ทัพ เขาจึงเข้าใจซ่งจื่ออานอย่างแท้จริง
ซ่งจื่ออานส่งคนมาหาเขา ทำให้เขามีความหวังเล็ก ๆ ชายตาเดียวบอกเขาว่าซ่งจื่ออานไม่ได้อยู่เฉย ๆ อย่างที่เขาคิด เขาจึงสามารถยืนหยัดอยู่ต่อหน้าซ่งจื่ออานได้ ด้วยความหวังนี้
เมื่อคนอื่น ๆ จากไปเหลือเพียงหลัวหลิงที่ยืนถือกล่องอยู่ในห้อง เสียงชนแก้วที่ดังอยู่รอบข้างเงียบลงอย่างกะทันหัน
ราวกับว่าความวุ่นวายในราชสำนักนี้ กำลังจะกลับคืนสู่ความเงียบสงัด และรอคอยพายุที่กำลังจะโถมกระหน่ำกวาดล้างความโสมมทั้งหมด
หลัวหลิงเดิมทีคิดว่าหลังจากคืนนี้ เขาจะได้นอนหลับสบาย แต่ตอนนี้กลับยิ่งรู้สึกตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม เพราะคำกล่าวซ่งจื่ออานทิ้งไว ‘สิบวัน’ ดังนั้นอีกสิบวันข้างหน้าคงจะต้องเป็นวันสำคัญอย่างยิ่ง
เขาเป็นคนฉลาดมากอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ในเวลาเพียงสามปีสั้น ๆ จะสามารถเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งอย่างลับ ๆ เพื่อสืบสวนคดีมิชอบธรรมและรวมร่วมได้ถึง 67 คดีที่เกี่ยวข้องกับเหลิงตู้ได้ทั้งหมด
เถ้าแก่หลังจากที่ส่งคนออกไปแล้วก็เดินกลับมาที่ห้องรับรอง มองดูชายหนุ่มร่างผอมบางที่ยังคงงุนงงสับสน จึงสั่งให้คนรับใช้ยกอาหารออกมา “วีรบุรุษหลัว เชิญรับประทานอาหารเถิด ข้าได้ยินว่าท่านมิได้รับประทานอาหารดี ๆ มาตลอดทางมิใช่หรือ?”
หลัวหลิงดูเหม่อลอย มองดูอาหารเต็มโต๊ะแต่กลับไม่มีความอยากอาหาร จึงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเป็นเพียงบัณทิตคนหนึ่งจะนับเป็น ‘วีรบุรุษ’ อันได้”
หากข้าเป็นวีรบุรุษจริงอาจารย์ก็คงไม่ต้องตายอย่างมิชอบธรรมเช่นนั้น
เถาแก่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ผู้ที่สามารถยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและปราบปรามความชั่วร้ายเพื่อประชาชน นั่นแหละคือวีรบุรุษ! ท่านเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง! สามารถรวบรวมคดีมิชอบธรรมมากมายเช่นนี้ได้ แม้แต่องครักษ์เงาก็ยังสืบได้เพียงสามส่วน… ตลอดหลายปีมานี้ ท่านต้องลำบากมากที่ต้องทำเพียงลำพัง”
“ไม่ใช่!”
ทันใดนั้นหลัวหลิงก็ยืดหลังตรง ดวงตาทอประกายจ้องมองเขา น้ำตาของบุรุษก็เอ่อล้นไหลรินอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านลุง ข้ามิได้ทำมันเพียงลำพัง! ศิษย์ของอาจารย์มีทั้งหมด 26 คน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต ทุกคนล้วนไร้ซึ่งวรยุทธ์! คดีเหล่านี้ที่สามารถส่งมาถึงเมืองหลวงได้… ล้วนต้องแลกด้วยเลือดและน้ำตาของพวกเขาทั้งสิ้น!”
เถ้าแก่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว
เรื่องราวที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์เช่นนี้ ต้องแลกด้วยชีวิตผู้คนไปมากมายเพียงใด…
ต่างจากครั้งก่อนที่ต้องรีบร้อน ครั้งนี้พวกเขากลับเพียงเดินช้า ๆ
สองมือที่กุมกันไว้ในเส้นทางลับที่เป็นอุโมงค์ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้น มือหนึ่งยังคงเย็นเฉียบเช่นเดิม ในอุโมงค์เสริมด้วยไม้มีการวางไข่มุกเรืองแสงทำให้เส้นทางมืดมนนี้สว่างไสวและดูซีดจาง
เดินไปได้ไม่นานซ่งจื่ออานก็หยุดลงกะทันหัน
เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา อันหรูอี้จึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ ประทับจุมพิตเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเขา กระซิบเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา “จื่ออาน…”
[1] วันของปฏิทินจีนโบราณ