หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 71 แผนผังยุทธศาสตร์
บทที่ 71 แผนผังยุทธศาสตร์
เซี่ยเหิงถูกไล่ออกจากวัง ซ่งจื่ออานมีรับสั่งให้เขาไปพบกับคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้ตำแหน่งผู้นำหน่วยองครักษ์เงาว่างลง จึงต้องให้ชิวจื้อมารับหน้าที่แทนชั่วคราว
อันหรูอี้แทบไม่อยากเชื่อ เพราะที่ผ่านมาซ่งจื่ออานไม่เคยบอกนางเลยว่าชิวจื้อคืออดีตหัวหน้าองครักษ์เงาก่อนหน้าและยังเป็นหนึ่งในไพ่ตายของซ่งจื่ออานด้วย
ในเมื่อเป็นไพ่ตาย ย่อมต้องมีทั้งความสามารถและเล่ห์เหลี่ยมเหนือคนทั่วไป วิธีการที่ชิวจื้อภาคภูมิใจมากที่สุดคือการลอบสังหาร ในอีกแง่หนึ่ง นางยังเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าจะช่วยชีวิตผู้คนจากมือของนักฆ่าได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ซ่งจื่ออานจึงส่งให้นางมาอยู่เคียงข้างอันหรูอี้ พออันหรูอี้ได้ยินได้ฟังเช่นนั้น นางก็จ้องมองชิวจื้อด้วยความประหลาดใจอยู่นาน จนกระทั่งชิวจื้อรู้สึกเขินอาย
“กุ้ยเฟยเพคะ” ชิวจื้อทนไม่ไหว จึงยื่นมือไปจับใบหน้าอันหรู้อี้เบา ๆ ให้หันหน้าของนางไปทางคันฉ่องทองเหลือง “อีกหนึ่งชั่วยาม ฝ่าบาทก็จะเสด็จมารับแล้ว กุ้ยเฟยยังจะมองหม่อมฉันอีกหรือเพคะ”
อันหรูอี้ก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง ภาพสะท้อนในคันฉ่องทองเหลืองบิดเบี้ยว ไม่ชัดเจนเท่าคันฉ่องทางฝั่งตะวันตก แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่รูปร่างที่ยังคงอ่อนเยาว์ในวัยสี่สิบกว่า ๆ เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรักษาไว้ได้
“ท่านป้าชิวจื้อ หรูอี้เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ” อันหรูอี้ยิ้ม “จื่ออานบอกว่าท่านป้าเคยเป็นหัวหน้าหน่วยฝึกองครักษ์เงา แม้แต่เซี่ยเหิงก็เป็นศิษย์ของท่านป้า หรูอี้เพิ่งเคยเห็นจอมยุทธหญิงที่เล่ากันในหนังสือเป็นครั้งแรก”
ชิวจื้อหัวเราะ “จอมยุทธ์หญิงอันใดกันเพคะ ที่บอกว่ายุทธภพเป็นโลกที่เป็นอิสระเสรี นั่นฟังดูดีเกินจริงไปเสียหน่อย แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ที่รวมตัวของพวกนอกรีตทั่วสารทิศต่างหากเพคะ ถ้าจะมีคนที่ชอบใช้ชีวิตอิสระในยุทธภพจริง ๆ พวกเขาก็ต้องเป็นผู้ที่มั่งคั่งจึงจะสามารถจ่ายค่า ‘อิสระ’ ที่แท้จริงได้เพคะ”
อันหรูอี้กะพริบตา เอื้อมมือสัมผัสเส้นผมที่ชิวจื้อถักเป็นเปียเล็กๆ อย่างนึกสงสัย แม้จะเป็นเปียเล็ก ๆ แต่ก็ดูไม่รกตา กลับมีกลิ่นอายของชาวเหมียวอยู่บ้าง
“เหตุใดต้องแต่งกายเช่นนี้?” อันหรูอี้เอ่ยถาม
ชิวจื้อกล่าวว่า “คืนนี้กุ้ยเฟยต้องพบคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือคุณหนูสองคนในวันนั้นจากจวนอ๋องอวิ๋นหนาน พวกนางถือเป็นญาติกับกุ้ยเฟย ท่านเองก็ต้องเรียกว่าพวกนางพี่สาว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือหลัวหลิงที่หัวหน้ากลุ่มโจรตาเดียวจากหอสือจื่อพามา เขาเป็นบุคคลสำคัญ กุ้ยเฟสยควรเปลี่ยนชุดปลอมตัวจะดีกว่า”
“แต่งกายเช่นนี้ มิยิ่งดูสะดุดตาหรือ?” อันหรูอี้กล่าวพลางหันไปมองชุดที่วางอยู่บนโต๊ะ “ยังมีผ้าคลุมหน้าอีก”
“ในยามปกติกุ้ยเฟยยังต้องทุกวัน แต่วันนี้มิต้องกลับแล้ว” ชิวจื้อยิ้ม “วันนี้เป็นงานเทศกาลหลากชนเผ่าที่ถนนอวี้เฉิง พ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศจะมารวมตัวกันที่นั่น ที่นั่นไม่ขาดแคลนคนต่างชาติ”
การค้าขายบนท้องถนนอวี้เฉิงเป็นงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ซีจิ้น และยังเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการเป็นหนึ่งในสี่แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ซีจิ้น แม้แต่พ่อค้าจากแค้วนหนานหมานหลายคนก็จะมาที่นี่
ตราบใดที่ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด พ่อค้าทั่วไปจากแคว้นหนานหมานจะไม่ถูกจำกัดโดยหน่วยงานราชการของราชวงศ์ซีจิ้น หลักจากที่ได้ยืนเช่นนั้น อันหรูอี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เมื่อชิวจื้อหวีเปียเส้นเล็ก ๆ จนเรียบร้อย อันหรูอี้ก็เปลี่ยนเป็นชุดที่เตรียมไว้ ก่อนจะนั่งรออยู่ในห้องอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงยามจื่อ*[1]ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ยามราตรีคืบคลานใกล้เข้ามา บานประตูก็ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง กายาองอาจ สวมชุดต่างถิ่นสีเขียวอมฟ้า สะพายดาบโค้งไว้ที่เอว ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวเปล่งประกายวาววับอยู่ใต้แสงตะเกียงอ่อน ๆ
ซ่งจื่ออานมองอันหรูอี้ในคราแรกก็มีท่าทีตกตะลึง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเอ่ยว่า “ชุดนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก”
ชุดนั้นเป็นชุดกระโปรงยาวของชาวเมียวที่ถูกย้อมเป็นสีฟ้าคราม สวมทับกับรองเท้าบูทสั้น เผยให้เห็นท่อนแขนขาวเนียน ผิวพรรณดูเหมือนได้รับความโปรดปรานจากแสงจันทร์เป็นพิเศษ เปียอันสลับซับซ้อนทำให้ใบหน้าอันแสนเกียจคร้านของอันหรูอี้ดูน่ารักยิ่งขึ้น
ราวกับวิญญาณน้อยแสนซุกซนที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์ ยามที่นางเยื้องย่างเข้ามาใกล้ แผ่นโลหะสีเงินเล็ก ๆ บนชุดพลิ้วไหวกระทบกัน ก่อเกิดเสียง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ดุจเสียงกระซิบแผ่วเบา คล้ายเสียงฝนโปรยปรายลงบนผิวน้ำอันเย็นยะเยือก หรือเสียงลมพัดใบไม้ไหวเสนาะหู
อันหรูอี้หมุนตัวหนึ่งรอบต่อหน้าซ่งจื่ออาน พลางเอ่ยถามเขาว่า “แต่งกายเช่นนี้จะดูสะดุดตาเกินไปหรือไม่?”
แน่นอนว่าสะดุดตา.
มิอาจปฏิเสธได้ว่า หากนางเยื้องย่างออกไปเช่นนี้ย่อมต้องเป็นที่จับจ้องของสายตาผู้คนนับร้อยนับพัน แต่โชคดีที่ซ่งจื่ออานเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เขายื่นเสื้อคลุมสองตัวออกมาจากด้านหลังเป็นเสื้อคลุมเนื้อบางเบา เหมาะสำหรับสวมใส่ในยามค่ำคืนเช่นนี้
“ไปกันเถิด” ซ่งจื่ออานกล่าว มองอันหรูอี้ด้วยสายตาอ่อนโยน “เริ่มแผนการได้”
“อืม” อันหรูอี้รับคำ พลางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินตามเขาออกไป ดวงตาคู่สวยทอดมองรถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตูวัง “ในเมื่อเริ่มต้นแล้ว ก็อย่าหยุด” นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
‘ข้ามิเกรงกลัวต่อทุกสิ่ง เชิญท่านใช้ประโยชน์จากข้าได้’
รถม้าแล่นออกจากวังไปอย่างเงียบ ๆ ยามปกติแล้วรถม้าคันนี้มักจะมีขันทีหรือนางกำนัลที่ทำธุระ เช่น นางกำนัลจากห้องทอผ้าที่ออกมาซื้อของ ขันทีที่ทำผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเซี่ยเหิงที่นาน ๆ ครั้งก็จะกลับไปค้างคืนที่จวนนอกวัง
นี่เป็นเรื่องปกติในวัง และผู้คุมประตูก็ถูกเปลี่ยนเป็นคนของพวกเขาแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดซ่งจื่ออานจึงสามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ
แม้ว่าเส้นทางลับจะปลอดภัยกว่า แต่หากเรื่องราวของเส้นทางลับรั่วไหลออกไป วังหลวงจะกลายเป็นสถานที่อันตราย ดังนั้นซ่งจื่ออานจึงไม่ค่อยใช้เส้นทางลับในการเข้าออกวังหลวง เว้นแต่จะเป็นเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ
คนขับรถม้าที่ถูกเปลี่ยนเป็นขันทีคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นองครักษ์เงาเช่นกันมีนามว่า ‘เจียอี้’ เป็นชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมจนดูแก่เกินวัน แต่แท้จริงแล้วเขามีอายุน้อยเพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น
เจี๋ยอีหยุดรถม้าที่ปากซอยของถนนอวี้เฉิง เปิดม่านรถม้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชื่อ ‘เทศกาลหลากชนเผ่า’ นี้ช่างเหมาะสมกับภาพที่ปรากฏตรงหน้ายิ่งนัก เพียงอันหรุก้าวลงจากรถม้านางก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้หลุดเข้าไปในดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนจากหลากเผ่าพันธุ์ ทั้งสาวงามชาวแคว้นตะวันตกที่มีเส้นผมสีทองอร่าม ดวงตาเป็นประกายสีฟ้าราวกับมหาสมุทร ชาวมองโกลที่มีจมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาล้ำลึก หรือแม้แต่ชาวชิลลาและชาวริวกิวที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน แต่กลับพูดจาด้วยสำเนียงที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบความงามจากแดนตะวันตกเหล่านั้น พวกเขาสองคนจากแผ่นดินใหญ่ก็ไม่โดดเด่นนัก แต่ก็เป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้ปลดเสื้อคลุมออกในตอนนี้เท่านั้น
หลังจากเดินเข้าไปในถนนสายหลักของงานเทศกาลหลากชนเผ่าได้ไม่นาน พวกเขาก็เห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่กลางถนน นั่นคือ ซ่งเสวี่ย
ไม่ได้เจอกันหลายวัน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง นางกลับไม่ได้บุ่มบ่ามเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อเห็นคนสองคนเดินฝ่าฝูงชนออกมาซ่งเสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีจริง ๆ ท่านทั้งสอง… เชิญตามหม่อมฉันมา พี่สาวรออยู่แล้วเพคะ”
ซ่งจื่ออานพยักหน้าและเดินตามนางไปในตรอกเล็ก ๆ ข้าง ๆ พร้อมกับอันหรูอี้ พวกเขาเปิดประตูข้างและเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนขายของจากด้านหน้ายังคงดังแว่วมาให้ได้ยิน
ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดส่งต่อข่าวสารที่ซ่งจื่ออานแอบตั้งไว้ในเมืองหลวง และเป็นคนที่นี่ที่ได้รับคำสั่งให้ส่งคนไปพาตัวพี่น้องซ่งหลานและซ่งเสวี่ยมา เมื่อเข้ามาในห้อง พี่น้องซ่งหลานและซ่งเสวี่ยก็รีบคุกเข่าลงคำนับอย่างนอบน้อม
“ฝ่าบาทขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ คาราวะกุ้ยเฟยเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ซ่งจื่ออานถอดเสื้อคลุมออก แล้วประคองพวกนางขึ้น “เป็นเพราะเราไร้ความสามารถ ทำให้ท่านพี่ทั้งสองต้องมาตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ พวกท่านมิต้องมากพิธีหรอก”
อันหรูอี้ถอดเสื้อคลุมออกและพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “พี่สาวทั้งสองมิต้องเกร็งไปหรอก พวกเรามิใช่คนที่ยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติมากนัก เวลานี้มีเรื่องเร่งด่วนรีบพูดเรื่องสำคัญกันก่อนเถิด”
พวกเขาทั้งสองปลอมตัวมา คงกลัวว่าจะมีคนจำได้ซ่งหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่รีรอ หยิบแผนที่ออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้นำแผนที่นี้มา เป็นเพราะภาพวาดนี่เพคะ พวกเราสองพี่น้องจึงต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ภาพวาด?”
ซ่งจื่ออานมองดูอย่างรวดเร็ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที “แผนผังยุทธศาสตร์”
[1] ยามจื่อ 23.00-00.59