หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 70 หลัวหลิงมาถึงแล้ว
บทที่ 70 หลัวหลิงมาถึงแล้ว
อันหลิงหลงพูดอยู่ข้างนอกจนปากแห้งผาก แต่คนข้างในก็ยังคงนั่งนิ่งเฉย
อันหรูอี้รู้สึกทึ่งนางเล็กน้อย “อันหลิงหลงไปสืบเรื่องพวกนี้มาจากที่ใดกัน? นางว่างงานทั้งวันเลยหรือ? นางจะสืบแค่เรื่องของท่านอย่างเดียวงั้นรึ?”
ซ่งจื่ออานพลันมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ข้ายังมีฎีกาที่ยังไม่ได้อ่านอีกหลายฉบับ นางคงไม่รออยู่ที่นี่จนถึงค่ำหรอกนะ?”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “ท่านอยากใหห้นางไป ก็กล่าวออกมาตรง ๆ เถิด”
อันหรูอี้ลุกขึ้นหยิบผ้าคลุมไหล่ที่นางมักจะมองว่าเกะกะ ขึ้นมาสวมใหม่ จากนั้นกระแอมเบา ๆ อีกทั้งยังจัดช่อผมของตนเองก่อนจะหันมาส่องคันฉ่องทองเหลือมองตนเอง “รออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปเปิดทางให้ท่านเอง”
ซ่งจื่ออานเลิกคิ้ว ลุกขึ้นยืนเช่นกัน แต่กลับไปหลบอยู่ที่หลังประตูเห็นอันหรูอี้ดึงเสื้อคลุมไหล่บนไหล่ขึ้น จากนั้นไหล่ก็ห่อลงเล็กน้อยเสียงก็เปลี่ยนไป
“โอ้ ข้านึกว่าผู้ใดมารบกวนฝันหวานของข้า ที่แท้ก็เป็นน้องสาวข้านี่เอง”
“ฮึ ๆ ” ซ่งจื่ออานกลั้นขำไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา
อันหลิงหลงตั้งใจจะเงียบปากอยู่แล้ว แต่พอเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ความมั่นใจในชัยชนะก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “ใช่แล้วล่ะ ข้าเองเพคะ พี่หญิงนี่หลับเก่งยิ่งนัก หรือเป็นเพราะโดนกักบริเวณหลายวัน เลยกงัวลจนนอนมิหลับ?”
อันหรูอี้พยักหน้าให้ เถาหงซึ่งมองเห็นเงาหลบอยู่หลังประตูก็พลางกลั้นขำ นางเข้าไปประคองอันหรูอี้ไปนั่งยังศาลากลางสวนพร้อมกับรินชาให้
อันหรูอี้กล่าวว่า “ช่วงนี้ข้านอนมิค่อยหลับจริง ๆ ในหัวคิดถึงแต่เรื่องที่ไปล่วงเกินฮองเฮาวันนั้น จนลืมไปเลยว่าน้องสาวก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย รู้สึกกังวลจริง ๆ ”
ใบหน้าของอันหลิงหลงดำคล้ำ วันนั้นนางตกใจกับการกระทำของอันหรูอี้มาก นางหวาดกลัวจนร้อนรน ไม่รู้ว่าตนจะหลบไปทางไหนดี พอนึกขึ้นได้ทีหลังก็รู้สึกขายหน้ามาก ไม่คิดว่าอันหรูอี้จะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
“พี่หญิงนี่ช่างเก่งจริง ๆ” อันหลิงหลงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นตำหนักคุนหนิงนะ เป็นถิ่นของฮองเฮา พี่หญิงทำเช่นนั้นมิกลัวว่าจะนำปัญหามาสู่ตระกูลอันรึไง?!”
ช่างเป็นคนโง่เขลาเสียจริง…
แต่อันหลิงหลงพูดก็มีเหตุผล นางเป็นคนของตระกูลอันหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อันก่วงเหนิงคงเสียใจมากเป็นแน่ ส่วนตัวแล้วนางไม่สนใจหรอกว่าอันหลิงหลงจะหาเรื่องตายอย่างไร แต่หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงอันก่วงเหนิงนางจักต้องระวังตัวไว้บ้าง
“ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แก่ใจ” อันหรูอี้เงยหน้ามอง “แล้วยังกล้าไปยุ่งกับคนตระกูลเหลิงอีกหรือ? ตอนนี้เหลิงเยว่เป็นถึงฮองเฮาก็จริง แต่เจ้าคิดว่านางจะนั่งตำแหน่งนี้ได้ตลอดไปงั้นรึ?”
อันหลิงหลงหัวเราะเยาะ “พี่หญิงหมายตาตำแหน่งฮองเฮาอยู่สินะ”
คราวนี้อันหรูอี้โกรธจริง ๆ นางลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “อันหลิงหลง! คุณหนูของจวนอัครเสนาบดีอย่างเจ้า เหตุใดถึงโง่งมได้เพียงนี้ ตำแหน่งฮองเฮามันสำคัญนักรึ? เจ้าคิดว่าตระกูลเลิ่งจะยิ่งใหญ่อยู่ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?”
อันหลิงหลงชะงักไป อันหรูอี้มองนางอย่างใจเย็นดวงตาดูล้ำลึกขึ้น
“เจ้าอย่าลืมนะอันหลิงหลง เจ้าเป็นบุตรสาวของตระกูลอัน ตระกูลเหลิงกับตระกูลอัน เจ้าเลือกได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น!”
ที่นางกล้าต่อกรกับเหลิงเยว่เช่นนั้น แต่ซ่งจื่ออานกลับลงโทษนางแค่ให้ทบทวนตัวเองที่ตำนหัก นั่นหมายความว่าอย่างไร? คนที่มีสมองหน่อยก็ดูออกแต่อันหลิงหลงกลับยังคงโง่งมไม่เปลี่ยน
“มิจำเป็นต้องมาขู่ข้าหรอก?” อันหลิงหลงพูดอย่างไม่แยแส “ไม่ว่านางจะเป็นยังไงในอนาคต แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็เป็นฮองเฮา เป็นคนเดียวในวังหลวงที่ปกป้องข้าได้!”
“ปกป้องเจ้า?” อันหรูอี้หรี่ตาลง “ผู้ใดจะทำร้ายเจ้ากัน? ตราบใดที่เจ้าทำตัวดี ๆ ความมั่งคั่งร่ำรวยในอนาคต จื่ออานมิทำร้ายเจ้าหรอก หรือเจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะทำร้ายเจ้า? หรือข้าที่จะทำร้ายเจ้า? เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าไว้ พวกเราไม่มีเวลามายุ่งกับเจ้าหรอก!”
อันหลิงหลงโมโหจนกระทืบเท้า “อันหรูอี้! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าดูถูกข้ารึไง!?”
“ใช่ ข้าดูถูกเจ้า” อันหรูอี้หันหลังกลับ “ผู้ที่มิเคยเข้าใจผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง ไม่มีสามัญสำนึกความรับผิดชอบ เจ้าเหมือนมารดาของเจ้าไม่มีผิด ผู้คนต่างพาเกลียยชังเจ้า แต่เจ้ากลับยังไม่รู้ตัว!”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเยาะ “สุดท้ายแล้วก็แค่บุตรสาวอนุ ข้าเองก็มิได้หวังว่าเจ้าจะทำให้ตระกูลอันดูดีขึ้น แต่เรื่องน่าอายก็ทำให้น้อย ๆ หน่อยเถิด”
อันหลิงหลงโกรธจนตัวสั่น แต่ที่นี่คือตำหนักกุ้ยเฟย คำพูดของหลิวลวี่ยังคงดังก้องอยู่ในหู ภาพเหตุการณ์ที่นางอาละวาดในตำหนักคุนหนิงยังคงชัดเจน นางกัดฟันแน่น ในที่สุดก็ไม่ได้ระบายความโกรธออกมา
อันหรูอี้เอ่ยด้วยเสียงแข็งกร้าว “ส่งแขก อย่ามาทำให้ที่ของข้าสกปรก”
“ซิ่วหง กลับตำหนัก!”
ขบวนนางกำนัลทมากมากก็จากไปพร้อมกับนาง อันหรูอี้หันกลับไปมองจนกระทั่งเห็นกลุ่มคนสุดท้ายออกจากลานตำหนักไป จากนั้นก็ค่อย ๆ ยิ้ม มองไปในห้อง “จื่ออาน ท่านออกมาเถิด”
‘จื่ออาน’ สองคำนี้เป็นพระราชอนุญาตพิเศษให้อันหรูอี้เรียกได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้คนในตำหนักเหมันต์จึงคุ้นเคยกันดี จากที่ตกใจในตอนแรกจนถึงตอนนี้ก็เฉยชาไปแล้ว นับว่าเป็นการปรับตัวที่ยากลำบากมาก
ซ่งจื่ออานจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เหลือบมองเซี่ยเหิงที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แววตาขบขันที่ปรากฏบนใบหน้าของเซี่ยเหิง ทำให้รู้ซ่งจื่ออานรู้ว่าเขากำลังเบิกบานใจเพียงใด
“ละครสนุกไหม?” ซ่งจื่ออานถามด้วยรอยยิ้ม
… ซวยแล้ว
เซี่ยเหิงปรับสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมทำไปเพื่อถวายความจงรักภักดี! แต่อันกุ้ยเฟยอยู่ที่นี่กระหม่อมไม่กล้าล่วงเกิน!”
“อ้อ” ซ่งจื่ออานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่ในวังหลวงนี้ เต็มไปด้วยสนมทั้งนั้น ถ้าเจ้ามิอยากล่วงเกินก็ออกไปจากวังหลวงซะสิ”
เซี่ยเหิง “…” ห๊ะ ?
ซ่งจื่ออานจัดแขนเสื้อ ไม่สนใจเซี่ยเหิงอีกต่อไป เขาหันไปมองอันหรูอี้ “เหนื่อยหน่อยนะ อันหลิงหลงนางพูดจาไม่ไว้หน้า ข้าเองก็ได้แต่หลบหน้า”
ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันกลั้นขำ อันหรูอี้ยิ้ม ยกถ้วยชาจรดริมปาก เบาไล่ความร้อยเบา ๆ “ไปอ่านฎีกาต่อเถิดเพคะ”
อันหรูอี้จิบชาอย่างช้า ๆ มองเขาอย่างมีความหมาย “อย่าเสียเวลาเลย ในเมื่อพี่หญิงสวีรอฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักซูฮวา บางทีแม้แต่กระดานหมากล้อมก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว”
ซ่งจื่ออานเหลือบมองเซี่ยเหิงโดยไม่รู้ตัว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินไปจับมืออันหรูอี้ ดื่มชาจากถ้วยชาที่นางเพิ่งดื่มไปคำพูดและท่าทางดูใจเย็นมาก
“งั้นแสดงว่า… เจ้ากำลังหึงข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
อันหรูอี้หน้าแดง รีบไล่ฮ่องเต้หนุ่มออกไป
ในเวลาเดียวกัน ที่ประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองหลวงรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาในเมืองอย่างช้า ๆ
สารถีสวมหมวก ทหารยามที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองตรวจค้นรถม้าธรรมดา ๆ อย่างหยาบคาย ในรถม้ามีเพียงเด็กสองคนอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี นั่งอยู่ ไม่ตรงกับคนที่เหลิงตู้บอกให้เขาระวังตัว ก็รีบไล่พวกเขาไป
สารถีรีบตอบรับและขับรถม้าเข้าไปข้างใน รถม้าค่อย ๆ แล่นเข้าไปในหอสือจื่อ สารถีและเด็กสองคนลงจากรถม้าแล้วเข้าไปทางประตูหลัง เข้าไปในห้องพักจากนั้นก็เข้าไปในห้องรับรองของหอสือจื่อ
มีคนนั่งอยู่ในห้องรับรองอยู่แล้ว จู่ ๆ เด็กสองคนก็ตัวสูงขึ้นมาอีกสองสามชุ่น*[1] จากนั้นจึงก้าวไปยืนอยู่ข้างหลังผู้อยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งยังมีเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ ส่วนสารถีก็ถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของบัณฑิต
“กระหม่อมคือหลัวหลิง ขุนนางฝ่ายตรวจการของกรมขุนนางเจ้อเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
[1] หนึ่งชุ่นเท่ากับหนึ่งนิ้ว