หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 7 งามสะพรั่งเหนือวิมานเมฆา
บทที่ 7 งามสะพรั่งเหนือวิมานเมฆา
บทที่ 7 งามสะพรั่งเหนือวิมานเมฆา
“ท่านแม่ อันหรูอี้นางรังแกข้าเกินไปแล้วจริง ๆ นะเจ้าค่ะ!”
ทันทีที่อันหลิงหลงก้าวพ้นสวนดอกไม้ไปแล้ว ก็รีบไปยังเรือนของหวังซื่อเพื่อฟ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ได้ยิน แววตาของหวังซื่อก็ฉายแววโหดเหี้ยมนางพึมพำกับตัวเองว่า “แม้แต่ตอนที่แม่ของมันยังมีชีวิตอยู่ก็ดูถูกและกดขี่ข้า จนตอนนี้นางนั่นมันไม่อยู่แล้ว บุตรของนางยังจะกลั่นแกล้งเจ้าอีก นี่มันจะเกินไปแล้ว!”
“นั่นสิท่านแม่! ท่านต้องหาวิธีกำจัดมันให้ลูกนะ! ตอนนี้คนในจวนต่างก็มองมันเป็นคุณหนูใหญ่ ไม่มีใครสนใจคุณหนูรองเช่นข้าเลย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การคัดเลือกหญิงงามเข้าวังคงจะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น…” ตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาอันหลิงหลงไม่เคยได้รับอัปยศเช่นนี้มาก่อน นางเอ่ยไปน้ำใสก็เริ่มคลอในดวงตา
หวังซื่อกำผ้าเช้ดหน้าบิดในมือจนแน่น นางกล่าวด้วยความเกรียวกราด “อันหรูอี้! ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริง ๆ ซ้ำตอนนี้เจ้ายังผูกไมตรีกับอนุเซียว คิดว่าฮูหยินใหญ่ของจวนเช่นข้า ทำอันใดนางไม่ได้งั้นหรือ!”
อันหลิงหลงกะพริบตาอย่างงุนงงแล้วเอ่ยถามว่า “แต่ตอนนี้ แม้แต่ท่านพ่อก็ยังเข้าข้างอันหรูอี้ ท่านพ่อคิดว่านางดีทุกอย่าง…แล้วเราจะจัดการกับนางยังไงดีล่ะเจ้าค่ะ”
“หึ! นางมิได้อยากจะเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าวังรึไง ถ้ามีสตรีที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียไปแล้ว เจ้าคิดว่านางจะยังมีสิทธิ์ไปคัดเลือกเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทได้งั้นหรือ?” หวังซื่อยิ้มอย่างโหดเหี้ยม มองดูบุตรสาวของตนด้วยสายตาที่สื่อถึงอะไรบางอย่าง
อันหลิงหลงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ เผยรอยยิ้มที่ร้ายกาจขึ้นมา นางหัวเราะพลางกำขอบโต๊ะไม้จันทร์อย่างแน่น ราวกับกำลังกำจุดตายของอันหรูอี้ไว้ในมือ…
“ออกไปซื้อของงั้นหรือ? ข้ารับใช้ในจวนนี้ตายหมดแล้วรึไง เหตุใดจะต้องให้คุณหนูใหญ่ออกไปทำเองด้วย?”
หลิวลวี่ติดตามอันหรูอี้มานาน ฝีปากของนางจึงเก่งขึ้นเรื่อย ๆ นางจ้องมองชุนหัวที่มาแจ้งข่าว หลิวลวี่ก็กล่าวถากถางสวนกลับไปยังรวดเร็วจนน้ำลายแทบจะกระเด็นใส่หน้าชุนหัว
อันหรูอี้นั่งพักผ่อนบนเก้าอี้ไม้พลางโยกเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “น่าสนใจจริง ๆ เมื่อครู่นี้คุณหนูของเจ้ายังทะเลาะกับข้าอยู่เลย แต่จู่ ๆ ตอนนี้กลับมาชวนข้าออกไปซื้อของด้วยกัน…”
ชุนหัวปาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก นางยิ้มแหยแล้วตอบกลับว่า “บะ…บางทีคุณหนูรองอาจจะอยากใช้โอกาสนี้ ปรับความเข้าใจกับคุณหนูใหญ่ก็ได้นะเจ้าค่ะ”
“ถุย!” หลิวลวี่สบถอย่างไม่ไว้หน้า “ครั้งก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ข้าเกือบจะถูกพิษในโจ๊กฆ่าตายไปแล้ว ครั้งนี้เจ้ายังกล้ามาพูดอีกงั้นหรือ เจ้าคิดว่าคนของเรือนเหมันต์โง่งมรึไง?”
ชุนหัวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นและปล่อยโฮร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ นางกระชากแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยช้ำ แล้วร้องไห้สะอื้นว่า
“ขะ…ข้ามิกล้าหลอกลวงคุณหนูใหญ่แล้ว ความจริงคุณหนูรองได้วางแผนไว้ทำร้ายท่าน ตะ…แต่ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งคุณหนูรองเจ้าค่ะ หากข้าไม่ทำตามที่คุณหนูรองสั่ง ข้าจะต้องถูกตีจนตายแน่เจ้าค่ะ”
อันหรูอี้แอบตกใจเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “นางมาชวนข้าเช่นนี้ นางจะทำอันใดกันแน่?”
“คุณหนูรองต้องการให้ทำให้ท่านอับอายที่ตลาดในเมืองหลวง เพื่อให้ท่านไม่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าวัง…” ชุนหัวพูดอย่างหวาดกลัว “คุณหนูใหญ่… ท่านดีกับข้ารับใช้ทุกคนในจวน แม้ข้าจะเป็นคนของคุณหนูรอง แต่ในใจของข้าก็เคารพนับถือคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
อันหรูอี้อดที่จะหัวเราะไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าอันหลิงหลงจะไม่เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้างถึงเพียงนี้ แม้แต่สาวใช้ข้างกายยังหันหลังให้นาง ไม่ต้องเอ่ยถึงความปรองดองในเรือนไม้ไผ่แล้ว แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของคนในเรือนนั้นคงแตกเป็นเสี่ยง ๆ กันหมดแล้ว
“เตรียมแต่งตัวให้ข้า เราไปดูกันเถอะ” อันหรูอี้มองชุนหัวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันไปพูดกับหลิวลวี่อย่างอ่อนโยน
หลิวลวี่รู้ว่าคุณหนูของตนมีความคิดเป็นของตนเอง เมื่อนางตัดสินใจแล้วย่อมไม่มีใครเปลี่ยนใจคุณหนูของตนได้ หลิวลวี่ทำได้แต่พยุงอันหรูอี้เดินเข้าไปในห้องเท่านั้น
ชุนหัวคิดว่าอันหรูอี้ตกลงรับคำชวนเพื่อช่วยนางไม่ให้ถูกคุณหนูรองทำร้าย จึงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก “คุณหนูใหญ่ต้องระวังตัวให้ดีนะเจ้าค่ะ…”
“คุณหนู… ท่านตั้งใจจะทำให้ตัวเองเสียชื่อ เพื่อให้ท่านถูกถอดชื่อออกจากรายชื่อหญิงงามหรือเจ้าคะ?” หลิวลวี่เอ่ยถามอย่างระมัดระวังพลางแต่งหน้าให้อันหรูอี้
“ข้าไม่ต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีโง่เขลาเช่นนี้เพื่อถอนตัว” อันหรูอี้พูดอย่างสงบนิ่ง
หลิวลวี่จึงเข้าใจในทันทีว่าการไปตลาดครั้งนี้ใครกันแน่ที่จะเสียหาย
หน้าจวนอัครมหาเสนาบดี อันหลิงหลงกำลังเพลิดเพลินกับคำเยินยอของคนรับใช้ที่อยู่รอบตัว รู้สึกมีความสุขที่จะได้กำจัดอันหรูอี้ในวันนี้ นางจึงตั้งใจแต่งตัวหรูหราและสวยงามเป็นพิเศษ
แต่เมื่ออันหรูอี้มาถึง อันหลิงหลงก็ได้รับรู้ความรู้สึกของความฝันที่แตกสลายเป็นเช่นไรทันที
วันนี้อันหรูอี้แต่งตัวงดงามเป็นพิเศษเช่นกัน นางมีเอวบางราวกับกิ่งหลิว ดวงตากลมโตสีดำขลับราวกับผู้ที่พบเห็นจะถูกต้องมนต์สะกด
ความงามของอันหรูอี้ยามนี้ทำให้ผู้คนที่พบเห็นไม่สามารถละสายตาออกจากเรือนร่างนางได้เลย งดงามราวกับเซียนที่ตกจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
รอยยิ้มของอันหลิงหลงแข็งค้างบนใบหน้า แต่อันหรูอี้ก็ไม่ได้สนใจมองนาง อันหรูอี้แค่พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะไปซื้อของก็รีบขึ้นรถม้าเถิด หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปกลับมาท่านพ่ออาจจะลงโทษเจ้าได้”
อันหลิงหลงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ความเกลียดชังพลุ่งพล่านอยู่ในใจ อันหลิงหลงเพียงคิดอย่างเคียดแค้นว่า อันหรูอี้ก็แค่ได้ท่านพ่อตามใจเท่านั้น ‘ครั้งนี้ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะรอดพ้นจากปากขุมนรกได้เช่นไร!’
เมื่อรถม้าจอดหน้าร้านค้าเครื่องประดับที่สาว ๆ ในเมืองจิงเฉิงชื่นชอบ เถ้าแก่ก็ออกมาต้อนรับด้วยความตกใจเห็นได้ชัดว่ารถม้าจากจวนอัครมหาเสนาบดีนั่นมีอิทธิพลมากเพียงใด
เมื่อมองดูคุณหนูทั้งสองจากตระกูลอัครมหาเสนาบดีต่างก็งดงามไม่แพ้กัน เถ้าแก่ร้านโค้งคำนับและพูดว่า “เชิญคุณหนูทั้งสองเลือกดูได้ตามสบายนะขอรับ เครื่องประดับเหล่านี้ล้วนทำมาจากวัสดุชั้นเลิศ รับรองว่าดีที่สุดในเมืองหลวง”
“วันนี้ท่านพี่ไม่ประดับเครื่องทองที่ท่านชอบเลย นี่ดูเรียบง่ายไม่เหมือนท่านพี่เลยนะ” อันหลิงหลงแสร้งยกมือขึ้นป้องปากพลางหัวเราะ ไม่แม้แต่ชายตามองเครื่องประดับงดงามที่อยู่ตรงหน้า กลับเดินไปหยิบปิ่นปกผมขอบทองประดับหยกสีเขียวขนาดใหญ่จากตู้เครื่องประดับทองคำที่อยู่ด้านในสุดยื่นให้อันหรูอี้
อันหรูอี้ขมวดคิ้วมองเครื่องประดับไร้รสนิยมที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ในชีวิต นางถูกหวังซื่อปลูกฝังให้คิดว่าเครื่องทองเครื่องเงินเป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุด ทำให้อันหรูอี้เป็นที่หัวเราะเยาะมาแล้วหลายครั้ง
ในชาตินี้อันหลิงหลงยังคิดจะใช้วิธีนี้มาทำให้นางอับอายอีกงั้นหรือ?
นางไม่สนใจเครื่องประดับในมือที่อันหลิงหลงยื่นมาให้แต่ค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมหยกอันหนึ่งจากบนโต๊ะ ปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้มีความบริสุทธ์ของหยกเยอะมาก ยากที่จะละสายตาได้
หลิวลวี่ทำตามคำสั่งของอันหรูอี้ นางค่อย ๆ บรรจงปักปิ่นหยกเข้าไปที่มวยผมที่งดงามของคุณหนูตน
ความงามในชั่วขณะนั้นทำให้ผู้คนในเมืองราวกับต้องมนต์สะกด
“ความคิดคะนึงหาช่างทรมานจิตงามสะพรั่งดุจดอกไม้ที่เบ่งบานเหนือวิมานเมฆา” เสียงไพเราะดังมาจากด้านข้างราวกับเป็นเสียงจากสวรรค์
หลิวลวี่หันกลับไปมองด้วยความโกรธ ตั้งใจจะต่อว่าคนไร้มารยาทที่กล้าล่วงเกินคุณหนูจากตระกูลอัครมหาเสนาบดีแต่นางกลับต้องนิ่งค้างเมื่อเห็นคนผู้นั้น
ที่ด้านข้างมีบุรุษรูปงามยืนผิงเสาไม้อยู่ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดุจดั่งแสงจันทร์ส่องสว่างในสายลมรัตติกาล ดวงตาคมเข้มราวกับจะสะกดทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ไว้ ช่างรูปงามราวกับเป็นเทพเซียนแปลงกายมาจริง ๆ