หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 68 จวนอ๋องอวิ๋นหนาน
บทที่ 68 จวนอ๋องอวิ๋นหนาน
หากเอ่ยถึงวันเวลาที่ถูกกักบริเวณ นั่นช่าง… สบายยิ่งนัก
เพียงแค่อาศัยช่วงเวลากลางคืน ย่องออกจากวังหลวงไปยังหอหอสือจื่อเพื่อลิ้มลองรสชาติของซื่อจื่อโถว ก็ถือเป็นความรื่นรมย์อันหาที่เปรียบมิได้ ทว่าก็เกิดเรื่องที่ทำให้นางหงุดหงิดใจอยู่เรื่องหนึ่งเช่นกัน
ยามราตรีของวันที่เก้าที่ถูกกักบริเวณ อันหรูอี้ก็ถูกรบกวนให้งัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึกโดยซ่งจื่ออาน เขายืนกรานจะลากนางออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกวัง บอกว่ามีคณะละครสัตว์จากโฝหลางจี*[1]มาเปิดการแสดง ‘มายากล’ หากพลาดโอกาสนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้ชมอีก
อันหรูอี้ปรือตาขึ้นมา นางง่วงจนแทบไม่มีแรงลุกขึ้นมา แม้ว่าอันหรูอี้จะถูกอุ้มขึ้นรถม้ามา ก็ยังคงเอนกายซบอยู่บนขาของซ่งจื่ออานไม่อยากขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย
ซ่งจื่ออานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังมิหายง่วงอีกหรือ? ข้าได้ยินหมอหลวงบอกว่าโรคของเจ้าหายดีแล้ว แต่หากเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องมิออกไปไหนเลย เกรงว่าร่างกายจะยิ่งทรุดโทรมลงนะ”
อันหรูอี้ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า จ้องมองซ่งจื่ออานนิ่ง “ท่านหมอหลวงบอกให้ท่านออกมาข้างนอกตอนกลางดึกเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“เอ่อ… หมอหลวงก็มิได้บอกว่าห้ามออกจากวังตอนกลางดึกมิใช่หรือ?” ซ่งจื่ออานพูดพลางกระพริบตาปริบ ๆ
อันหรูอี้มองเขาพร้อมกับรอยยิ้มแห้ง ๆ “ท่านช่างแถได้เก่งนัก”
เมื่อเห็นท่าทางขุ่นเคืองแต่ก็น่ารักของอันหรุอี้ ซ่งจื่ออานอดใจไม่ไหว ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิต อันหรูอี้กลับยกมือขึ้นมาปิดปากเขาเสียก่อน
ซ่งจื่ออานแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ แลบปลายลิ้นเลียที่ฝ่ามือนางเบา ๆ ทำให้นางสะดุ้งเฮือก รีบชักมือกลับ ซ่งจื่ออานก้มลงไปอีกครั้ง อันหรูอี้ก็เบือนหน้าหนี
ริมฝีปากของเขาก็เลยไปสัมผัสที่ติ่งหูของนาง
อันหรูอี้หลุดหัวเราะคิกคัก นิ้วเรียวจิ้มไปที่เอวของเขา “ยังกล้ามาแกล้งข้าบนรถม้าอีกนะ! รับมือข้าให้ไหวแล้วกัน!”
ทันใดนั้นรถม้าสั่นไหวไปมา เสียงหยอกล้อดังต่อเนื่องไม่ขาด พร้อมกับเสียงครางต่ำที่ชวนให้คิดไปไกลดึงดูดสายตาผู้คนให้หันมามอง
เซี่ยเหิงมองฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครุ่นคิดว่าควรจะบังคับรถม้าไปยังสถานที่เงียบสงบแล้วค่อยถอยห่าง หรือควรจะเตือนสติทั้งสองว่ากำลังอยู่กลางเมืองหลวงอยู่ ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้อาจดูไม่เหมาะสมเท่าไรนัก
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะตัดสินใจได้ ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันปนแปลกใจดังเข้ามาในโสตประสาท “ทำเรื่องบัดสีกลางเมืองหลวงเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี ท่านพี่ ท่านดูสิ ข้าว่าเมืองหลวงแห่งแคว้นซีจิ้นนี้ ก็ไม่ได้มีจารีตที่ดีงามอย่างที่ท่านกล่าวไว้เสียหน่อย”
หือ? ช่างกล้าหาญยิ่งนัก
เซี่ยเหิงถือกระบี่ไว้แน่น หันไปมองตามเสียง ก็เห็นชายหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยสองคนยืนอยู่บนถนน สายตาทั้งสองจับจ้องไปยังรถม้า แม้จะมองคนละทิศทาง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรังเกียจและดูถูกเหยียดหยาม ชายหนุ่มคนที่อยู่ด้านซ้ายเห็นเซี่ยเหิงก็มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย
เสียงภายในรถม้าเงียบลง ในทันใดนั้นก็มีมือสองข้างเปิดม่านรถม้าออก คนที่อยู่ภายในเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คุณหนูทั้งสอง ท่านว่าผู้ใดกันที่ทำเรื่องบัดสีกลางเมืองหลวง?”
‘บุรุษ’ ทั้งสองเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ภายในรถม้าทางด้านซ้ายเป็นสตรีนางหนึ่ง นางสวมเสื้อคลุมสั้นและกระโปรงสีฟ้าอมเขียว ผมยาวเกล้าสูง คิ้วงามโก่งเรียว ริมฝีปากแดงเผยอเล็กน้อย จมูกโด่งเชิดดวงตาดุจจันทร์เพ็ญสะท้อนในสระน้ำยามราตรีงดงามดั่งเทพธิดา
ทางด้านขวาเป็นชายหนุ่มอายุราว ๆสิบแปดถึงยี่สิบปีเศษ สวมชุดสีดำปักลวดลาย รูปร่างสง่าผ่าเผย คิ้วคมเข้มยาวจรดขมับ ริมฝีปากบางยกยิ้ม จมูกโด่งเป็นสัน แม้จะมีรอยยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตากลับเย็นชาน่าเกรงขาม
ทั้งสองล้วนเป็นคนงาม ทั้งยังมีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แตกต่างจากสามัญชน สำคัญกว่านั้นคือเสื้อผ้าและทรงผมของพวกเขาเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของการกระทำอันมิควรใด ๆ อย่างที่พวกเขากล่าว
ใบหน้าของทั้งสองแดงก่ำทันที พวกเขาแต่งกายเป็นบุรุษมา หน้าตาคล้ายคลึงกัน งดงามดั่งหยก สง่างามดุจหิมะ แต่กลับมีนิสัยหุนหันพลันแล่น ทั้งยังมีรูปร่างสูงกว่าสตรีทั่วไป
หญิงสาวทางซ้ายมองพวกเขาอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“เจ้า…พวกเจ้า…นี่มันกลางถนน! ผู้ใดให้พวกเจ้ามาเล่นซุกซนกันเช่นนี้!”
อันหรูอี้ หัวเราะเยาะ “ช่างแปลกนัก รถม้านี้เป็นของพวกข้า พวกข้าอยากทำอันใดในรถก็ได้ พวกข้ามิได้บอกให้พวกเจ้ามายุ่ง พวกเจ้าด่าพวกข้าอย่างไร้ยางอายโดยมิกล่าวคำขอโทษก็แล้วไป แต่บัดนี้ยังกล้ายืนต่อว่าข้าเช่นนี้อีก หรือว่าถนนในเมืองหลวงนี้เป็นของบ้านเจ้า ถึงได้ออกกฎว่าห้ามเล่นในรถม้าของตนเอง?”
หญิงสาวนั้นรู้สึกเสียหน้า กำลังจะเอ่ยอีก แต่สตรีข้างกายกลับตวาดเสียงเย็น “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!”
หญิงสาวไม่กล้าพูดอีก สตรีนั้นรีบคำนับสองคนแล้วกล่าวว่า “ขออภัยด้วย ข้ากับน้องสาวเพิ่งมาถึงเมืองหลวง มิรู้ธรรมเนียม ล่วงเกินท่านทั้งสองเข้าแล้ว”
อันหรูอี้ไม่ใช่คนจะเอาเรื่องเอาราวให้ถึงที่สุด นางเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วมองไปทางซ่งจื่ออาน
ซ่งจื่ออานหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็มิเป็นไร เพียงแต่ในเมืองหลวงนี้มีขุนนางมากมาย มิใช่ทุกคนจะใจดีเหมือนข้ากับภรรยา หากคุณหนูทั้งสองต้องการเดินทางอย่างปลอดภัย ต่อไปควรระวังปากของตนให้ดี”
คำกล่าวนี้ก็นับว่าแรงไม่น้อย
แต่สตรีนั้นกลับไม่แสดงอาการใด ๆ เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ขอบคุณท่านที่เตือน พวกข้าสองพี่น้องจะจดจำไว้ในใจ”
“ไปกันเถิด” อันหรูอี้เพิ่งถูกปลุกขึ้นมากลางดึกอย่างนี้ ไม่อยากเสียเวลาที่นี่ จึงหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “มิใช่ว่าจะไปดูมายากลโฝหลางจีหรอกหรือ? หากไปช้ากว่านี้ พรุ่งนี้เจ้าอาจตื่นไม่ไหว”
ซ่งจื่ออานส่ายหน้าปล่อยม่านรถลงแล้วบอกเซี่ยเหิง “ไปเถิด”
เซี่ยเหิงยิ้ม ค่อย ๆ ดึงบังเหียน รถม้าจึงค่อย ๆ เคลื่อนออกไป หญิงสาวที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้อดบ่นไม่ได้ว่า “ท่านพี่ เหตุใดท่านต้องกลัวพวกเขาด้วย? ข้ามิเชื่อหรอกว่าในเมืองหลวงนี้จะมีผู้ใดกล้าทำอันใดพวกเรา!”
“ฮึ ช่างมิรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” สตรีนั้นเหลือบมองนาง สายตาจับจ้องไปที่รถม้าที่กำลังเคลื่อนห่างออกไป “คนอื่นอาจทำอันใดเจ้ามิได้ แต่สองคนนั้นจะบีบคอเจ้าให้ตายก็ง่ายดายนัก”
หญิงสาวขมวดคิ้ว กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ท่านพี่ก็แค่ขู่ข้า”
สตรีนั้นขมวดคิ้วแน่น จ้องนางเขม็ง “เจ้านี่ไม่รักชีวิต! ที่นี่คือเมืองจิงเฉิง เจ้าคิดว่าเป็นอวิ๋นหนานหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่นั่งในรถคือผู้ใด? อย่าว่าแต่พวกเรา แม้แต่ท่านพ่อก็ต้องฟังเขา!”
หญิงสาวชะงัก ก้มหน้าทวนคำพูดของพี่สาว แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวสันหลัง ร้องเบา ๆ พลางเบิกตากว้าง
และคำพูดสุดท้ายของพวกนางก็ลอยเข้าหูของ ซ่งจื่ออาน
ซ่งจื่ออานถึงอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะปลอมตัวออกตรวจตราบ้านเมืองมีคนคอยคุ้มกันทั้งลับ ๆ และแบบเปิดเผยตัวผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้พวกเขา ล้วนถูกจับตามองอยู่ระยะหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้าใกล้ด้วยจุดประสงค์ร้าย
เมื่อกลับถึงวังหลวง ซ่งจื่ออานก็ค้นหาทะเบียนรายชื่อราชวงศ์ออกมา วันรุ่งขึ้นก็บอกตัวตนของหญิงสองคนนั้นให้อันหรูอี้ทราบ
“ซ่งหลาน ซ่งเสวีย ธิดาของอ๋องซ่งเจิ้นตงเมืองอวิ๋นหนาน” ซ่งจื่ออานเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “พูดไปแล้ว นับเป็นพี่สาวของข้า ซ่งหลานเป็นคนสุขุมเย็นชา ซ่งเสวียหุนหันพลันแล่นแต่ทั้งคู่เป็นแม่ทัพคนสำคัญของท่านลุง ไม่แพ้บุรุษเลยทีเดียว”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “น่าแปลกที่ข้าเห็นพวกนางรูปร่างสูงโปร่งผิดปกติ กิริยาท่าทางก็มิธรรมดา ที่แท้ก็เป็นญาติของท่านนี่เอง แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนางมาเมืองหลวงด้วยเหตุใด?”
ซ่งจื่ออานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “มิยากที่จะเดา จวนอ๋องอวิ๋นหนานเป็นด่านแรกในการต้านทานพวกป่าเถื่อนทางใต้ ท่านลุงมิไว้ใจกรมกลาโหม คงต้องการให้พวกนางมาพบข้าเพื่อปรึกษาหารือ”
“กรมกลาโหม เหลิงตู้” ดวงตาของซ่งจื่ออันหรี่ลงเล็กน้อย “หากศึกครั้งนี้จะเอาชนะได้ อย่างน้อยต้องชำระล้างกรมกลาโหมเสียก่อน ขอเพียงฉินฟางกลับมา…”
อันหรูอี้เข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านทำตามที่ต้องทำเถิด มิต้องเป็นห่วงข้า”
ดวงตาของซ่งจื่ออานฉายแววอบอุ่น เขาจับมือนางกำลังจะเอ่ยคำซาบซึ้งออกมา
ทันใดนั้นอันหลิงหลงก็ถึงที่ตำหนักเหมันต์…
[1] ประเทศฝรั่งเศส / ใช้เรียกพวกชาวตะวันตก