หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 67 เยี่ยมเยือน
บทที่ 67 เยี่ยมเยือน
อันหรูอี้ถูกกักบริเวณมาเกือบสิบวันแล้ว สิบวันที่เรื่องของตำหนักคุนหนิงแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง แต่ฮ่องเต้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องในวังหลังอีก
เพราะหลัวหลิงหายตัวไป
มีผู้พบเห็นเขาที่เมืองตงอันแต่คนที่ส่งไปกลับไม่มีผู้ใดกลับมาเลย ดูเหมือนว่าจะมีผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว
คนที่มีอำนาจกระทำเช่นนี้ นอกจากท่านแม่ทัพสวีแล้ว คงไม่มีผู้ใดอีก ส่วนฉินฟางแม้โจวฟูจะไปหาที่จวนเขาบ่อย ๆ แท้จริงแล้วตัวฉินฟางก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นเขา
ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือ ซ่งจื่ออานไปค้างที่ตำหนักซูฮวาหกเจ็ดวันแล้ว ตำหนักซูฮวาคือที่ใดนะหรือ? ก็คือตำหนักที่สวีเจิ้งบุตรสาวของท่านแม่ทัพสวีพำนักอยู่!
นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายที่เข้ามายุ่งเกี่ยวต้องเป็นคนของท่านแม่ทัพสวีอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้คิดว่าท่านแม่ทัพผู้นั้นไม่ค่อยชอบหน้าเขาอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อเทียบกับอันหรูอี้แล้วสวีเจิ้งกับเหลิงเยว่ก็ต่อสู้กันมายาวนานถึงสามปี แม้ว่าอันก่วงเหนิงจะมีกรมพิธีการ กรมการคลัง และขุนนางพลเรือนจำนวนมากสนับสนุน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอันใดเขาได้
ในทางกลับกัน ท่านแม่ทัพเฒ่าสวีนั้นกลับมีกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ที่เมืองหลิงหยาง เมืองจี่หนานและเมืองสือเหมินซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเขามากกว่า ดังนั้นซ่งจื่ออานจึงมุ่งเป้าทั้งหมดไปที่ท่านแม่ทัพสวี
เหลิงเยว่ส่งคนไปทูลเชิญให้เขามีราชโองการกล่าวโทษอันก่วงเหนิงและอันหรูอี้ ตัวเขาเองก็ตอบตกลงแต่ในใจเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงส่งขุนนางฝ่ายตรวจการไปพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ้งไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย
ในวังอันหลิงหลงได้รับการเลื่อนตำแหน่ง วันรุ่งขึ้นจึงต้องไปคารวะที่ตำหนักคุนหนิง เนื่องจากได้รับตำแหน่งเป็นสนมขั้นผิน บรรดาสนมที่เคยเยาะเย้ยถากถางนางต่างก็หวาดกลัว พากันส่งของขวัญมาขอโทษและประจบประแจง
แต่อันหลิงหลงกลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะเหลิงเยว่พูดกับนางประโยคหนึ่ง
“อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นน้องสาวของอันหรูอี้” เหลิงเยว่ยกถ้วยชาจรดริมฝีปากแล้วเปาออกมาเบา ๆ “ผู้อื่นมิรู้ว่าเจ้าได้รับความโปรดปราน แต่เพราะเจ้าเป็นน้องสาวของอันหรูอี้จึงได้ตำแหน่งสนมผินเช่นนี้ เจ้ามิคิดจะอาศัยจังหวะนี้บ้างรึ?”
อันหลิงหลงหน้าชา เหลิงเยว่ต้องการให้นางไปอาศัยบารมีของอันหรูอี้ แต่นางจะทิ้งศักดิ์ศรีไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
เหลิงเยว่วางถ้วยชาลง เห็นแววตาไม่เต็มใจของอันหลิงหลงในแววตามีความอิจฉาริษยาสะท้อนออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “เจ้ายังอาศัยยาปลุกกำหนัดขึ้นเตียงฮ่องเต้ได้ เรื่องแค่นี้ทำมิได้เชียวรึ?จิ้งผิน”
ทั้งวิธีการและยาล้วนมาจากเหลิงงเยว่ ตอนนี้เหลิงงเยว่กลับมาตำหนิให้นางรึ! มิน่าผู้คนจึงลือกันว่าเหลิงเยว่มักอิจฉาริษยาผู้อื่นยิ่งนัก ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อันหลิงหลงโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี แต่สุดท้ายก็ยอมจำนนต่ออำนาจของเหลิงเยว่ นางไม่กล้าขัดขืนใด ๆ ได้แต่เอ่ยว่า “คำสั่งของฮองเฮา หม่อมฉันจะปฏิบัติตามเพคะ เพียงแต่ฝ่าบาทก็ทรงทราบ อันหรูอี้กับหม่อมฉันมิค่อยถูกกัน…”
“ถูกกันหรือมิถูกกันก็ต้องดูกันต่อไป” เหลิงเยว่ลูบเสื้อผ้าตัวอย่างแผ่วเบา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “รอให้อันหรูอี้พ้นโทษกักบริเวณ เจ้าก็ไปเยี่ยมเยียน ผูกมิตรกับนางให้มากขึ้นก็เพียงพอแล้ว”
เยี่ยมเยือนงั้นรึ!
พอได้ยินสองคำนี้ อันหลิงหลงก็แทบอยากจะกัดฟันให้แหลกคาปาก แต่คำสั่งนั้นเป็นของฮองเฮาเหลิงเยว่ นางทำได้เพียงยอมทำตาม
“เพคะ…ฮองเฮา หม่อมฉันจะปฏิบัติตามเพคะ”
วันนี้เป็นวันที่สิบ เหลิงเยว่บอกว่าคำสั่งกักบริเวณจะถูกยกเลิกในยามอู่*[1]ของวันนี้
อันหลิงหลงเปลี่ยนมาสวมชุดขั้นผินที่หรูหราที่สุด ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นจิ้งผินแล้ว ส่วนอันหรูอี้เป็นแค่กุ้ยเฟยที่เพิ่งถูกกักบริเวณ อีกทั้งช่วงนี้ซ่งจื่ออานก็มักไปค้างคืนที่ตำหนักของสวีเจิ้ง
อันหรูอี้จะกลับมาได้รับความโปรดปรานเช่นเดิมอีกหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
อันหลิงหลงส่องคันฉ่องทองเหลืองด้วยความพอใจแล้วพยักหน้า “ปิ่นปักผมอันนี้เหมาะที่สุด”
ซิ่วหงก้มหน้าก้มตา มือประคองแขนของนางพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ว่า
“มิใช่ปิ่นปักผมดูดีหรอกเพคะ แต่เป็นเพราะจิ้งผินงดงามต่างหาก ปิ่นปักผมนี่เป็นแค่ส่วนเสริมให้ความงามของจิ้งผินโดดเด่นขึ้นเท่านั้นเพคะ”
อันหลิงหลงยิ้มกว้างขึ้น “กล่าวได้ถูกต้อง! ไปกันเถิด พวกเราควรไปเยี่ยมพี่หญิงอันที่ถูกกักบริเวณมาสิบวันได้แล้ว มิรู้ว่านางจะซูบผอมไปแค่ไหน ได้ยินมาว่านางตัวร้อนมาหลายวันแล้ว ฮึ่ม! อย่าบอกนะว่ากลายเป็นยายแก่หน้าซีดไปแล้ว!”
ซิ่วหงตอบรับ ‘เพคะ’ แล้วไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
ขบวนนางกำนัลมากมายมุ่งหน้าออกไป ระหว่างทางพบกับหญิงสาวสองคนในชุดพระราชวังพร้อมนางกำนัลเดินตามมาด้วย เป็นว่านเหลียงเหรินและหวังเหลียงเหรินที่มักจะมาที่ตำหนักเพื่อเอาใจนางบ่อย ๆ
อันหลิงหลงเผลอตัว เชิดหน้าตรงยืดอก “ว่านเหลียงเหริน หวังเหลียงเหรินพวกเจ้าจะไปที่ใดกันรึ?”
เหลียงเหรินทั้งสองย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม “พวกเราทั้งสองกำลังจะไปคารวะพี่หญิงพอเจ้าค่ะ มิคิดว่าพี่หญิงจะออกไปพอดี มิทราบว่าท่านพี่หญิงจะไปที่ใด พวกเราทั้งสองติดตามไปด้วยได้หรือไม่?”
อันหลิงหลง เอื้อมมือไปจับปิ่นปักผมบนหัว พลางยิ้มเยาะ “เปิ่นกง*[2]กำลังจะไปเยี่ยมพี่หญิงหรูอี้ พวกเจ้าจะตามไปเพื่ออันใดกัน”
อันหลิงหลงยังเป็นแค่สนมขั้นผิน ตามธรรมเนียมไม่สามารถใช้คำว่า ‘เปิ่นกง’ ได้ แต่นางยืนอยู่ในตำหนักที่โอ่อ่า ไม่มีสนมที่ชั้นสูงกว่าเข้ามาในนี้ดังนั้นการที่นางใช้คำว่า ‘เปิ่นกง’ ต่อหน้าเหลียงเหรินทั้งสองและนางกำนัลจึงไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด
อย่างไรก็ตาม นั่นเพราะว่าพวกนางก็แค่ไม่กล่าวออกไปเท่านั้น
หวังเหลียงเหริน มีแววตาเป็นประกาย คนในวังต่างก็รู้ว่าสองพี่น้องตระกูลอันไม่ถูกกัน แต่นางคิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน อันหลิงหลง ได้เลื่อนขั้นครั้งนี้ก็ไม่มีสาเหตุหลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นเพราะอันหรูอี้
แม้จะเป็นแค่เสือกระดาษ แต่เสือตัวนี้ก็คุ้มค่าแก่การเอาใจมิใช่หรือ?
หวังเหลียงเหรินรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันกุ้ยเฟยทำผิดใหญ่หลวงจึงถูกกักบริเวณ พี่หญิงยังอุตส่าห์ไปเยี่ยมนับเป็นคนที่มีน้ำใจยิ่งนัก”
ว่านเหลียงเหรินไม่ยอมแพ้รีบพูดเสริม “ผู้ใดก็ต่างพากันพูดว่า สองพี่น้องตระกูลอันเข้าวัง อันกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานก็ช่างเป็นที่น่าอิจฉายิ่งนัก แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าพี่หญิงทั้งสง่างามและห่วงใยพี่สาวเช่นนี้ นับเป็นคนที่น่าชื่นชมยิ่งนัก”
คำป้อยอนี้ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย อันหลิงหลงฟังแล้วรู้สึกโมโหแต่ลึก ๆ แล้วนางก็ชอบให้ผู้อื่นมาประจบประแจง แม้จะเป็นเพียงแค่การยืมบารมีของอันหรูอี้ก็ตาม
“เอาล่ะ เปิ่นกงจะมิเสียเวลาคุยกับพวกเจ้าแล้ว” อันหลิงหลงมองพวกนางอย่างไม่ใส่ใจ “พี่หญิงคงรอแย่แล้ว”
พูดจบก็เชิดหน้าเดินจากไปอย่างหยิ่งผยอง มีเหล่านางกำนัลยาวเหยียดราวกับจะไปร่วมงานเลี้ยงของของแคว้นก็ไม่ปาน
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่หวังเหลียงเหรินก็แปรเปลี่ยนสีหน้าเอ่ยว่า “เจ้าดูนางสิ ทำเป็นมองผู้อื่นด้วยหางตา? อวดดียิ่งนัก นางเพียงเกาะบารมีพี่สาวที่เป็นกุ้ยเฟยเท่านั้น เหอะ คิดว่าเรื่องอัปยศที่เคยก่อไว้ผู้อื่นมิรู้กระนั้นหรือ?”
ว่านเหลียงเหริน กลับลดเสียงลงว่า “แต่ผู้ใดไปโทษนางได้ ในเมื่อมีพี่สาวเป็นถึงพระสนมเอก เห็นหรือไม่ว่าหลายวันมานี้นางแต่งกายชุดสนมผินเยื้องย่างไปทั่ววัง”
หวังเหลียงเหรินหัวเราะลั่น “ประหนึ่งว่ามิเคยมีผู้ใดเห็นชุดสนมผินมาก่อน เดินไปเดินมาประหนึ่งหุ่นแขวนเสื้อ นางมิรู้สึกละอายบ้างเชียวหรือ?”
ว่านเหลียงเหรินได้ยินเช่นนั้นก็พลอยหัวเราะไปด้วย “ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเปิ่นกงอีกหรือ น่าขันยิ่งนัก! นางคู่ควรกระนั้นหรือ?”
“นั่นสิ…”
อันหลิงหลงมิได้ยินคำนินทาเบื้องหลัง เดินอาด ๆ มุ่งหน้าสู่ตำหนักเหมันต์ เมื่อมองมาจากที่ไกล ๆ ก็เห็นประตูตำหนักที่ไร้เงาองครักษ์เฝ้าประตูตำหนัก มีเพียงขันทีสองคนก้มหน้าอยู่เงียบ ๆ
อันหลิงหลงเย้ยหยันในใจ พลางให้ซิ่วหงประคองกายจัดแต่งอาภรณ์ให้เรียบร้อย ค่อย ๆ ย่างกรายเข้าไป ยังไม่ทันเห็นผู้ใดก็เอ่ยเสียงดังว่า
“กุ้ยเฟยเพคะ มิทราบว่าช่วงที่ถูกกักบริเวณนี้ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดีหรือไม่เพคะ?”
ขันทีทั้งสองสบตากัน แววตาสื่อความหมายบางอย่างถึงกัน
‘ครานี้ คงจะมีเรื่องสนุกให้ดูเป็นแน่…’
[1] ยามอู่ 11.00-12.59
[2]เปิ่งกง เป็นคำสรรพนานใช้เรียกตนเอง ผู้ที่ใช้ได้คือผู้ที่มีตำแหน่งกุ้ยเฟยขึ้นไป