หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 65 จิ้งผิน
บทที่ 65 จิ้งผิน
ทันทีที่ฉินฟางกลับถึงเมืองหลวง เมื่อวานยังคงเดินทางอย่างเร่งรีบ วันนี้ก็ต้องเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง ตกบ่ายก็ต้องเชิญหมอหลวงมารักษาอาการป่วยที่จวน จากนั้นก็ยื่นฎีกากราบทูลว่า เนื่องจากต้องออกรบในสนามรบนาน จึงมีอาการป่วยเรื้อรัง จึงขอพักผ่อนหนึ่งเดือน
ซ่งจื่ออานก็ทรงอนุญาตและยังทรงส่งหมอหลวงโจวฟูไปตรวจอีกครา นี่นับเป็นเรื่องปกติและก็เป็นธรรมเนียมของขุนศึกแคว้นซีจิ้นที่เพิ่งกลับมาจากการออกศึก ดังนั้นจึงไม่มีใครตั้งข้อสงสัย
แต่ไม่กี่วันต่อมาฉินฟางก็นำทหารองครักษ์สองร้อยนายออกจากเมืองหลวงอย่างลับ ๆ โดยนำพระราชโองการและป้ายทองที่ฮ่องเต้พระราชทานไปด้วย
กรมกลาโหมเป็นผู้ดูแลการจัดกำลังพลของแคว้นซีจิ้น กองกำลังองครักษ์ในวังหลวงก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่ซ่งจื่ออานทรงเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ดังนั้นจึงค่อยข้างปลอดภัย กว่า แต่ทว่าทหารที่ลาดตระเวนภายนอกวังหลวงกลับกลับถูกควบคุมโดยกรมกลาโหม
เหล่าขุนนางในกรมกลาโหมก็มีสายตาแหลมคม มองออกว่าฮ่องเต้หนุ่มตั้งใจจะยึดอำนาจคืน จึงคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ยึดอำนาจการลาดตระเวนเมืองหลวงจากกรมกลาโหม แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าฉินฟางจะไม่เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงอีก ส่วนซ่งจื่ออานก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้
เหลิงตู้ก็ไม่ได้สนใจเขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจล้นฟ้าจึงไม่เคยเห็นฮ่องเต้หนุ่มอยู่ในสายตา
ที่สำคัญกว่านั้นคือฉินฟางเพิ่งกลับมาจากดินแดนโม่เป่ย แต่กลับมีการเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารที่ชายแดนหนานหมาน ทั้งสองดินแดนเพิ่งจะสงบศึกกันได้ไม่ถึงสิบปี เหล่าขุนนางต่างก็อดกังวลไม่ได้ แม้แต่เหลิงตู้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมาสนใจสถานการณ์ที่หนานหมาน
ส่วนเรื่องในวังหลวงเพื่อปลอบขวัญเหลิงเยว่ ซ่งจื่ออานทรงออกพระราชโองการสองฉบับ ฉบับหนึ่งคือการย้ายปะการังหยกที่ไทเฮาทรงทิ้งไว้ไปไว้ประดิษฐานไว้ที่ตำหนักคุนหนิง อีกฉบับหนึ่งคือพระราชโองการเลื่อนขั้นให้แก่สนมจิ้ง
เมื่อพระราชโองการถูกส่งมาจากท้องพระโรงไท่เหอ ไปถึงตำหนักชูฮวา สถานที่ที่เคยถูกเยาะเย้ยและถูกสงสัยแห่งนี้ ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นครั้งแรก
“จิ้งเหลียงเหรินรับราชโองการ!”
“จิ้งเหลียงเหรินมีความอ่อนโยน ปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง มีมารยาท กิริยาท่าทางงดงาม บัดนี้จึงขอแต่งตั้งเป็น ‘จิ้งผิน’ จงให้รักษามารยาทและปฎิบัติหน้าที่ของตนให้ดี จงทำตามพระราชโองการนี้โดยเคร่งครัด!”
อันหลิงหลงยืนนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งซิ่วหงเริ่มดึงแขนเสื้อนาง นางจึงได้สติ รีบคุกเข่าลงรับพระราชโองการ “หม่อมฉันรับพระราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับพระมหากรุณาธิคุณเพคะ!”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าอันหลิงหลงถูกกระชากผมลากเข้าไปในตำหนักคุนหนิง ถึงแม้ซ่งจื่ออานจะไม่ได้กล่าวออันใด แต่นางก็กินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน พอเห็นขันทีมาถึงก็คิดว่าเป็นพระราชโองการประหารชีวิต ใครจะไปคิดว่าฝ่าบาทจะทรงเลื่อนขั้นให้นางเป็นพระสนมขั้นผิน!
“นี่มันเรื่องจริงเหรอ?” อันหลิงหลงถือพระราชโองการมองซิ่วหงอย่างตื่นเต้น “ซิ่วหง นี่มันเรื่องจริงเหรอ? ข้าเป็นจิ้งผินแล้วเหรอ?”
ซิ่วหงเปิดพระราชโองการออก “เลื่อนเป็นสนมจิ้งผินเพคะ มันคือเรื่องจริงเพคะ ท่านดูสิ พระราชโองการเขียนไว้ชัดเจนขนาดนี้”
อันหลิงหลงมองตัวอักษรบนพระราชโองการอย่างตื่นเต้นดีใจ สายตาหยุดอยู่ที่คำว่า “ผิน” เป็นเวลานาน ทันใดนั้นนางก็ยืนขึ้นความเขินอายแบบหญิงสาวเผยออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“ข้าเป็นจิ้งผินแล้ว! ดูเหมือนว่าฝ่าบาทยังทรงรำลึกถึงค่ำคืนนั้น… ซิ่วหง ข้า ข้าควรจะไปเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระทัยหรือไม่? ข้าควรจะสวมชุดอย่างไรดี? เจ้าช่วยข้าเลือกหน่อยสิ…”
สีหน้าของซิ่วหงแข็งทื่อเล็กน้อย พูดอย่างกระอักกระอ่วน “สนมจิ้งผินเพคะ เมื่อครู่ท่านกงกงบอกว่า ฝ่าบาทตรัสว่าไม่จำเป็นต้องเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระทัยเพคะ เพียงแค่คุกเข่าคำนับต่อหน้าพระนางฮองเฮาสักสามครั้งก็พอแล้วเพคะ”
อันหลิงหลงกำลังดีใจ จึงไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่นางพูด “ข้าได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมผินแล้ว แน่นอนว่าต้องไปขอบพระทัยฮองเฮา เหตุใดจึงต้องกำชับเป็นพิเศษด้วยล่ะ?”
ซิ่วหงมองนางขนตาสั่นไหวเล็กน้อย อ้าปากจะเอ่ยออกแต่ก็ไม่กล้า
จู่ ๆ อันหลิงหลงก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา พระราชโองการในมือนางพลันหนักอึ้งราวกับภูเขา นางพูดอย่างงุนงงว่า “ฝ่าบาทกำลัง…กำลังใช้ข้าเพื่อเอาใจฮองเฮางั้นหรือ?”
ซิ่วหงเอ่ยตะกุกตะกัก “ฮองเฮาคือผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของวังหลัง ฝ่าบาททรงงานยุ่งมาก การให้ฮองเฮารับคำกล่าวขอบพระทัยแทนก็เป็นเรื่องปกติในอดีตก็เคยมีธรรมเนียม… เช่นนี้เพคะ”
ใบหน้าของอันหลิงหลงแดงก่ำขึ้นมาทันที ซิ่วหงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง กล่าวต่ออีกว่า “อีกอย่าง… ฮองเฮานีคือพระมเหสี ในวังมิได้มีเพียงสนมจิ้งเป็นผู้เดียวเพคะ การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ก็…ก็เป็นเรื่องปกติ”
“อันใดคือเรื่องปกติ?!” อันหลิงหลงพลันโกรธจัด ขว้างพระราชโองการใส่ซิ่วหง “พวกเขาล้วนเห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของ! เจ้าก็เห็นข้าเป็นสิ่งของใช่หรือไม่? อันใดคือเรื่องปกติ? ฝ่าบาท…ฝ่าบาทถึงขั้นไม่ยอมพบข้า…”
อันหลิงหลงทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
ซิ่วหงรีบเก็บพระราชโองการขึ้นมา กระซิบข้างหูอันหลิงหลงด้วยความตกใจว่า “สนมจิ้ง! นี่คือพระราชโองการนะเพคะ! ท่านมิควรทำเช่นนี้!”
อันหลิงหลงไม่ฟังเสียงนาง ซิ่วหงจำใจต้องพูดต่อว่า “ในวังนี้มีสนมมากมาย สมัยอดีตฮ่องเต้ก็มีสนมหลายคนที่ไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาทเลยตลอดชีวิต อย่างน้อยท่านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผิน…ก็ยังดีกว่าถูกส่งไปโรงหล่อเครื่องราชบรรณาการนะเจ้าคะ?”
สมองของอันหลิงหลงพลันว่างเปล่า นางตบหน้าซิ่วหงอย่างแรง!
เพียะ!
ซิ่วหงร้องด้วยความตกใจ “สนม! โปรดใจเย็นก่อนนะเพคะ”
“ตอนนี้แม้แต่เจ้าก็กล้าเอาโรงหล่อมาขู่ข้าแล้วงั้นรึ?” อันหลิงหลงเตะนางอย่างแรง เตะซ้ำแล้วซ้ำเล่าในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “บังอาจ นังคนชั้นต่ำ! นังสารเลว”
ซิ่วหงทนความเจ็บปวดไม่ไหวหลังถูกเตะเข้าที่ศีรษะ จนต้องคลานหนีไปบนพื้น พลางร้องว่า “สนมโปรดละเว้นชีวิตด้วย หม่อมฉันคิดเพื่อท่าน…โอ๊ย เจ็บ…”
อันหลิงหลงไม่สนใจความเจ็บปวดของซิ่วหง ระบายความโกรธใส่ซิ่วหงจนหมดสิ้น
นางกำนัลนอกประตูต่างสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่แปลกที่พระราชโองการต้องเขียนว่า ‘ให้รักษามารยาท’ การกระทำนี้ช่างคล้ายกับฮองเฮาราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน…”
“ชู่! เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ! อย่างน้อยนางก็เป็นถึงผิน ซ้ำยังเป็นคนโปรดของฮองเฮาระวังคอเจ้าไว้ด้วย!”
“น่าสงสารซิ่วหงจริง ๆ เฮ้อ…”
สองพระราชโองการออกมาติด ๆ กัน แต่สถานการณ์ในตำหนักคุนหนิงก็ยังคงเหมือนกับในตำหนักชูฮวา เพียงแต่เหลิงเยว่ยังคงรักษาหน้า รู้ว่าต้องไล่คนออกไปก่อนจึงจะระบายอารมณ์ได้
ปะการังหยกต้นใหญ่มาก เหมือนกับงานแกะสลักจากธรรมชาติ ว่ากันว่านี่คือสมบัติที่ไทเฮาทรงโปรดปรานมากที่สุด แต่ตอนนี้กลับถูกส่งมาที่ตำหนักคุนหนิงอย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ยังคงนึกถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา
มิฉะนั้น ก็คงไม่สั่งกักบริเวณอันหรูอี้
แต่หากพวกเขารู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักคุนหนิง การกักบริเวณเพียงเท่านี้จะทำให้พวกอันหรูอี้หวาดกลัวได้อย่างไร?
หลังจากที่เปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดใหม่ หว่านอิงก็ปล่อยเส้นผมของเหลิงเยว่อย่างช้า ๆ นางเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฮองเฮาพระองค์อย่าทรงพิโรธไปเลยเพคะ อย่างไรเสียอัครมหาเสนาบดีอันยังอยู่ฝ่าบาทจำต้องเกรงใจเขาบ้าง เพลานี้มิอาจจัดการได้ง่ายดายแต่อีกไม่กี่วัน…”
“อีกไม่กี่วันแล้วอย่างไรเล่า?” เหลิงเยว่หัวเราะเยาะตนเอง “เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ มิอาจป่าวประกาศได้ ข้ามิอาจร้องขอความช่วยเหลือจากบิดาและพี่ชาย อีกทั้งยังเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากฝ่าบาท แม้เขาจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อหน้าเช่นนั้น แต่อีกไม่กี่วันมันจะต่างไปงั้นหรือ?”
หว่านอิงเม้มปากก่อนจะเอ่ยออกมา“แต่ในพระทัยฝ่าบาท ยังมีฮองเฮาอยู่นะเพคะ…”
ในใจฝ่าบาทยังมีข้างั้นหรือ?
เหลิงเยว่ครุ่นคิดถึงถ้อยคำของซ่งจื่ออานเมื่อเช้านี้ พลันก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายลมแห่งพายุร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร
“ล้วนเป็นความผิดของอันหรูอี้”เหลิงเยว่พึมพำ “ต้องเป็นนางที่ยุยง…แม้แต่สวีเจิ้งต้องเป็นพวกนางแน่…”
เหลิงเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ชุดปักลายหงส์อันล้ำค่าพลิ้วไหวไปตามก้าวที่เยื้องย่างออกจากตำหนักคุนหนิง เงยนายขึ้นมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย แม้ผิวพรรณภายใต้ชุดหงส์จะผุดผ่องดุจหยกสลัก แต่ทว่าใบหน้างดงามราวกับเทพธิดานั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนดั่งปีศาจร้าย ดวงตาคู่งามกลับแฝงไว้ด้วยแววตาที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
“ตำหนักเหมันต์ เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ได้ยินมาว่าอันหรูอี้ป่วย เป็นไข้สูงเพคะ” หว่านอิง
เหลิงเยว่แสะยิ้มออกมา “อ้อ เช่นนั้นรึ…”