หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 63 แบ่งเบาภาระเจ้า
บทที่ 63 แบ่งเบาภาระเจ้า
ภานในตำหนักคุนหนิงถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
ขณะที่อันหรูอี้เดินออกมาอย่างเชื่องช้า สายตาของข้าราชบริพารทั้งสองข้างก็ก้มลงต่ำราวกับว่าพื้นหินอ่อนสีขาวเบื้องล่างนั้นเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปจนหมดสิ้น
ซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงต่างค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “คารวะกุ้ยเฟย”
ที่หน้าประตูตำหนักยังมีกุ้ยเฟยอีกพระนางยืนอยู่ สวีเจิ้งสวมชุดคุลมแขนยาวที่ซ่งจื่ออานประทานให้ซึ่งนางเองก็รู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก
อันหรูอี้ส่งเสียง ‘อืม’ในลำคอเบา ๆ ดูราวกับอ่อนล้าแต่แฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “โอ๊ะ พวกเจ้าก็มาถวายพระพรฮองเฮาเช่นกันหรือ? เห็นทีข้าคงสนทนากับฮองเฮาเพลินไปหน่อยจนทำให้พวกเจ้าต้องรอนาน”
ถวายพระพรงั้นหรือ?
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้หากจะเรียกว่านี่คือการมาถวายพระพร เกรงว่าเหลิงเยว่คงต้องอยู่ไม่สุขไปชั่วชีวิตเป็นแน่
สวีเจิ้งแย้มยิ้ม “น้องหญิงพูดเล่นแล้ว หากสนทนาอย่างถูกคอ ยิ่งนานก็ยิ่งดี เสียดายที่พวกเราไร้วาสนาได้เข้าร่วมวงสนทนามิเช่นนั้นคงครึกครื้นกว่านี้เป็นแน่ ฮ่า ๆ ”
หลังจากที่ได้ยินซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงต่างก็รู้สึกระอักกระอ่วนใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักย่อมไม่อาจให้เล็ดลอดออกไปภายนอกได้ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี พวกนางไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดเข้าไปได้แม้แต่สวีเจิ้งมาถึงก็ยังต้องถูกขัดขวางเช่นกัน
น่าเสียดายที่ตำแหน่งของพวกนางต่ำต้อยเกินไป จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงสายตาเหยียดหยามจากผู้อื่นได้
อันหรูอี้ระบายลมหายใจออกมาราวกับได้สติกลับคืนมาความหวาดกลัวแล่นเข้ามาในใจ
อย่างไรเสียฮองเฮาก็คือฮองเฮาหากซ่งจื่ออานเห็นแก่เหลิงตู้แล้วลงโทษนางอย่างหนัก ขังไว้ในตำหนักเย็นหรือแม้แต่ประทานผ้าแพรขาวผืนหนึ่ง*[1]ก็ล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น
“ลำบากพวกเจ้าทั้งสองแล้ว” อันหรูอี้ตบบนมือของพวกนางเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เรื่องวันนี้ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้ายิ่งนัก โอกาสหน้าข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน ตอนนี้ตำหนักคุนหนิงเป็นสถานที่ที่มิควรอยู่ พวกเจ้าทั้งสองรีบกลับตำหนักเถิด”
ทั้งสองลอบถอนหายอย่างโล่งอก พวกนางรู้สึกกดดันอย่างมากที่ต้องอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หากจากไปได้โดยเร็วก็เป็นสิ่งที่ต้อวการอย่างยิ่ง พวกนางจึงกล่าวล่ากุ้ยเฟยทั้งสอง แล้วพานางกำนัลข้างกายจากไปโดยหาข้ออ้างต่าง ๆ นานา
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง สวีเจิ้งส่ายหน้าพลางหัวเราะกับอันหรูอี้ “ไปเถิด ข้าจะไปส่งเจ้าที่ตำหนักระหว่างทางกลับคงไม่ราบรื่นนัก”
“อืม” อันหรูอี้ยิ้มบาง “ลำบากพี่หญิงแล้วเพคะ”
“มิลำบากเลย”
อันหรูอี้มาที่นี่ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ บางทีอาจทำไปเพื่อระบายความคับแค้นใจ หรืออาจเป็นเพราะซ่งจื่ออานที่ถูกวางแผนร้านเมื่อวานนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ถือเป็นการกระทำที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ตอนนี้ภายนอกอาจดูสงบแต่ก็เหมือนกับความสงบก่อนพายุจะมาเยือน
เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักคุนหนิงย่อมปิดบังเอาไว้ได้ไม่นาน และเมื่อเรื่องแดงขึ้นมาเมื่อไหร่ เหลิงตู้ย่อมต้องยุยงให้ขุนนางในท้องพระโรงร่วมกันโจมตีอันหรูอี้ หรือแม้แต่อันก่วงเหนิงอย่างแน่นอน
ดังนั้นเวลาของพวกนางจึงเหลือน้อยเต็มที
“เจ้าก็ช่างบุ่มบ่ามยิ่งนัก” สวีเจิ้งเอื้อมมือไปกดมือของนางเบา ๆ “หรูอี้ นี่คือวังหลวง มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะทำตามอำเภอใจได้ ถึงแม้เจ้าจะมีเหตุผลอันสมควรเพียงใด แต่การกระทำอันหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ย่อมทำให้ฝ่าบาทต้องลำบากพระทัย”
“ข้ารู้” อันหรูอี้มองสวีเจิ้ง นางที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งสามารถแยกแยะความจริงใจและเสแสร้งได้และสวีเจิ้งก็เป็นห่วงนางอย่างจริงใจ “พี่หญิงสวี ข้าแค่โกรธ… ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานพวกนางทำอันใดลงไป?”
สวีเจิ้งส่ายหน้า “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ หรูอี้ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เจ้าอาจจะต้องพบกับความเย็นชา”
อันหรูอี้หัวเราะในลำคอ “มิเป็นไรเพคะ… ‘เย็นชา’ ข้าเองก็เผชิญมันมานานหลายปีจนเคยชินแล้ว”
“ถึงแม้เจ้าจะเคยชิน แต่ฝ่าบาทก็จำเป็นต้องแสดงท่าที” สวีเจิ้งหยุดเดินพลางมองไปยังดอกเหม่ยเหรินเจียวที่มุมกำแพง “ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ ย่อมมิอาจตกเป็นที่ครหาว่า ‘ทอดทิ้งพระชายา’ ได้”
“…ข้ารู้”
สวีเจิ้งจึงพยักหน้า “เจ้ารู้ก็ดี ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ฝ่าบาทคงต้องหาวิธีปกปิดเรื่องราวในวังหลังและข้าจะให้บิดาช่วยเหลือเจ้าในท้องพระโรง แต่เจ้าก็ต้องเตรียมใจไว้”
อันหรูอี้หันกลับมามองสวีเจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงต้องช่วยข้า? ท่านก็ชอบเขามิใช่หรือ?”
‘เขา’ ที่เอ่ยถึงก็คือซ่งจื่ออาน
สวีเจิ้งมีใจให้กับซ่งจื่ออาน นางมองออก เพราะแววตาที่นางมองซ่งจื่ออานนั้นช่างแตกต่างจากซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงโดยสิ้นเชิง
“ข้าชอบ” สวีเจิ้งยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน งดงามจนสะกดสายตา
“แต่ข้ามิเคยคิดเลยว่าจะครอบครองหัวใจของฮ่องเต้ไว้ได้เพียงผู้เดียวข้าเป็นสตรี แต่มิใช่สตรีที่ขาดบุรุษแล้วจะอยูมิได้”
แววตาของอันหรูอี้สั่นไหวเล็กน้อย ฟังนางกล่าวต่อ “ทุกวันข้าต้องฝึกฝนวรยุทธ ต้องต่อสู้กับฮองเฮาต้องช่วยดูแลวังหลัง แล้วยังต้องกิน ดื่ม นอน เล่น! มีเรื่องต้องทำมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามาคร่ำครวญถึงบุรุษเพียงผู้เดียว”
อันหรูอี้ถึงกับอ้าปากค้างเล็กน้อย แม้แต่นางกำนัลที่เดินตามหลังต่างก็มองนางด้วยความประหลาดใจ นางผู้นี้ช่างเหมือนกับอาภรณ์ที่สวมใส่ งดงามล้ำค่า แต่แฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมงามสง่าเกินกว่าจะเปรียบกับความอ่อนหวาน ไม่อ้อมค้อม เป็นสตรีที่เด็ดขาดในเรื่องรักและความชังอย่างชัดเจน
“แต่ถ้าจะให้พูด ข้อดีของเจ้าแย่มาก” สวีเจิ้งหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้ากับนางช่างคล้ายกันเหลือเกิน ทุ่มเทให้กับฝ่าบาทมากจนเกินไป”
ดูเหมือนนางจะแสดงให้เห็นว่าตนเองมิได้ต้องการแย่งชิงความโปรดปราน
อันหรูอี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม
สวีเจิ้งตกใจรีบเข้าไปประคองนาง “เจ้าทำอันใด?”
อันหรูอี้จับมือทั้งสองของนางไว้แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ที่นี่คือวังหลวง แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ได้คิดจะครอบครองเขาแต่เพียงผู้ใด ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เห็นผู้อื่นใช้วิธีสกปรกมาทำร้ายเขา… สิ่งที่ข้าต้องการ แท้จริงแล้วก็แค่ความสงบสุขและความจริงใจ”
อันหรูหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างขบขัน “แต่ดูเหมือนว่านิสัยแย่ ๆ ที่สั่งสมมานานกว่าสิบปีคงจะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืนมิได้
ตอนนี้ได้ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้วก็มิอาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ว่าจะเป็นเช่นไร”
สวีเจิ้งมองไปยังตำหนักเหมันต์เบื้องหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำลง “วังหลวงแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่นัก มีเรื่องชั่วช้าเกิดขึ้นมากมาย แต่แท้จริงแล้วมีสักกี่คนที่อยากจะแก่งแย่งกันจริง ๆ เล่า? อันหรูอี้ ข้าชื่นชมเจ้า ดังนั้นจงวางใจเถิด เรื่องของฮองเฮา… ข้าจะช่วยแบ่งเบาภาระเอง”
แบ่งเบาภาระ?
อันหรูอี้มองนางด้วยแววตาสงสัย แต่ทว่าสวีเจิ้งกลับมิได้เอ่ยวาจาอันใดต่อ “เจ้ารีบเข้าไปเถิด ฝ่าบาทคงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักเหมันต์ ส่วนเจ้าเพียงพักรักษาร่างกายให้ดีก็พอ”
สวีเจิ้งกวาดสายตามองนางกำนัลสองคนที่อยู่ด้านหลังอันหรูอี้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “คนข้างกายเจ้า ก็จงระวังตัวด้วย”
อันหรูอี้พยักหน้ารับ นางย่อมรู้ดี วันนี้เถาหงกับหลิวลวี่ก็ใจร้อนตามนาง พวกนางเองก็ได้ไปล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน ดังนั้นช่วงนี้ก็ควรออกไปข้างนอกให้น้อยที่สุด
สวีเจิ้งกำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หมุนตัวจากไปพร้อมนางกำนัลหลายคน
เมื่อเข้ามาในตำหนักเหมันต์แล้ว เถาหงก็รู้สึกโล่งใจหลิวลวี่ประคองอันหรูอี้กลับไปที่เตียงพลางเอ่ยว่า “วันนี้ทำเรื่องใหญ่โตเสียแล้ว กุ้ยเฟยเพคะต่อไปนี้พวกเราจะทำเช่นไรดีเพคะ หากฮองเฮามาหาเรื่องพวกเราเล่าเพคะ?”
“ก็ปล่อยให้นางมาเถิด” เถาหงตอบอย่างรวดเร็ว “ที่นี่คือตำหนักเหมันต์ พระทัยของฝ่าบาทอยู่ที่กุ้ยเฟยของพวกเรา นางมิอาจทำอันใดได้”
หลิวลวี่ยังคงกังวลใจ เถาหงมองหลิวลวี่แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปดูหน่อยว่าท่านป้าชิวจื้อตื่นหรือยัง คนในตำหนักนี้แม้จะเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีคนปากมาก ท่านป้าชิวจื้อมีบารมีมากกว่าพวกเรา คำพูดของท่านย่อมมีน้ำหนักกว่า”
ชิวจื้อเป็นนางกำนัลที่เคยรับใช้อดีตฮองเฮาพระองค์ก่อน ย่อมเป็นที่เคารพนับถือ ในตำหนักเหมันต์นี้จึงไม่ค่อยเคร่งครัดกับธรรมเนียมปฎิบัติมากนัก วันนี้เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าป้าชิวจื้อจะยังไม่ทราบเรื่อง…