หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 62 ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีจิ้น
บทที่ 62 ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีจิ้น
กลิ่นกำยานยังคงอบอวลแต่แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นยะเยือก
ยามนี้ใจของอันหลิงหลงราวกับถูกมรสุมถาโถม การกระทำอันโหดเหี้ยมและไร้ปราณีของอันหรูอี้ ทำให้ร่างกายแทบจะหมดแรง
นางเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ก็เลื่อนขั้นเป็นถึงกุ้ยเฟย แล้วยังมาเหยียดหยามทำร้ายแม้แต่ผู้ที่เป็นฮองเฮา เช่นนี้แล้ว… จะมีสิ่งใดที่นางมิกล้าทำอีกเล่า?
ถ้าหากตนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ชีวิตในวังหลังจากนี้นางจะมีสิ่งใดให้หวังอีก และจากนี้ไป… นางจะกลายเป็นตัวตลกของทั้งวังหลัง ไม่สิ ทั้งแคว้นซีจิ้นหรือไม่?
เหลิงเยว่เบิกตากว้างจ้องมองอันหรูอี้ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ย ยามนี้หูของนางได้ยินแต่เสียงคำรามคำโตดังกึกก้อง ดังราวกับเสียงตอนที่นางถูกตบหน้าอย่างรุนแรง
ในเวลานั้น ซ่งจื่ออานก็เอ่ยขึ้น
“… อุกอาจนัก”
เขากอดอกมองอันหรูอี้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้าวไปพยุงเหลิงเยว่ขึ้น
เหลิงเยว่เงยหน้าขึ้น ร่างกายของนางยังคงอ่อนแรง แม้จะอยู่ในอ้อมแขนของซ่งจื่ออาน นางยังต้องอาศัยแรงของซ่งจื่ออานเพื่อประคองให้ตนเองยืนหยัดได้ ดวงตาของนางฉายแววคาดหวังอีกครั้ง ความอับอายและความคับแค้นใจที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตา
“ฝ่าบาท…” เหลิงเยว่โผเข้ากอดซ่งจื่ออานทันที “ฝ่าบาท! ต้องให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ…”
ซ่งจื่ออานเม้มริมฝรปากเป็นแน่น มือหนาตบไหล่ของเหลิงเยว่ย่างอ่อนโยน “อันกุ้ยเฟย เจ้าทำเกินไปแล้ว”
เกินไปหรือ?
ทุกคนมองอันหรูอี้ด้วยความตกตะลึง กุ้ยเฟยทำร้ายร่างกายและเหยียดหยามฮองเฮา เพียงแค่ ‘เกินไป’ งั้นหรือ?
ซ่งจื่ออานดูเหมือนจะรู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หรูอี้ ไปขอโทษฮองเฮาเดี๋ยวนี้”
อันหรูอี้ปรายตามองซ่งจื่ออานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ นางไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคืองอีกต่อไป แต่กลับเก็บซ่อนความโกรธไว้ภายใน ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮองเฮา หม่อมฉันเพียงมาถวายพระพร แต่กลับเดินไม่ระวังชนพระองค์เข้า หม่อมฉันต้องขออภัยด้วยเพคะ”
ชนหรือ?
เหลิงเยว่โกรธขึ้นมาอีกครั้ง “อันหรูอี้! เจ้าจงใจทำให้อับอายขายหน้า อุกอาจนัก! บังอาจพาคนมาบุกรุกวังหลัง หมิ่นเกียรติฮองเฮาเช่นข้า แล้วยัง… ยังคิดจะฆ่าข้า! เจ้าสมควรตาย!”
“ฮึ ฮองเฮาตรัสเรื่องใดอยู่หรือเพคะ?” อันหรูอี้มองไปที่เถาหงและหลิวลวี่ “ข้าแค่เดินเร็วไปหน่อย เลยเผลอชนพระองค์ไปบ้าง ส่วนเรื่อง ‘ฆ่า’ ยามนี้ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ดีมิใช่หรือเพคะ?”
พูดจบ สีหน้าของอันหรูอี้ก็เปลี่ยนไป มุมปากยกขึ้นดวงตาเย็นชา “บางครั้ง… ชีวิตและความตายของคนเราก็ขึ้นอยู่กับกรรม หากทำชั่วไว้มาก กรรมก็ย่อมตามสนอง พระองค์ว่าจริงหรือไม่เพคะ?”
เหลิงเยว่คอยช่วยเหลิงตู้ฆ่าขุนนางผู้จงรักภักดีไปมากเท่าใดแล้ว? มีผู้บริสุทธิ์กี่คนที่ถูกตระกูลเหลิงใส่ร้ายป้ายสีจำต้องจากโลกนี้ไปอย่างคับแค้นใจ?
สามปีก่อน ‘หลิวฝางหมิง’ อดีตขุนนางผู้ตรวจการกรมราชเลขานุการ ได้กราบทูลถวายฎีกา เพื่อไต่สวนความผิดของเหลิงตู้ในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบและแทรกแซงการบริหารแผ่นดิน เหลิงตู้จึงร่วมมือกับขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตน เขียนจดหมายโต้แย้ง สร้างหลักฐานเท็จกล่าวหาว่าเขาคิดกบฏ ถึงขั้นประหารชีวิตก่อนแล้วค่อยกราบทูลรายงาน ทำให้ตระกูลของเขาทั้ง 36 คนต้องตายอย่างอนาถกลางถนน!
สองปีก่อน อดีตเสนาบดีกระทรวงข้าราชการโจวหมิง ตรวจพบว่าเหลิงซิงตั้ง ‘สำนักขายตำแหน่ง’ ในจวนของตน ทำการขายตำแหน่งและรับสินบนอย่างโจ่งแจ้ง
หลักฐานทั้งหมดถูกส่งไปยังตำหนักไท่เหอ แต่สุดท้ายกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีคนเห็นคนของตำหนักคุนหนิงเข้าไปในตำหนักไท่เหออย่างลับ ๆ นี่มิใช่ฝีมือของเหลิงเยว่หรอกหรือ!
น่าเสียดายที่สุดท้ายโจวหมิงก็ต้องตายใต้คมดาบของ เหลิงตู้ เหลิงเยว่ ยังแสร้งทำเป็นตกใจและร้องขอความเป็นธรรมให้เหลิงซิง อ้างว่าถูกใส่ร้าย ส่วนเหลิงตู้ฉวยโอกาสร่วมมือกับคนอื่นยื่นฎีกาปลดตำแหน่งรองเสนาบดีกรมขุนนางหลายคนพร้อมกัน!
เมื่อปีที่แล้ว แม้จะได้รับชัยชนะในศึกโม่เป่ยแต่เหลิงตู้กลับกล่าวหาฉินฟางว่ารายงานสถานการณ์สงครามเท็จและยึดเสบียงทหารไว้ ทำให้ฉินฟางต้องติดอยู่ที่ด่านหงฮวาถึงสามเดือน หากไม่ใช่เพราะซ่งจื่ออาน นำเงินส่วนตัวที่เก็บออมไว้มาช่วยฉินฟาง คงไม่มีทางกลับเมืองหลวงได้!
ฮ่องเต้ผู้สูงส่ง เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพและเหล่าทหารถึงกับต้องแอบใช้เงินส่วนตัว! ทั้งหมดนี้ก็เพราะมีเหลิงเยว่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวเขาอยู่ในวัง!
การสมคบคิดกันระหว่างขุนนางในวังหลวงและขุนนางนอกวัง การใช้อำนาจโดยมิชอบของขุนนาง ซ่งจื่ออานซึ่งยังวัยเยาว์ต้องเก็บกดความโกรธเอาไว้มากเพียงใด เบื้องหลังความโกรธแต่ละครั้ง เกือบทั้งหมดล้วนมีเหลิงเยว่เป็นผู้เกี่ยวข้อง!
ส่วนเหลิงตู้ก็ร่วมมือกันขุนนางในวัง ไม่เพียงทำให้ซ่งจื่ออานไม่มีกองทัพขึ้นตรงกับตน แม้แต่อำนาจก็ยังไร้ประโยชน์ ถึงขั้นต้องประนีประนอมกับเหลิงตู้ในท้องพระโรงตำหนักไท่เหอ!
เหลิงตู้ได้ดิบได้ดีก็เพราะ ‘ผลงาน’ ปลอม ๆ ที่อดีตฮ่องเต้ทรงกุขึ้นเพื่อปูทางให้ตนเองตอนสืบทอดราชบัลลังก์ เพื่อให้ราษฏร์ทั้งแผ่นดินยอมรับ แต่ทว่าอดีตฮ่องเต้ทรงสวรรคตอย่างกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงปัญหามากมายไว้ซ่งจื่ออานคอยสะสาง ส่วนซ่งจื่ออานเองก็ไม่มีกำลังพอจะหยุดยั้งการใช้อำนาจในทางมิชอบของเหลิงตู้ได้ แม้แต่การจัดตั้งหน่วยองค์รักษ์เงาก็ยังไร้แบบแผน!
หากไม่ใช่เพราะพี่น้องร่วมสาบานของอดีตฮ่องเต้คอยช่วยเหลือ วันนี้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คงเปลี่ยนไปแล้ว!
ช่างน่าแค้นใจยิ่งนัก!
และบัดนี้ฉินฟางกลับมาแล้ว ทหารห้าพันนายของเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมือง เพียงเท่านี้ซ่งจื่ออานก็มีกำลังใจแล้วและตัวเขาเองก็แผนไว้นานแล้ว บัดนี้เหลือเพียงรอเวลาเก็บเกี่ยวแผนทีละขั้นเท่านั้น!
กลับมาที่ตำหนักคุนหนิง เหลิงเยว่มองอันหรูอี้ด้วยความแค้นเคือง อยากจะถลกหนังถอนกระดูกของนางออกมาบดจนเป็นขี้เถ้า!
แต่ตอนนี้ซ่งจื่ออานอยู่ที่นี่ นางจึงนึกถึงท่าทีของฮองเฮาที่ควรจะเป็นอาการบาดเจ็บที่เท้าและร่างกายที่อ่อนแรงก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก
“อันหรูอี้ เจ้า…เจ้าช่างบังอาจ มิกลัวว่าคอของเจ้าจะขาดสะบั้นเพราะความโอหังของเจ้าหรือ!?”
“พอได้แล้ว!”
เหลิงเยว่ชะงัก หันไปมองซ่งจื่ออาน สิ่งที่เห็นคือใบหน้ายิ้มแย้มที่ทำให้ใจสั่นไหว ซ่งจื่ออานทอดสายตามองนางอย่างอ่อนโยนด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความสงสาร เขายื่นมือใหญ่มาสวมกอดนางเบา ๆ
“ฮองเฮา” ซ่งจื่ออานถอนหายใจ “เจ้าเป็นถึงฮองเฮา ควรจะมีท่าทีสง่างาม เป็นตแบบอย่างที่ดีให้แก่ใต้หล้า…วันนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้วพักผ่อนให้ดีเถิด อย่าให้ข้าต้องเป็นกังวลเลย”
เหลิงเยว่เอ่ยอย่างงุนงง “ฝ่าบาท…”
ซ่งจื่ออานมองนางอ่อนโยนก่อนจะหันไปมอง อันหรูอี้อย่างเย็นชา “อันหรูอี้ วันนี้เจ้าประพฤติตัวไม่เหมาะสมยิ่งนัก กลับไปสำนึกผิดที่ตำหนักเหมันต์เสีย”
กล่าวจบเขาก็หันไปทางเถาหง “เถาหง พากุ้ยเฟยของเจ้ากลับตำหนักซะ! ห้ามผู้ใดออกจากตำหนักตามใจชอบ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษประหาร!”
เถาหงซึ่งอยู่ในอาการตึงเครียดพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
เพียงกักบริเวณนับว่าเป็นการลงโทษที่เบามากแล้ว และการที่ไม่ให้ผู้ใดเข้าออกตามใจชอบ ย่อมเป็นการตัดโอกาสในการแก้แค้นแสดงว่าฝ่าบาทยังคงเข้าข้างนายหญิงของตนอยู่
ทันใดนั้นเถาหงก็ปล่อยมือจากหว่านอิง มองหน้าหลิวลวี่แล้วเดินไปหาอันหรูอี้
“กุ้ยเฟย พวกเรากลับตำหนักกันเถิดเพคะ”
อันหรูอี้พยักหน้า จากนั้นก็มองอันหลิงหลง ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะหันหลังกลับ
สิ่งที่นางฟังเข้าใจ เหลิงเยว่ฟังไม่เข้าได้อย่างไร หัวใจของเหลิงเยว่พลันเย็นเยียบ
ทว่ายังไม่ทันที่เหลิงเยว่จะโวยวาย ซ่งจื่ออานก็เข้ามาประคองนาง หันไปมองหว่านอิง “หว่านอิง ฮองเฮารู้สึกไม่ค่อยสบายเจ้าจงดูแลปรนนิบัติอย่างดี พาพระนางไปพักผ่อนเถิด”
ใบหน้าของหว่านอิงยังคงซีดเผือด แววตาแปรเปลี่ยนเป็นสับสนแต่สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเพียงประคองเหลิงเยว่ช้า ๆ
แต่ทว่าเหลิงเยว่กลับสะบัดมือของหว่านอิงออก จ้องมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาช่างดูใกล้แค่เอื้อม ทว่าในเวลานี้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองกลับไกลออกไปราวฟ้ากับเหว
“ฝ่าบาท!” เหลิงเยว่ร้องออกมาอย่างน่าสงสาร “หม่อมฉันคือฮองเฮา เป็น
พระชายาของฝ่าบาทนะเพคะ!”
ซ่งจื่ออานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือเหลิงเยว่ราวกับกำลังปลอบโยนนาง พลางใช้มืออีกข้างจัดแต่งผมที่ยุ่งเหยิงของนางอย่างอ่อนโยนแล้วพยุงร่างนางไปยังเตียง
ในยามนี่ท่าทางของซ่งจื่ออานช่างอ่อนโยน ความอ่อนโยนของเขามักจะทำให้เหลิงเยว่เคลิ้มไปได้กับเขาได้เสมอ
สามปีก่อนเป็นเช่นไร… ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เหลิงเยว่อดไม่ได้ที่จะจ้องมองดวงตาที่แสนอ่อนโยนคู่นั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกพึ่งพา ความโกรธค่อย ๆ จางหายไป จากนั้นนางก็ได้ยินซ่งจื่ออานระซิบเพียงเบา ๆ “แต่..ข้าคือฮ่องเต้แห่งแคว้นซีจิ้น”
เหลิงเยว่แข็งทื่อ เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ในวินาทีนี้เอง นางถึงได้ตระหนักว่า ดวงตาที่เคยคิดว่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงสารคู่นั้น กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง.