หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 61 ข้าจะฆ่าเจ้า
บทที่ 61 ข้าจะฆ่าเจ้า
ได้ยินมาว่า อันหรูอี้ บุตรีคนโตของอัครเสนาบดี ช่วงสิบเจ็ดปีแรกนั้นเป็นคนหัวอ่อนและบุ่มบ่าม หยิ่งยโสโอหัง นับตั้งแต่เข้าวังมา บางทีคนเคยเห็นนางจริง ๆ อาจมีเพียงคนสองคน แต่คนเคยได้ยินเรื่องของนางก็มีน้อยยิ่งนัก
เรื่องแย่งที่ประทับของฮ่องเต้ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะนับเป็นเรื่องใดกัน?
การที่นางกล้าเหยียดหยามฮองเฮาต่อหน้าพระพักตร์ว่า ‘สตรีชั้นต่ำ’ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าดิน นี่เป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
ซ่งจื่ออันชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่ เข้าไปก็ต้องกลายเป็น ‘พยานผู้เห็นเหตุการณ์’ แต่หากไม่เข้าไป อันหรูอี้ก็อาจจะพลิกตำหนักคุนหนิงจนพังพินาศ
ในขณะที่ซ่งจื่ออานลังเลอยู่หน้าตำหนักคุนหนิงอยู่นั่น กลับไม่รู้ว่าพวกขันทีที่เฝ้าประตูตำหนักคุนหนิงเห็นเข้า กลับมองว่าเขาเป็น ‘พวกเดียวกัน’ พวกเขาต่างพากันตื่นตระหนกตกใจ
ฮองเฮาถูกกุ้ยเฟยเหยียดหยาม ฮ่องเต้เสด็จผ่านมาแต่ไม่ยอมเข้าไป ไม่แม้แต่จะฟังนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“ยังจะยืนมองอันใดอีก!” ทันใดนั้นเจิ้งจื่อหรงก็เดินเข้ามา ตะคอกเสียงต่ำ “พวกเจ้ามิมีอันใดทำแล้วรึ! ออกไปให้หมด!”
ซ่งจื่ออานสะดุ้งเล็กน้อย จึงรู้สึกตัวรีบมองเจิ้งจื่อหรงแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำเช่นกัน “พวกเจ้าออกไปให้หมด เรื่องวันนี้ ผู้ใดกล้าแพร่งพรายออกไปแม้ครึ่งคำ ข้าจะประหารเก้าชั่วโคตร!”
การประหารเก้าชั่วโคตรย่อมเป็นเพียงคำขู่ แต่เขาเป็นถึงฮ่องเต้พูดคำไหนคำนั้น พวกขันทีจึงมิกล้าที่จะไม่เชื่อ ต่างพากันตัวสั่นเทิ้มสิ่งของในมือร่วงลงพื้นรีบแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ถอยออกไปนอกตำหนักซ้ำยังกีดกันมิให้ผู้อื่นเข้าใกล้ตำหนัก
เพียงไม่นานนักในตำหนักคุนหนิงก็เหลือเพียงไม่กี่คน แม้แต่ขันทีที่อันหรูอี้พามาก็ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว ซ่งจื่ออานก้าวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ซ่างกวนหมิงหมิงกำลังจะก้าวตามไป แต่ทว่าเจิ้งจื่อหรงกลับคว้ามือนางไว้แล้วดึงกลับมาให้ยืนอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก
อันหรูอี้ตะคอกเสียงดังลั่น ไม่ต้องเอ่ยถึงเหลิงเยว่หรืออันหลิงหลง แม้แต่สองสาวใช้คนสนิทที่อยู่ข้างกายนางก็ยังตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือดขาทั้งสองข้างอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของหว่านอิงดูย่ำแย่ นางตกใจจนลืมประคองเหลิงเยว่กลับชี้นิ้วด่าอันหรูอี้เสียงดังลั่นว่า “บังอาจ! อันหรูอี้เจ้ากล้าดียังอย่างไร ถึงมาลบหลู่ฮองเฮา! พวกเจ้าทำอันใดกันอยู่!”
อันหรูอี้เหลือบมองเถาหงแวบหนึ่ง เถาหงกัดฟันก้าวเท้าเข้าไปหาหว่านอิงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับหลิวลวี่นางก็ควบคุมหว่านอิงไว้พร้อมกับตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “อยู่นิ่ง ๆ ซะ!”
เหลิงเยว่ที่เพิ่งรู้สึกตัวจึงรีบผลักอันหลิงหลงทีนั่งทับตัวนางไว้ออกไป ใบหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธ นางลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล “บังอาจ! อันหรูอี้ เจ้ามันก็แค่กุ้ยเฟยชั้นต่ำ… แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังมิเคยทำกิริยาวาจาอุกอาจเช่นนี้กับข้า แล้วเจ้า…อ้า!”
เหลิงเยว่โกรธจนตาแดงก่ำ นางทั้งต่อว่าอันหรูอี้พร้อมกับง้างมือขึ้นอย่างเร็ว หวังจะตบสั่งสอนอันหรูอี้!
แต่ทว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาอันหรูอี้ทำเรื่องโง่เขลามานักต่อนัก ถูกคนในจวนอัครเสนาบดีตบหน้าเป็นประจำ ความเร็วของเหลิงเย่จึงเทียบไม่ได้กับอันก่วงเหนิงแม้แต่น้อย
อันหรูอี้เพียงแค่เอี้ยวตัวหลบก็สามารถหลบหลีกฝ่ามือของเหลิงเยว่ได้ เหลิงเยว่ตกใจทันที นางยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้ยินเสียง ‘เพียะ!’ ดังขึ้นข้างหู ตามมาด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผา
“โอ๊ย!”
เหลิงเยว่คลั่งขึ้นมาในทันที เริ่มใช้ทั้งมือและเท้าเตะต่อยอันหรูอี้ อันหรูอี้หัวเราะเยาะ นางยกเท้าเตะที่ข้อเท้าของเหลิงเยว่โดยตรง แล้วผลักนางล้มลงกับพื้น
เหตุการณ์วุ่นวายทำให้ทุกคนตกตะลึง อันหลิงหลงยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้น มองอันหรูอี้ด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา นางรู้สึกว่าอันหรูอี้ที่อยู่ตรงหน้าช่างคล้ายกับปีศาจสาวที่แผ่รังสีที่น่าสะพรึงกลัวจนเย็นเยียบไปถึงก้นบึงหัวใจ
จากนั้นอันหรูอี้ก็หันมามองนาง
‘แม้แต่ฮองเฮายังกล้าทำร้าย หากเป็นเช่นนั้นแค่สนมนางหนึ่งจะมิกล้าลงมือได้อย่างไร?’คำพูดของซ่งจื่ออานดังก้องในหัวของอันหลิงหลง
‘โรงหล่อเครื่องราชบรรณาการจะเป็นที่อยู่ของเจ้าในชาตินี้!’
‘โรงหล่อเครื่องราชบรรณาการจะเป็นที่อยู่ของเจ้าในชาตินี้…’
‘โรงหล่อ…’
“ไม่!”
อันหลิงหลงร้องด้วยความตกใจ ไม่สนใจกิริยามารยาทใด ๆ อีกต่อไป คลานหนีไปบนพื้น กระถางธูปรูปสัตว์วางอยู่ตรงกลางนางไม่ทันเห็น จึงหันหลังกลับมาก็ชนเข้าพอดี
อันหรูอี้มองด้วยสายตาดูแคลนมากขึ้น ด้วยความกล้าเพียงเช่นนี้แต่กลับกล้าวางยาบุรุษฉวยโอกาสทำเรื่องต่ำช้าได้อย่างไม่ลังเล
อันหรูอี้ไม่อยากมองนางอีกต่อไป นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกจัดวาง ผู้ที่วางหมากต่างหากคือตัวการนึกถึงท่าทางอับจนของซ่งจื่ออาน ความโกรธในใจของอันหรูอี้ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน
เหลิงเยว่ที่อยู่บนพื้นต่างร้องครวญด้วยความเจ็บปวด หว่านอิงตกใจจนหน้าแดงก่ำ นางเอ่ยวนไปวนมาราวกับเสียสติ “ฮองเฮา! พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง? ฮองเฮา… อันหรูอี้! เจ้าจะต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง! กล้าลงมือกับฮองเฮา เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?!”
เหลิงเยว่เป็นคุณหนูใหญ่ที่อ่อนหวาน แม้ว่านางจะเก่งกาจในการใช้อำนาจในตระกูลเหลิงและมีนิสัยดุร้าย ขี้อิจฉา แต่นางจะถูกเคยปฎิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ในใจนั้นแทบจะแตกสลายด้วยความโกรธแค้น แม้แต่ร่างกายก็ยังไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นอีก
อันหรูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แล้วย่อตัวลงตรงหน้านาง เหลิงเยว่ตกใจ เสียงร้องไห้ของนางหยุดลงทันที ใบหน้าที่งดงามภายใต้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงของนางต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเคียดแค้น นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน
ในขณะนั้น ร่างเงียบขรึมของซ่งจื่ออานก็ยืนอยู่ด้านหลังอันหรูอี้ เหลิงเยว่ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี แต่แล้วความยินดีนั้นก็นิ่งค้างราวกับถูกแช่ด้วยชน้ำแข็ง
เพราะซ่งจื่ออานเพียงแค่ยืนอยู่ ไม่ได้ก้าวเข้ามาขัดขวาง ไม่ได้เอ่ยปากตำหนิ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองภรรยาที่อยู่กินกันมาสามปีนอนอยู่บนพื้น…
เพียงแค่มองอันหรูอี้ ไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย!
แต่อันหรูอี้ไม่ได้สังเกตเห็น นางเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงตรงหน้าเหลิงเยว่ค่อย ๆ จับคางของเล่งเย่“ข้าเคารพเจ้าในฐานะฮองเฮา แต่เจ้าอย่าทำเกินไป… จื่ออานคือฮ่องเต้ เจ้ากล้าใช้เล่ห์เหลี่ยมต่ำช้า วางแผนทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เหลิงเยว่ที่กำลังเหม่อลอยละสายตาจากซ่งจื่ออาน แล้วเงยหน้ามองที่อันหรูอี้ จ้องมองใบหน้าที่แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธแต่กลับไม่ได้ลดทอนความงามนางลงแม้แต่น้อย
นางงดงาม งามอย่างสง่าผ่าเผยในยามที่นางเย็นชา งามอย่างเฉิดฉายในยามที่นางเกรี้ยวโกรธ และงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ในยามที่นางแย้มยิ้ม…
แต่ทว่าข้าชิงชังนางยิ่งนัก! อันหรูอี้!
“เจ้า… เจ้าบังอาจตบหน้าข้าเช่นนี้หรือ…” เหลิงเยว่กำมือแน่น ดวงตาแข็งกร้าวแฝงด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ดวงตาคู่งาม ท่ามกลางความหวาดหวั่นกลับฉายแววข่มขู่ “ข้าคือฮองเฮา! เจ้าเป็นเพียงกุ้ยเฟยเท่านั้น! เจ้าบังอาจมาตบหน้าข้ารึ!”
“หึ” อันหรูอี้บีบคางนางแน่น “ข้า… อันหรูอี้ เติบโตมาในจวนอัครมหาเสนาบดีย่อมมีบ้างที่จะใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ อันหลิงหลงคงเคยบอกเจ้าแล้วกระมัง เหตุใดตอนนี้เจ้าเพิ่งรู้?”
“เจ้าคิดก่อกบฎรึ!” เหลิงเย่สะบัดมือนางออก
อันหรูอี้กลับคว้าชายแขนเสื้อนางไว้ ดวงตาเย็นเยียบจ้องมองจนผู้ที่ถูกจับจ้องเกิดความหวาดหวั่นในใจ “ก่อกบฎ? มีเพียงการไม่เคารพฝ่าบาทเท่านั้นจึงจะนับว่ากบฎ พวกเจ้าตระกูลเหลิงเป็นผู้ใด? ถึงกับกล้าใช้คำว่า ‘กบฎ’ เป็นตระกูลเหลิงคิดก่อกบฎ หรือข้าอันหรูอี้ที่ต้องการก่อกบฎกันแน่?”
“เจ้าพูดเหลวไหล! อันหรูอี้! เจ้า…”
“เจ้าคิดว่ามีเหลิงตู้คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังแล้วเจ้าจะทำอันใดก็ได้งั้นรึ?!” อันหรูอี้ขัดขึ้นกะทันหัน “เจ้าคิดว่ามีพี่ชายเป็นขุนนางตำแหน่งโหรสองคนแล้วจะควบคุมอำนาจของฮ่องเต้ได้ตามใจชอบงั้นรึ? เหลิงเยว่! แผ่นดินซีจิ้นนี้เป็นของราชวงศ์ซ่ง! มิใช่ของตระกูลเหลิง!”
เหลิงเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
อันหรูอี้กลับยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ เมื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่ซ่งจื่ออานต้องทรงเผชิญที่หอจือสื่อ นึกถึงเด็กหนุ่มผู้เก็บงำความแค้นไว้ในใจ นึกถึงแววตาหวาดหวั่นและคำขอร้องอย่างอ่อนแรงของเขาเมื่อเงยหน้ามองตน…
อันหรูอี้บีบคอคางนาง ดึงเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น “เหลิงเยว่ เจ้าจงจำไว้ ข้ายั้งมือไว้เพียงเพราะเจ้าเป็นฮองเฮา ที่ผ่านมาเจ้าช่วยเขาดูแลวังหลัง แม้จะมีใช้อำนาจในทางมิชอบบ้าง แต่ก็ถือว่ามีคุณงามความดีอยู่บ้าง แต่หากมีครั้งที่สอง…”
“ข้าจะฆ่าเจ้า”