หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 60 สตรีชั้นต่ำ!
บทที่ 60 สตรีชั้นต่ำ!
บทที่ 60 สตรีชั้นต่ำ!
เซี่ยเหิงเมื่อวานถูกเหล่าองครักษ์รั้งตัวไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าวิทยายุทธของเขาแกร่งขึ้นมากจึงอยากให้เขาช่วยสอน
เซี่ยเหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาคาดว่าซ่งจื่ออานคงจะไปค้างคืนที่ตำหนักเหมันต์อีกตามเคย หากเขาไปตอนนี้คงจะกลายเป็นก้างขวางคอซะมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ หลังจากประลองฝีมือกันแล้ว เขาก็ตรงไปหาใต้หลังคาตำหนักเพื่อนอนหลับจนรุ่งเช้า จึงค่อยเดินทางไปยังตำหนักเหมันต์เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้
เขาไม่คิดเลยว่าจะตนได้พบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
นายเหนือหัวของเขา ผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับกริยามารยาทเป็นที่สุด กลับวิ่งออกมาจากตำหนักเหมันต์ด้วยท่าทางรีบร้อน พอเห็นเขาก็หน้าดำคล้ำเหมือนก้นหม้อในทันที “เมื่อคืนเจ้าไปอยู่ที่ใดกัน!”
เซี่ยเหิงตกใจ “เกิด… เกิดอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นิ้วของซ่งจื่ออานสั่นเทา ดูเหมือนอยากจะฆ่าคนให้ตายคามือ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา หันหลังกลับแล้วเร่งฝีเท้าออกไปราวกับกำลังไล่ตามบางอย่างอยู่
เซี่ยเหิงรีบตามไป “ฝ่าบาท! ถึงเวลาเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่งจื่ออานหันขวับกลับมามองเขาอย่างเย็นชา ภายในแววตาดุดันนั้นแฝงไปด้วยความร้อนรนของเด็กหนุ่มที่ไม่สามารถระบายความโกรธออกมาได้ เขาขบกรามแน่น “หากหรูอี้เป็นอันใดไป เจ้าไม่ต้องมาเข้าเฝ้าข้าอีกเลย!”
เซี่ยเหิงสูดหายใจเฮือกใหญ่ ไม่กล้าซักถาม หัวใจพลันเต้นรัวได้แต่คิดว่าเมื่อวานนี้อันหรูอี้คงจะพบกับนักฆ่า
แต่… เหตุใดฮ่องเต้ถึงวิ่งออกไปข้างนอกเล่า?
ทางซ่งจื่ออานต่างเร่งรีบวิ่งออกไปข้างหน้า ส่วนด้านหน้าที่ห่างออกไปนั้น มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่พากันเคลื่อนผ่านเส้นทางต้องห้ามในวังหลวง ราวกับเมฆฝน ทำให้นางกำนัลและขันทีที่อยู่บริเวณโดยรอบเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
อันหรูอี้หน้าแดงก่ำ เดิมทีนางได้รับการดูแลจากหวังเสวี่ยเฟิ่งนางจึงเป็นคนหุนหันพลันแล่น มักกระทำสิ่งจะไม่ยั้งคิด ทำสิ่งใดไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ตั้งแต่เด็กนางจึงเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความเอาแต่ใจ
เพียงเพราะได้เกิดใหม่ เพียงเพราะอยากได้รับความชื่นชมจากบางคน เพียงเพราะความผิดหวังในจวนอัครมหาเสนาบดี นางจึง ‘แสร้งทำ’ เป็นคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง ทั้งพูดจาอ่อนหวานและกิริยาสง่างาม
แต่อันหลิงหลงคงลืมไปแล้วว่า เวลาที่นางโมโหนั้นน่ากลัวเพียงใด!
นางเร่งฝีเท้า ความโกรธที่เดือดดาลแผดเผาไปทั่วทั้งวังหลวงในชั่วพริบตา ก้าวเท้าโดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อยจนร่างของนางราวกับแยกเป็นสอง ชายกระโปรงที่พลิ้วไหวกวัดแกว่งไปมา ผ้าคลุมไหล่ถูกนางกระชากออก ขยำเป็นก้อนแล้วโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี แววตาก็ดุดันจนผู้ใดพบเห็นก็อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
ท่าทางนางเช่นนี้ ยากที่จะไม่ทำให้ผู้ใดสงสัย
ซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงที่เดินผ่านมาพอดีจึงได้หยุดเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
“นั่นใช่อันกุ้ยเฟยหรือไม่? เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนั้น” ซ่างกวนหมิงหมิงเอ่ยขึ้นอย่างขบขัน “สีหน้าเช่นนั้น… ดูน่ากลัวกว่าตอนที่ทะเลาะกับข้าสมัยเด็กๆ เสียอีก”
เจิ้งจื่อหรงมองนางแวบหนึ่ง แล้วมองไปยังกองทัพที่กำลังหายลับไปอย่างรวดเร็ว จึงอดสงสัยไม่ได้เอ่ยถามผู้ที่อยู่ข้างกาย “หมิงหมิง….หรือว่านางกำลังจะไปตำหนักชูฮวา?”
ซ่างกวนหมิงหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง สบตากันแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกัน
เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
พวกนางรีบตามไปโดยไม่รู้ตัว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า ก็มีเสียงทุ้มต่ำ ทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความร้อนรนของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างหลัง “หรูอี้อยู่ที่ใด?”
สองคนหันกลับไป เห็นซ่งจื่ออานและเซี่ยเหิงกำลังรีบร้อนวิ่งมาทางพวกนาง ทั้งสองกำลังจะคำนับ แต่ซ่งจื่ออานก็เอ่ยถามทันที “หรูอี้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว?”
เจิ้งจื่อหรงตอบอย่างรวดเร็ว “เพิ่งผ่านไปครู่เดียวเพคะ”
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้ว ไม่สนใจพวกนางอีก หันหลังเลี้ยวไปทางสวนหิน วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงยิ่งรู้สึกไม่ดี จึงรีบตามไป แต่กลับไม่ทันสังเกตว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งแอบสะกดรอยตามพวกเขาอยู่ นั่นก็คือสวีเจิ้งนั่นเอง
โดยไม่รู้ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาถึง อันหลิงหลงลากร่างที่อ่อนล้าของนางกลับมายังตำหนักชูฮวาของนาง ในหัวของนางยังเต็มไปด้วยคำพูดของซ่งจื่ออานที่กล่าวกับนางเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขา มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน มองใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนเยาว์นั้น ความรู้สึกหวานซึ้งแล่นไปทั่วร่าง นึกถึงทรงจำอันแสนหวานของคืนที่ผ่านมา ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อซ่งจื่ออานรู้สึกตัว
เมื่อซ่งจื่ออานตื่นขึ้นมาพร้อมกับเรียกชื่อ ‘หรูอี้’ ก็ทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง ความตกใจและแววตาที่รังเกียจเมื่อเขาเห็นนาง ยิ่งทำให้นางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น การที่เขาเตะนางลงจากเตียงในทันทีก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
เขามองนางด้วยแววตาดุดัน ตะคอกเสียงดัง “อันหลิงหลง เจ้าจงจะอธิบายเรื่องนี้ให้ดี!”
อันหลิงหลงพยายามข่มความหวาดกลัว กะพริบตาอย่างน่าสงสาร น้ำตาคลอเบ้า “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสอันใดเพคะ มะ… หม่อมฉันมิเข้าใจเพคะ?”
สายตาของซ่งจื่ออานมืดลง รีบสวมเสื้อผ้า ยืนอยู่ตรงหน้าอันหลิงหลง ดวงตาคู่นั้นเย็นชาราวกับถูกอาบด้วยพิษ ใบหน้าหล่อเหลาปราศจากความรู้สึกใด ๆ จ้องมองนางอย่างเครียดแค้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังและรังเกียจ
“เจ้าจงอธิบายให้ข้าฟังทีละคำ มิฉะนั้น…โรงหล่อเครื่องราชบรรณาการจะเป็นที่อยู่ของเจ้าในชาตินี้!”
อันหลิงหลงเบิกตากว้าง พูดตะกุกตะกักด้วยความกลัว “เมื่อคืน… หม่อมฉัน… เดินผ่านสวนหลวง… เห็นฝ่าบาทอยู่คนเดียวเพคะ!”
ซ่งจื่ออานคว้าแขนนางแล้วดึงขึ้นมา “อันหลิงหลง เจ้าอยากตายใช่หรือไม่?!”
อันหลิงหลงเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ทั้งร่างอ่อนยวบ สะอื้นว่า “หม่อม… หม่อมฉัน… แค่เดินผ่านจริง ๆ เพคะ…”
ซ่งจื่ออานจ้องมองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองข้างนอก เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ก็ร้อนรนขึ้นมาทันทีดูราวกับเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่พลาดนัดกับคนรัก
ซ่งจื่ออานโยนอันหลิงหลงลงบนพื้น แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังตำหนักเหมันต์
อันหลิงหลงนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ความหวาดกลัวและความเสียใจพลันถาโถมเข้ามา เมื่อซิ่วหงนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้นางก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วสวมใส่ทีละชิ้น
นางไม่คิดว่าซ่งจื่ออานจะใจร้ายถึงเพียงนี้ ราตรีแห่งความอบอุ่นกลับไม่มีความหมายอันใดในสายตาของเขา ดวงตาของเขามีแต่อันหรูอี้เท่านั้น
“พระสนม…” แววตาของซิ่วหงฉายแววรู้สึกผิด นางไม่กล้าสบตาอันหลิงหลงจึงเบือนหน้านี้ “เชิญ… พระสนมอาบน้ำเถิดเพคะ”
อันหลิงหลงหัวเราะอย่างน่าสมเพช พยุงตัวเองขึ้น พยักหน้า “เตรียมตัวเถิด…”
โครม!
ประตูตำหนักที่ปิดสนิทถูกเปิดออกอย่างแรง ทั้งสองตกใจ อันหลิงหลงขมวดคิ้ว ตะคอกด้วยความโกรธ “เกิดอันใดขึ้นอีก! จะพลิกแผ่นดินหรือยังไง!”
ยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องชั้นในก็ถูกเตะเปิดออกอย่างแรง ลมเย็นยามเช้าพัดเข้ามาในห้อง ซิ่วหงร้องเสียงหลงรีบเอากายตนเองยืนบังหน้าอันหลิงหลง แต่กลับถูกคนสองคนกระชากแขนดึงออกไป
แสงอรุณสาดส่องจ้าเกินไป อันหลิงหลงยกมือขึ้นบังตาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นแขนของนางก็ถูกมือผู้ใดคว้าไว้ และถูกแรงมหาศาลกระชากลากออกไป
ซิ่วหงร้องตะโกน “อย่านะ!” หลิวลวี่เตะนางอย่างแรง “อยู่นิ่ง ๆ !”
อันหลิงหลงรู้สึกว่ามีเงามืดปกคลุมลงมา ใบหน้าด้านข้างของอันหรูอี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและสังหารปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างฉับพลัน นางร้องเสียงดัง แต่ไร้ประโยชน์ นางถูกลากเข้าไปในตำหนักคุนหนิง
เหลิงเยว่เพิ่งตื่น ได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านนอก จึงลุกขึ้นมาดูประตูเพิ่งเปิดออกร่างหนึ่งก็ถูกโยนเข้ามากระแทกนางล้มลงกับพื้น!
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ใบหน้างดงามของอันหรูอี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นปรากฏในสายตาของเหลิงเยว่
ในจังหวะที่ซ่งจื่ออานวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้น
“เขาคือฮ่องเต้ หากเขาต้องการเสด็จไปหาสนมนางอื่น ข้าย่อมมิขัดขวาง… แต่เขาก็เป็นบุรุษของข้าเช่นกัน! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าใช้วิธีต่ำช้าเยี่ยงนี้บีบบังคับเขา? นังพวกสตรีชั้นต่ำ!”