หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 6 การคัดเลือกสนม
บทที่ 6 การคัดเลือกสนม
บทที่ 6 การคัดเลือกสนม
หลังจากที่อันหลิงหลงถูกอันหรูอี้สั่งสอนไป นางก็ทำตัวเรียบร้อยอยู่แต่ในเรือนของตนไม่กล้าไปหาเรื่องอันหรูอี้อยู่พักใหญ่
ช่วงเวลานี้อันหรูอี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เดิมทีนางเป็นสตรีที่มีใบหน้าที่งดงามดุจเทพธิดาอยู่แล้ว บัดนี้เมื่อร่างกายนางได้รับการบำรุงจากสมุนไพรชั้นเลิศมากมาย ยิ่งทำให้ผิวพรรณของนางเปล่งปลั่งสดใสชวนให้น่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก
อันหรูอี้ที่กำลังหยิบหนังสือมาอ่านเล่นเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของข้ารับใช้จากเรือนอัครมหาเสนาบดีวิ่งมาที่เรือนของตน “คุณหนูใหญ่ ข่าวดี ข่าวดี! ท่านรีบไปที่โถงด้านหน้าเถอะเจ้าค่ะ!”
อันหรูอี้เหลือบมองไปทางหลิวลวี่ด้วยความสงสัยแล้วพบว่าหลิวลวี่ก็มีท่าทีไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางที่สง่างามก้าวเดินไปยังโถงด้านหน้า
ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นแต่ท้ายที่สุดนางก็ต้องรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน แม้ช่วงนี้ชีวิตประจำวันของนางจะสงบยิ่งขึ้น แต่หากอันหลิงหลงยังไม่ได้สำนึกผิดและยังจะคิดหาเรื่องนางอยู่อีก นางก็จะสู้กลับให้ถึงที่สุดเช่นกัน…
เมื่ออันหรูอี้ก้าวผ่านม่านเข้าไปในโถงด้านหน้าก็พบอันหลิงหลงผู้มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสุขจนปิดไม่มิด นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวของอนุเซียวนามว่า ‘อันผิ่น’ ยังมีบุตรสาวของอนุหลี่นาม ‘อันหนิง’ อยู่ในที่นั้นด้วย
อันหรูอี้โค้งคำนับอัครมหาเสนาบดีอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อเกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ? เหตุใดน้อง ๆ ถึงได้มารวมตัวที่นี่กันหมดล่ะเจ้าค่ะ”
อันหลิงหลงเมื่อเห็นอันหรูอี้ก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี รีบดึงแขนเสื้ออัครมหาเสนาบดีเอ่ยถามทันที “ท่านพ่อ เหตุใดอันหรูอี้ถึงได้มาด้วยล่ะเจ้าค่ะ?”
อัครมหาเสนาบดีสะบัดมืออันหลิงหลงออกด้วยความไม่พอใจ “นางคือพี่สาวเจ้า หากเจ้ายังกล้าเอ่ยมิให้เกียรติพี่สาวเจ้าเช่นนี้อีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน! ข้าจะขังเจ้าให้อยู่แต่ในจวนอีกครั้ง!”
“ท่านพี่หรูอี้… ท่านพ่อกำลังจะส่งพวกเราเข้าวังเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกสนมของฮ่องเต้เจ้าค่ะ จัดขึ้นทุกสามปียามนี้อายุของพวกเราเข้าร่วมได้หมดทุกคนแล้วเจ้าค่ะ” อันหนิงผู้ไร้เดียงสาเอ่ยให้อันหรูอี้ฟังทันทีเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของพี่ใหญ่ตน “ที่ท่านพ่อเรียกเรามา เพื่อที่จะตักเตือนเราหลาย ๆ เรื่องเจ้าค่ะ ท่านพี่หรูอี้รีบนั่งลงก่อนเถิด”
อันผิ่นยิ้มหวานให้อันหรูอี้พลางลุกขึ้นไปเลื่อนเก้าอี้ไม้เชื้อเชิญอันหรูอี้ให้นั่งลง
อันหรูอี้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นอันผิ่นผู้เย็นชากลับทำตัวกระตือรือร้นเอาอกเอาใจนางเป็นพิเศษเช่นนี้ อันหรูอี้คิดทบทวนอีกครั้งนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่าทีอันผิ่นจึงเปลี่ยนไป ในฐานะบุตรสาวคนโตของตระกูลขุนนาง ย่อมได้รับการคัดเลือกเข้าวังแน่นอนหากอันผิ่นและอันหนิงอยากให้ตนเองมีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า การประจบประแจงเอาใจนางเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกนัก
อัครมหาเสนาบดีพยักหน้า พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างเคร่งขรึม “สิ่งที่หนิงเอ๋อร์เอ่ยนั้นถูกต้อง หรูอี้เจ้าเป็นเด็กฉลาดรอบคอบอยู่แล้ว เรื่องนี้มิต้องเอ่ยกับเจ้าก็คงเข้าใจ แต่พวกเจ้าพี่น้องต้องระมัดระวังให้มาก กิริยามารยาทช่วงนี้อย่าให้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย หากพลาดพลั้งไปแม้เพียงก้าวเดียว การคัดเลือกสนมอาจจะถูกตัดสิทธิ์ได้!”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากด้วยท่าทีอ่อนหวาน “ท่านพ่อพูดราวกับลูกต้องได้รับเข้าเลือกเข้าวังอย่างแน่นอนเลยนะเจ้าค่ะ”
อัครมหาเสนาบดีจ้องมองอันหรูอี้ด้วยสยตาตำหนิเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าคือบุตรสาวคนโตของตระกูล การถูกเลือกเข้าวังเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว แต่แม้จะได้รับเลือกแล้ว เจ้าก็ต้องใส่ใจการอบรบเรื่องกิริยามารยาทให้ดี เพราะเมื่อเจ้าเข้าวังไปแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เจ้าได้รับเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง”
อันหรูอี้รู้สึกใจหายวาบ คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
นางไม่อยากเข้าวัง ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมเช่นนั้น จากคำพูดของบิดาของนาง เขาคงตกลงกับทางวังเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแค่ให้อันหรูอี้ก้าวเข้าไปในงานเลี้ยงเพื่อคัดเลือกเป็นพิธีเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่อันหรูอี้ไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด
อันหลิงหลงเห็นอันหรูอี้เหม่อลอย นางจึงคิดไปว่าอันหรูอี้กำลังวางแผนเรื่องเข้าวัง ด้วยความริษยาอันหลิงหลงจึงเอ่ยเหน็บแนบว่า “บางคนนี่ก็รีบร้อนอยากจะเข้าวังไปเป็นสนมจนตัวสั่น แต่อย่าเผลอทำให้ตระกูลของเราต้องอับอายขายขี้หน้าก็แล้ว!”
“น้องสาว เหตุใดเจ้าจึงชอบพูดจาเหน็บแนมข้าเช่นนี้เล่า?” อันหรูอี้แกล้งทำเป็นสงสัย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับรู้สึกน้อยใจ
อัครมหาเสนาบดีโบกมือตำหนิอันหลิงหลง “อันหลิงหลงทุกครั้งที่เจ้าเจอหน้าพี่สาวจะต้องทำกิริยาเยี่ยงนี้เสมองั้นรึ เช่นนี้เจ้าจะไปเป็นสนมของฮ่องเต้ได้เช่นไร? หากเจ้าได้เข้าวังไปพร้อมกัน ข้าก็หวังให้พวกเจ้าคอยดูแลกัน แต่เจ้าชอบกลับชอบหาเรื่องพี่สาวอยู่เรื่อย!”
อันผิ่นซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นคนเงียบกลับกล่าวขึ้นเบา ๆ “พี่หลิงหลงเป็นคนทะเยอทะยานมาแต่ไหนแต่ไร บางทีอาจมิได้เต็มใจเห็นพี่สาวหรูอี้ได้เข้าวังไปเช่นเดียวกับนางกระมังเจ้าค่ะ”
“เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าหรือ!” อันหลิงหลงโมโหที่ถูกผู้อื่นเดาความคิดของตนได้ เห็นชัดว่าความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของอันหลิงหลงย่ำแย่เพียงใด แต่นางก็ไม่เคยจะหันกลับมามองตนเองแม้เลยแต่น้อย กลับโทษเพียงว่าอันผิ่งจงใจกลั่นแกล้งนางเท่านั้น
อันหรูอี้รู้สึกราวกับว่าศีรษะของตนกำลังจะระเบิด เดิมทีนางไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย เพราะเมื่อชาติที่แล้วนางต้องเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าวังเช่นกันแต่ตอนนั้นนางกลับไม่ได้รับคัดเลือก
หรือว่าชาตินี้ของนางทำตัวโดดเด่นเกินไป จึงทำให้บิดาของนางไปหารือกับฮ่องเต้ หมายมั่นปั้นมือให้นางได้เป็นสนมกันนะ?
หลังจากที่ฟังบิดากล่าวเตือนเรื่องที่ต้องระวังต่าง ๆ ในที่สุดอันหรูอี้ก็สามารถออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้และคิดหาทางออกให้เร็วที่สุดกับเรื่องนี้
หลิวลวี่ที่ประคองอันหรูอี้อยู่ข้างกาย ถามเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านกังวลสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ?”
“หลิวลวี่ เจ้าคิดว่ากฎระเบียบในจวนเข้มงวดมากหรือไหม?” อันหรูอี้ถอนหายใจ “กฎระเบียบในวังย่อมเข้มงวดยิ่งกว่านี้ มันช่างเป็นสถานที่โหดร้าย ข้ามิอยากเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว”
หลิวลวี่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะคิกคัก “คุณหนูของข้า ช่างแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริง ๆ คุณหนูจวนอื่นแทบจะแย่งกันเข้าวังส่วนคุณหนูของข้ากลับไม่ชอบวังหลวงหรือนี่…”
“บังอาจ! ชอบไม่ชอบ เกี่ยวอันใดกับเจ้า ข้ารับใช้เช่นเจ้ากลับกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในวังหลวงเชียวรึ! จับมันมาเฆี่ยน!” เสียงอันหลิงหลงดังแผดก้องมาจากด้านหลัง
แม่นมคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือขึ้นหวังจะตบหลิวลวี่
คนเช่นอันหรูอี้มีหรือจะยอมเห็นสาวใช้สนิทของตนถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งต่อหน้าหน้าเช่นนี้?
อันหรูอี้ยกเท้าถีบเข้าที่ท้องของแม่นมอย่างแรง จากนั้นก็ยืนมองดูแม่นมล้มคว่ำลงไปพร้อมอ้าปากร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด อันหรูอี้ยิ้มเล็กน้อย “เจ้าช่างกล้าเสียจริงนะ!”
“เจ้ากล้าตีคนของข้าหรือ?!” อันหลิงหลงพูดด้วยไม่เชื่อ
อันหรูอี้หลุดหัวเราะออกมา ใบหน้าขาวผ่องดุจหิมะปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย “เจ้าถูกกักบริเวณจนเสียสติไปแล้วหรือไร? หรือว่าตอนที่คัดลอกตำราโบราณ เจ้าเผลอเอาหมึกดำเข้าไปในสมองหมดแล้ว? ข้ายังกล้าตีเจ้าได้ เหตุใดข้าจะมิกล้าตีข้ารับใช้ชั่วข้างกายเจ้าหรือ?”
อันหลิงหลงหวนนึกถึงการกระทำของอันหรูอี้ก่อนหน้านี้ ร่างของนางเผลอสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองมีอำนาจทำสิ่งใดก็ได้งั้นหรือ? ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้ ที่จวนอัครมหาเสนาบดีแห่งนี้ มิใช่ที่ที่เจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้!”
“หึ! ข้ามิเคยคิดอยากจะแย่งสิ่งใดที่เป็นของเจ้า แต่ถ้ามืออีกข้างหนึ่งของเจ้ามิอยากได้แล้ว ก็ยกให้ข้าได้” อันหรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมเผยรอยยิ้มเย้นหยันออกมา
ถึงแม้มือขวาของอันหลิงหลงจะได้รับการรักษาอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังคงมีรอยคล้ำ ทำให้ทุกครั้งที่นางออกจากจวนต้องประโคมแป้งอย่างหนาลงบนมือเพื่อปกปิดร่องรอยนั้น
“ได้! เจ้าคอยดูเถอะ! สักวันเจ้าจะมิได้มายืนอวดดีเช่นนี้อีก!” อันหลิงหลงรู้สึกว่ายามนี้ตนเองไม่สามาถทำสิ่งใดกับอันหรูอี้ได้จึงทำได้เพียงทิ้งคำขู่แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป
หลิวลวี่มองอันหรูอี้ด้วยแววตาชื่นชมพลางกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูนายของตน “คุณหนูเก่งจริง ๆ”
อันหรูอี้หันไปมองหลิวลวี่ด้วยแววตาอ่อนโยน ความรู้สึกที่ตัวเองสามารถปกป้องคนข้างกายได้เช่นนี้มันช่างวิเศษเหลือ…
‘เมื่อก่อนข้าปล่อยให้เจ้าลำบากมาเยอะแล้ว… ชาตินี้ข้าจะมิให้มันเกิดเช่นนั้นอีกแล้ว…’