หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 59 เด็กหนุ่มและเด็กสาว
บทที่ 59 เด็กหนุ่มและเด็กสาว
บทที่ 59 เด็กหนุ่มและเด็กสาว
อันหรูอี้คิดว่าเขาคงไม่มาแล้วท้องฟ้ามืดเช่นนี้ เส้นทางในวังหลวงคงเดินลำบาก เขาคงไม่มาแล้ว…
อันหรูอี้ลุกขึ้นยืน หยิบโคมไฟขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็วางกลับลงบนโต๊ะ หันหลังกลับเข้าไปในตำหนักสั่งให้เถาหงที่กำลังทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างให้ออกไปรอข้างนอก จากนั้นตัวนางก็นอนลงบนเก้าอี้ยาวเพียงลำพัง ทอดมองคานบนเพดานไม้
ลวดลายสลับซับซ้อนแกะสลักอย่างประณีต ช่างฝีมือแกะลายหงส์ไว้บนเพดาน ทำให้ความหมายแฝงของตำหนักนี้ช่างคลุมเครือยิ่งนัก
เฉกเช่นเดียวกับซ่งจื่ออาน… ท่าทีของเขาก็คลุมเครือเช่นกัน
อันหรูอี้ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลง น้ำตาพลันไหลลงมาอาบทั้งสองแก้มอย่างไม่รู้ตัว…
“อย่าร้องไห้”
อันหรูอี้ลืมตาขึ้นทันที มองไปยังต้นเสียงนั้น ร่างนั้นยืนอยู่ที่ประตูเสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ย ใบหน้าอิดโรยราว ริมฝีปากซีดขาวกับเพิ่งเดินฝ่าลมหนาวมา ผมเผ้าก็พันกันยุ่งเหยิง
อันหรูอี้พลันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
ฮ่องเต้หนุ่มหลบสายตานาง เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาสบตานางอีกครั้ง แล้วเดินเข้ามาด้วยท่าทางลังเล ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ยาว
ในตอนนั้นเองอันหรูอี้ก็เห็นรอยฟันที่ลำคอของซ่งจื่ออาน
บรรยากาศเงียบงัน ซ่งจื่ออานไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร คิดอยู่นานจึงเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมา “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุน้อย น่ารัก เติบโตมาภายใต้ความรักของบิดามารดา”
นิ้วมืออันหรูอี้ค่อย ๆ กำแน่น นางฟังต่อไปอย่างเงียบ ๆ
“บิดาของเด็กหนุ่มเป็นอาจารย์สอนวิทยายุทธ์ มีลูกศิษย์อยู่ไม่กี่คน” ซ่งจื่ออานวางมือข้างหนึ่งบนขอบเก้าอี้นอน หลับตาลงอย่างช้า ๆ “วันหนึ่งบิดาของเขาถูกคนท้าทาย ด้วยความโมโห จึงต่อสู้กับคนผู้นั้น ศัตรูล่าถอยไป แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาไม่นาน มารดาของเขาที่รักบิดามากก็ตรอมใจตายตามไป”
“เด็กหนุ่มเฝ้าศพพ่อแม่เพียงลำพัง ลูกศิษย์ไม่กี่คนช่วยจัดการงานศพและดูแลสำนักแทนเขา ต่อมาเด็กหนุ่มต้องการดูแลสำนักด้วยตัวเอง แต่พวกเขากลับยึดโรงฝึกไว้เป็นของตน นำโต๊ะ เก้าอี้ไปจำนำ ขโมยของมีค่า สังหารและขับไล่ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ที่จงรักภักดีออกจากสำนัก”
“เด็กหนุ่มไร้อำนาจต่อต้าน ได้แต่เฝ้ามองมรดกที่บิดาสร้างมาถูกพวกเขาขโมยและจำนำไป มองดูลูกศิษย์ของบิดาถูกฆ่าและถูกขับไล่ ซ้ำยังต้องฝืนยิ้มให้กับพวกเขา เพราะศัตรูยังคงจ้องทำร้ายเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ และตัวเขาเองก็ไร้ความสามารถพอที่จะรับมือเพียงลำพังได้”
อันหรูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สายตายังคงสงบนิ่ง สงบนิ่งฟังเรื่องราวที่นางมองออกตั้งแต่แรกแล้ว
นางยังคงฟังซ่งจื่ออานกล่าวต่อ “เขาแอบสะสมกำลังอย่างลับ ๆ รอวันล้างแค้นและทวงคืนทุกสิ่ง ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของพี่น้องร่วมสาบานของบิดา เขาก็คิดหาแผนการได้ นั่นคือ ยืมผู้อื่นให้กำจัดศัตรูยุยงให้แตกแยก ลวงล่อให้หลงกล..ปล่อยให้พวกเขาสู้กันเองจนอ่อนแอลง”
“จนวันหนึ่งเด็กหนุ่มได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่ง นางเป็นบุตรสาวของลูกศิษย์คนหนึ่งที่หักหลังบิดาเขา นางงดงามสะดุดตา ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า เหมือนผ่านความเจ็บปวดมามากมาย เด็กหนุ่มตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยความแค้นที่กัดกินหัวใจ เขาจึงดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อใจนาง”
ซ่งจื่ออานพลันยิ้ม เงยหน้ามองอันหรูอี้ “แต่เด็กสาวช่างดีเหลือเกิน นางงดงามสง่า อ่อนโยนและเฉลียวฉลาดนางเป็นดั่งสายฝนที่ตกลงมาในยามที่เขากำลังขาดสติเพราะถูกไฟแค้นครอบงำจิตใจ และช่วยให้เขากลับมาสงบได้ทุกครั้งเมื่อขาดสติจนเสียการควบคุม และยอมมอบทุกอย่างอย่างโง่เขลาเพื่อเดิมพันความรักจากเขา”
อันหรูอี้ เผลอกัดริมฝีปาก ดวงตาร้อนผ่าวโดยไร้สาเหตุ ซ่งจื่ออานส่ายหน้า ปัดปลายนิ้วไปที่มุมปากนางอย่างอ่อนโยน “…ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รู้ตัว เขาตกหลุมรักเด็กสาวอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เขากลัวว่านางจะโง่เขลาจนมอบทุกอย่างให้เขาจนหมดสิ้น”
“เด็กหนุ่มใช้ประโยชน์จากนาง” ซ่งจื่ออานหลับตาลง “แม้เขาจะเสียใจ แต่ก็มิอาจแก้ไขสิ่งใดได้ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยายามปกป้องนาง บอกความจริงทุกอย่างแก่นาง และอยากถามนางว่ายังคงยินดีก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้กับเขาหรือไม่?”
“เพราะแม้แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่แน่ใจว่าเส้นทางสายนี้จะไปสิ้นสุดที่ใด บนเส้นทางสายนี้เต็มไปด้วยขวากหนาม มีทางเลือกที่เจ็บปวดมากมาย ฐานะของเด็กหนุ่มต้องทำให้เขาต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ราวกับนกน้อยที่ถูกสายฝนคอยโหมกระหน่ำซัด… แต่เด็กหนุ่มก็ยังสาบานว่า สุดท้ายแล้วเขาจะกลับไปหาเด็กสาว…”
ซ่งจื่ออานมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก ไม่แม้แต่จะลืมตามองสีหน้าของอันหรูอี้ หาก…หากสีหน้าของนางเย็นชาเล่า เขาจะทำเช่นไร?
ทันใดนั้นฝ่ามือเย็นเฉียบก็ปิดเปลือกตาของเขาไว้ ปอยผมหลายเส้นร่วงหล่นลงบนอกเสื้อของเขา น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงบนแก้มของเขา
“เช่นนั้น… ท่านบอกข้าสิ” อันหรูอี้พยายามกลั้นสะอื้น “บอกข้ามาสิ ว่าเหตุใดท่านจึงมาช้า ท่านรู้หรือไม่ว่าข้างนอกหนาวเพียงใด แม้แต่เทียนไขก็ดับมอดลงแล้ว……เด็กสาวเกือบคิดว่าท่านจะผิดสัญญา เกือบจะต้องเผชิญกับความสิ้นหวังจากการถูกทอดทิ้งอีกครั้ง…”
ริมฝีปากของซ่งจื่ออานเม้มเป็นเส้นตรง อันหรูอี้รู้สึกได้ว่าปลายนิ้วของนางถูกปัดผ่านด้วยขนตาของเขาเบา ๆ ซ่งจื่ออานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้า… เหมือนจะถูกวางยาปลุกกำหนัด”
อันหรูอี้นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ผู้ใด?”
ซ่งจื่ออานถอนหายใจ “นอกจากเหลิงเยว่แล้วจะมีผู้ใดอีกเล่า?”
อันหรูอี้อุทาน ‘อ้อ’ ในลำคอ สายตากวาดมองรอยเขี้ยวที่ลำคอของเขา ดวงตาเป็นประกายมืดครึ้ม นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ปลายนิ้วชี้ลูบไล้ไปตามคางของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้น…นี่ก็เป็นฝีมือของเหลิงเยว่เช่นนั้นรึ?”
ซ่งจื่ออานเบือนหน้าหนีเล็กน้อย จับมือของนางไว้ มุมปากยกขึ้น ท่าทางที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ กลับแฝงไปด้วยไอสังหารที่น่าหวาดหวั่น “หึ นี่เป็นน้องสาวแสนดีของเจ้า เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์นางกลับกล้าทำเรื่องเช่นนี้เชียวหรือ?”
อุณหภูมิในห้องกลับมาเย็นเยียบอีกครั้ง อันหรูอี้ถามต่อ “เช่นนั้น การที่ข้ารอคอยมาเนิ่นนานเช่นนี้ ก็เป็นเพราะนางล่วงเกินท่านอยู่อย่างนั้นรึ? แล้วท่านก็มิอาจต่อต้านนางได้?”
“…” ซ่งจื่ออานสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดบนหน้าผากของตนที่เต้นตุบ ๆ
“หรูอี้ คำกล่าวเช่นนี้ของเจ้าช่างท้าทายศักดิ์ศรีของบุรุษยิ่งนัก”
ไม่รู้ว่าเมื่อใดท้องฟ้าภายนอกจึงเริ่มสว่างขึ้น แสงรุ่งอรุณสีทองส่องผ่านหน้าต่างแก้ว สาดส่งลงมายังเก้าอี้ยาวในห้อง
ร่างบุรุษนั่งเอนหลังอยู่ถูกมือบางปิดเปลือกตาไว้ ขาเรียวยาวของเขาพับเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวางอยู่บนเก้าอี้เอน บุรุษร่างสูงสง่าสวมใส่ชุดคลุมมังกรสีเหลืองทอง ผมยาวของชายหนุ่มสยายไปกับเก้าอี้คิ้วเข้มดั่งดาบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย ปลายคางยังคงแฝงไว้ด้วยความอ่อนเยาว์
ส่วนร่างบางที่ปิดตาเขาไว้ นิ้วเรียวสวยแนบลงบนลำคอของเขา ผิวที่ขาวผ่องราวหิมะ ไหล่บางกลมมน เรือนร่างที่กำลังเอนซบอยู่บนตัวเขาอยู่ค่อย ๆ ขยับขึ้นตรง ชุดคลุมแขนยาวสีฟ้าอ่อนของนางแผ่กระจายออกราวกับหงส์ ผ้าคลุมไหล่สีแดงสดลากยาวไปกับพื้น ใบหน้าด้านข้างอันงดงามถูกผมสีดำขลับปิดบังไว้ ปิ่นปักผมกระทบกันเบา ๆ ตอนนางขยับตัว ดวงตางามคู่นั้นค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างเย็นชา
จากนั้นนางก็ปล่อยมือออก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว พร้อมกับความอบอุ่นที่หายไปจากเปลือกตาของซ่งจื่ออาน
แสงแดดยามเช้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลง เขาหันไปมองร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเลือนราง เงาหลังของนางดูพร่ามัว แสงแดดยามเช้าส่องกระทบมือของนางที่วางอยู่บนประตูจนดูโปร่งแสง
“ระ..หรูอี้” น้ำเสียงของซ่งจื่ออานแฝงไปด้วยความกังวล “เจ้า… ยังโกรธข้าอยู่หรือไม่?”
อันหรูอี้หันหน้ากลับมาเล็กน้อย ปิ่นปักผมรูปหยาดน้ำค้างส่องประกายระยิบระยับ ใบหน้าขาวผ่องดุจหิมะของนางราวกับถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจาง ๆ
ซ่งจื่ออานกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว แต่ร่างที่ยืนอยู่ประตูพลันก้าวเข้ามา เถาหงกับหลิวลวี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ต่างตกตะลึงงัน
“กะ… กุ้ยเฟยเพคะ”
อันหรูอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเท้ายาว ๆ ไปข้างหน้า เสียงของนางเปรียบประดุจผีผาที่บรรเลงเมื่อวาน ดังก้องกังวานราวกับเสียงแจกันเงินแตกกระจาย เสียงทัพม้าเหล็กทะยานสู่สนามรบ กลิ่นอายสังหารดุจอสูรร้ายที่ฟื้นคืนจากขุมนรกแผ่ออกมาจากร่างของนาง
ความเอาแต่ใจที่สั่งสมมานานกว่าสิบปี เพียงเก็บงำมันไว้ไม่กี่เดือน พวกเจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอ่จนยอมให้พวกเจ้ารังแกง่าย ๆ งั้นรึ?
แววตางามที่เคยอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ดั่งคมดาบที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันงดงาม น้ำเสียงทรงอำนาจถูกเปล่งออกมา
“เถาหง! หลิวลวี่! ไปพาคนของข้ามาเดี๋ยวนี้!”