หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 58 ต้นพลัมตายแทนต้นท้อ* [1]
บทที่ 58 ต้นพลัมตายแทนต้นท้อ* [1]
บทที่ 58 ต้นพลัมตายแทนต้นท้อ*[1]
ร้อนนัก… ร้อนเหลือเกิน…
ทันทีที่แยกจากฉินฟาง ซ่งจื่ออานก็รีบตรงไปยังตำหนักเหมันต์โดยรอไม่ไหว เขาอยากพบหน้านาง
อันหรูอี้รู้ตัวมานานแล้ว นางรู้ตัวมานานแล้วว่าเขากำลังใช้ประโยชน์จากนาง แต่ทว่านางมิได้เอ่ยสิ่งใด นางยังคงเลือกเขา เลือกที่จะเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับเขา
นางปรารถนาชีวิตที่เรียบง่ายแท้ ๆ แต่กลับใช้บทเพลงที่น่าทึ่งนั้นเพื่อสะกดผู้คน
นางก็ยังคงทำเพื่อเขา ‘จื่ออัน… จื่ออัน… พระมารดาหวังเพียงให้เขามีชีวิตที่สงบสุข แต่ตอนนี้จิตใจของเขากลับมืดครึ้มราวกับท้องฟ้าก่อนพายุ เมฆฝนสีเทาหม่นปกคลุมไปทั่ว บ่งบอกถึงสายฝนที่กำลังจะเทกระหน่ำลงมา
เขาไม่รู้ว่านี่คือความรัก ทุกครั้งที่ใช้ประโยชน์จากนางเขาลังเลและสับสน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำร้านางอยู่ดี
จากนั้นความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็ค่อย ๆ ก่อตัวหนาแน่นขึ้น
ที่ผ่านมาเขาเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมาโดยตลอด แต่กระนั้นเขาก็ยังเยาว์วัย เมื่อเผชิญกับความรักที่ทำให้เขามืดแปดด้าน เขาก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่คนหนุ่มมักทำนั่นก็คือความดื้อรั้น
เขายังคงยึดมั่นในตนเอง ไม่ยอมรับว่าถูกมองทะลุปรุโปร่ง ไม่ยอมรับว่าคำเตือนทั้งสามครั้งของอันหรูอี้นั้นแท้จริงแล้วต้องการจะสื่ออันใด ไม่ยอมรับว่าที่แท้แล้วตนเองนั้นตกหลุมรักนางจนหมดหัวใจเสียแล้ว
ทว่าตอนนี้ เขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ในการเดิมพันครั้งนี้อันหรูอี้เอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก เขามิอาจเอาสิ่งใดมาเสี่ยงได้อีก
เขาต้องไปพบนาง กล่าวให้ชัดเจน ขอโทษนาง ขอให้นางให้อภัย และ… ยังต้องใช้ประโยชน์จากนางต่อไป เพราะเขาไม่มีทางถอยหลังกลับ เพราะอันหรูอี้ก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว หากแผนการไม่สำเร็จนางก็ต้องตาย
ต่อให้เสียใจเพียงใดก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ เขาอยากก้าวเดินเคียงข้างนาง ไม่อยากทำให้นางผิดหวัง…
เขาต้องการนาง!
ทว่ายิ่งเดิน เขากลับยิ่งรู้สึกร้อน ร้อนจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่ ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนมองไม่เห็นผู้คน แม้จะพยายามร้องเรียกอย่างไรก็ไม่มีข้ารับใช้คนใดปรากฏกาย…
ทันใดนั้น ก็มีมือคู่หนึ่งโอบกอดเขามาจากด้านหลัง
เสียงสั่นเครือเอ่ยว่า “ฝะ ฝ่าบาท… หม่อมฉันมา… มาเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาทเพคะ…”
ซ่งจื่ออานรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที ผลักร่างที่อยู่ตรงหน้าออกไป จากนั้นก็กระพริบตาแต่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้ากลับพร่ามัวเขาไม่อาจมองเห็นหญิงสาวที่ถูกผลักล้มลงไปบนพื้นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้ใด
ซ่งจื่ออานกัดปลายลิ้นตัวเองสองครั้ง แต่กลับยิ่งทำให้สติเลือนรางรับรู้เพียงแค่ความปรารถนาอันร้อนแรงที่ก่อตัวขึ้นในใจไม่หยุดหย่อน
“เจ้า… เป็นใคร” ซ่งจื่ออานหอบหายใจ มือยันกำแพงไว้ “บัง บังอาจ… หรูอี้…”
อันหลิงหลงหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ แม้บุรุษร่างกำยำผู้นั้นอยู่ในอาการมึนเมาแต่ทว่าพละกำลังกลับมหาศาล เพียงแค่เขาผลักนางร่างของนางก็ปลิวไปไกล ร่างบางล้มลงกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว
นางค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น หวังจะผละหนีไปให้ไกลทว่าสองพยางค์ที่ดังแว่วเข้าโสตกลับทำให้นางชะงักฝีเท้า
อันหรูอี้! อันหรูอี้! อันหรูอี้! เหตุใดจึงต้องเป็นนาง ต้องเป็นอันหรูอี้เสมอไป! เหตุใดนางต้องเป็นถึงบุตรีคนโตของจวนอัครเสนาบดี! เหตุใดเข้าวังครั้งนี้จึงได้เป็นถึงกุ้ยเฟย! เหตุใดซ่งจื่ออาน แม้ถูกยาปลุกกำหนัดครอบงำในใจแต่ก็ยังคงเฝ้าเรียกหาแต่อันหรูอี้!
ข้าไม่ยอม!
อันหลิงหลงผู้นี้ด้อยกว่ามันตรงใดกัน!
แววตานางฉายแววร้ายกาจ นางจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้นางต้องเป็นสตรีของซ่งจื่ออานให้จงได้!
อันหลิงหลงตัดสินใจ โผเข้าสวมกอดซ่งจื่ออานอย่างรวดเร็ว ร่างกายนุ่มนวลซุกซบลงบนอกแกร่ง มุมปากค่อย ๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“โอบกอดหม่อมฉันเถิดเพคะ ฝ่าบาท” อันหลิงหลงคว้ามือหนาของซ่งจื่ออานมาวางไว้ที่หน้าอกของตน ปลายลิ้นนุ่มละมุนลากผ่านใบหูของบุรุษตรงหน้า ก่อนจะแนบชิดกายเขา “ฝ่าบาท เพคะ ฝ่าบาททรงมึนเมา โปรดให้หม่อมฉันรับใช้เถิดเพคะ โอบกอดหม่อมฉัน”
ณ เวลานั้น ซ่งจื่ออานไม่อาจแยกแยะได้ว่าสตรีนางใดอยู่ในอ้อมแขน เพียงรับรู้ถึงแรงปรารถนาที่พลุ่งพล่านราวกับจะระเบิดออกมาจากส่วนลึกในอก ในห้วงความคิดมีเพียงอันหรูอี้เท่านั้น มิอาจหวนนึกถึงสตรีอื่นใดได้อีก
อันหลิงหลงมิได้เอ่ยสิ่งใด ซ่งจื่ออานเองก็เชื่อไปแล้วว่าสตรีเบื้องหน้าคือ อันหรูอี้
กลิ่นกายหอมกรุ่นจากเรือนร่างอันบอบบาง นี่คือใบหน้าที่งดงามของอันหรูอี้…
ในที่สุด ซ่งจื่ออานก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากอิ่มอย่างดูดดื่ม ฝ่ามือใหญ่เอื้อมผลักประตูข้างกายออก ก่อนจะช้อนร่าง ‘อันหรูอี้’ ขึ้นไปวางบนเตียงอันว่างเปล่าฉีกทึ้งอาภรณ์บางเบาออกจนหมดสิ้น…
อันหลิงหลงหัวเราะเบา ๆ ปล่อยให้ซ่งจื่ออานโอบกอด จุมพิต และบดเบียดเรือนร่างทั้งสองเข้าหากัน นางบิดเรือนร่างรับสัมผัสอย่างเชี่ยวชาญราวกับผ่านรสรักมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่ความจริงแล้วนางยังบริสุทธิ์ผุดผ่องแต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนชวนหลงใหล
“หรูอี้ หรูอี้”
ซ่งจื่ออานกอบกุมมืออันบอบบางของสตรีนางนั้นไว้แน่น ราวกับต้องการมอบความสุขสมให้แก่นางอย่างสุดหัวใจ เพียงแค่คิดว่าสตรีใต้ร่างคือหญิงอันเป็นที่รัก ยิ่งทำให้ใจของซ่งจื่ออานพองโตด้วยความสุข
ยิ่งไปกว่านั้น ‘อันนหรูอี้’ ในค่ำคืนนี้ช่างเร่าร้อนกว่าที่เคย กลิ่นกายของนางหอมหวานเกินกว่าจะจินตนาการ
เสียงครางกระเส่าในยามร่วมรักดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ซ่งจื่ออานรุกรานสตรีใต้ร่างอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะต้องตกอยู่ในสถานะตัวแทนผู้อื่น แต่ในยามนี้อันหลิงหลงกลับรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก มีสตรีสักกี่คนกันที่ได้รับความรักใคร่ลึกซึ้งจากบุรุษผู้เป็นถึงฮ่องเต้เช่นนี้? อันหรูอี้ แม้จะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด สุดท้ายก็เป็นเพียงความสุขชั่วคราวเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีอันหลิงหลงผู้นี้ ความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาก็เท่านั้น
อันหลิงหลงโอบกอดแขนของซ่งจื่ออานอย่างแนบแน่น เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก “ฝ่าบาท…”
ทันใดนั้น คิ้วเรียวของนางก็ขมวดเข้าหากัน อันหลิงหลงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ปล่อยเสียงครางอย่างเร่งร้อน…
เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจเบา ๆ ของอันหรูอี้ ซ่งจื่ออานยิ่งรู้สึกตื่นเต้น หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงร่างกายของนาง ซ่งจื่ออานคงจะพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงไปแล้ว
แต่ทว่าเหตุใดหรูอี้ของข้าถึงได้ปกติเช่นนี้นะ?
อันหลิงหลงอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างสุดกำลัง โอบรอบคอของซ่งจื่ออานอย่างอ่อนแรง แล้วเอ่ยเสียงยั่วยวนว่า “ฝ่าบาท ข้าต้องการฝ่าบาท…”
หลังจากได้ยินเสียงนั้น ซ่งจื่ออานก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป…
แม้บรรยากาศเริงรมย์ใต้ร่มผ้าแดง กระทั่งเทียนเล่มงามยังอบอุ่นไปด้วยรัก แต่ในห้วงนิทราผู้ใดกันหนอที่อยู่ในฝันของเขา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสงไฟจากโคมแต่ละดวงในตำหนักเฟยเหมันต์ค่อย ๆ มอดดับลง เหลือเพียงโคมไฟดวงเดียวในสวนที่ยังคงส่องสว่างอยู่
โคมไฟหกเหลี่ยมทำจากแก้วสลักลายสีแดงสด เป็นของขวัญที่ซ่งจื่ออานส่งคนมามอบให้นางเป็นพิเศษ เขาบอกให้นางรอเขาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกแกนาง
นางรู้ดีว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดกับนาง บทเพลงนั้นนอกจากเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะแล้ว ยังเป็นการเปิดเผยความรู้สึกในใจของนางที่มีต่อเขา
นางรอคอยให้เขาเอ่ยความจริงและรอที่จะบอกประโยคหนึ่งแก่เขา
บอกแก่เขาว่า.. เขาสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้ เพราะนางรู้ว่าสถานการณ์ของเขาบีบบังคับให้ต้องทำเช่นนี้และนางไม่ถือสา นางเต็มใจที่จะช่วยเขา นางอยากเผชิญพายุร้ายไปกับเขา ฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเขาและสร้างอนาคตที่งดงามไปด้วยกัน
‘เพราะหม่อมฉันคือพระสนมของฝ่าบาท คือคนที่ยอมเดิมพันทุกอย่างเพื่อความรักแท้ที่มีต่อฝ่าบาทและพร้อมจะเป็นสหายที่รู้ใจของฝ่าบาทเช่นกัน’
“กุ้ยเฟยเพคะ…” เถาหงกล่าวอย่างกังวล “เข้าไปข้างในก่อนเถิดเพคะ ดึกเพียงนี้แล้ว ฝ่าบาทอาจจะไม่เสด็จมาแล้วก็ได้นะเพคะ”
อันหรูอี้ส่ายหน้า บอกกับนางว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะรออีกสักหน่อย หากเขากล่าวว่าจะมาย่อมต้องมาแน่นอน คงเป็นเพราะสนทนากับแม่ทัพฉินนานเกินไปกระมัง ไปเถิด หากเจ้าอยู่ที่นี่พวกเราก็สนทนากันลำบาก”
เถาหงเม้มริมฝีปาก “ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันจะรออยู่ในห้องด้านใน หากกุ้ยเฟยมีเรื่องอันใดโปรดเรียกหม่อมฉันด้วยเพคะ”
อันหรูอี้อดขำไม่ได้ “รู้แล้ว นางกำนัลน้อย!”
เถาหงเดินจากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ อันหรูอี้มองดูโคมไฟสวยงาม สายตามุ่งมั่นมองไปยังประตูด้านนอกตำหนัก นึกถึงฮ่องเต้หนุ่มผู้นั้น
แสงโคมค่อย ๆ อ่อนลง สายลมยามราตรีก็เริ่มเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมฆครึ้มค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงจันทร์ให้ริบหรี่ อันหรูอี้ยังคงทอดมองประตูอยู่เช่นนั้น ความหวังในดวงตาคู่งามค่อย ๆ มลายหายไป
ในที่สุด เปลวเทียนก็ดับลง
อันหรูอี้ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน…
[1] ต้นพลัมตายแทนต้นท้อ หมายถึง การเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น เปรียบเสมือนต้นพลัมที่ยืนตายแทนต้นท้อ