หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 57 หม่อมฉันมาเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาท
บทที่ 57 หม่อมฉันมาเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาท
บทที่ 57 หม่อมฉันมาเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาท
งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งนี้ถูกบันทึกไว้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ บรรดาผู้ที่เข้าร่วมต่างก็มีความสำคัญและมีเรื่องราวมากมายให้เล่าขาน นอกจากนี้ยังมีจิตรกรประจำราชสำนักที่วาดภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้เอาไว้
ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ บันทึกทางประวัติศาสตร์จะบันทึกเรื่องราวของการชนะสงครามครั้งนี้ บันทึกชื่อของวีรบุรุษโดยมีข้อความทางประวัติศาสตร์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคำ แม้ว่าการปรากฏตัวของอันหรูอี้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ
แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว
‘กุ้ยเฟยอันหรูอี้บรรเลงพิณผีผา เสียงพิณก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรงตำหนักไท่เหอ’
เพียงแค่ประโยคนี้นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของกุ้ยเฟยหรูอี้โด่งดังไปทั่วแคว้นซีจิ้น บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ จะทำให้ผู้คนมากมายหันมาสนใจอันหรูอี้
ในตอนแรกอันก่วงเหนิงรู้สึกดีใจอย่างที่สุด แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
ซ่งจื่ออานที่ยกย่องอันหรูอี้เช่นนี้ไม่ต่างกับการทำลายนาง! การกระทำเช่นนี้ต่างอันใดกับการกระทำที่หวังเสวี่ยเฟิงเคยทำกับนางเล่า? และยิ่งอยู่ในวังหลวงเช่นนี้เหลิงเยว่ย่อมต้องใช้อำนาจทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดอันหรูอี้อย่างแน่นอน! แม้แต่สวีเจิ้งก็อาจจะหวาดระแวงนาง!
ซ่งจื่ออานกำลังปูทางให้อันหรูอี้ก้าวสู่หุบเหวลึก! การยกย่องเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการสร้างศัตรูขึ้นรอบตัวนางอย่างนับไม่ถ้วน!
เพราะเขากำลังบีบบังคับตัวเอง ให้ลงมือกับตระกูลเหลิงโดยเร็ว
อันก่วงเหนิงกลับไปที่จวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองไปที่อนุเซียวที่เดินเข้ามาต้อนรับโดยใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกจนใจและสิ้นหวังเขียนความในใจทั้งหมดไว้บนใบหน้า
อนุเซียวประคองเขาเข้าไปในจวนอย่างแปลกใจ ตอนนี้ในจวนมีเพียงนางกับอันก่วงเหนิงเท่านั้น กลับใช้ชีวิตอย่างสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน อนุเซียวในตอนนี้ก็ฉลาดขึ้นมาก นางคว้าโอกาสนี้ไว้แน่น จัดการงานภายในจวนจนเป็นที่เลื่องลือ
ไม่มีผู้ใดแย่งชิงความโปรดปราน อันก่วงเหนิงก็รู้สึกได้ถึงความสงบสุขของจวน งานภายในจวนมีคนอื่นดูแล ความวุ่นวายก็น้อยลงมาก ดังนั้นแม้ว่าอนุเซียวจะไม่ใช่ฮูหยินใหญ่ แต่นางกับอันก่วงเหนิงกลับมีความรู้สึกผูกพันกันมากขึ้นราวกับสามีภรรยา
“ท่านพี่” อนุเซียวนวดไหล่ให้เขา “ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องของหรูอี้อีกแล้ว” อันก่วงเหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้พูดความคิดในใจออกมา เพียงแต่พูดว่า “การได้รับความโปรดปรานสูงสุด อาจมิใช่เรื่องดีเสมอไป”
อนุเซียวกระพริบตาด้วยความสงสัย นางถนัดเอาใจและประจบประแจงมาโดยตลอด ช่วงหลายปีมานี้ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอดหลังจากได้เป็นคนดูแลงานภายในจวนมาหลายวัน บุคลิกของนางก็เปลี่ยนไปนางสุขุมขึ้นและกล้าพูดมากขึ้น
“ท่านพี่ เรื่องในวังเรามิอาจยื่นมือเข้าไปแทรกได้ แต่นอกวังท่านพี่ต้องทำได้ดีแน่ เหตุใดจึงต้องกังวลด้วยเล่าเจ้าคะ?”
อันก่วงเหนิงได้แต่ถอนหายใจ “เจ้ามั่นใจในตัวข้าเพียงนี้เชียวรึ?”
อนุเซียวหยุดมือลง เสียงของนางดูลึกซึ้งขึ้นมาทันที “ท่านพี่ ช่วงนี้ท่านเปลี่ยนไปมาก… ในตอนนั้น ท่านสามารถรับมือกับเรื่องในราชสำนักได้อย่างคล่องแคล่ว ไยตอนนี้ท่านพี่จึงทำมิได้เจ้าคะ?”
อันก่วงเหนิงหันกลับมามองใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยของอนุเซียวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พวกเราก็แก่ถึงวัยที่พูดถึงเรื่องในอดีตแล้วงั้นหรือ? เจ้าคงผิดหวังในตัวข้ามาหลายปีแล้วสินะ?”
อนุเซียวส่ายหน้า
อันกว่างเหนิงหยุดชั่วครู่ แล้วเอ่ยยถามอีกว่า “หวังเสวี่ยเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
น้ำเสียงของเขาไม่มีการตำหนิอีกต่อไป อนุเซียวยิ้มน้อย ๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นางสบายดีเจ้าค่ะ”
นางสบายดี… พอได้ยินเช่นนี้อันก่วงเหนิงก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป เขาถอนหายใจเอนหลังพิงเก้าอี้ ปล่อยให้อนุเซียวคลายความเหนื่อยล้าให้เขา…
ส่วนในวังหลวงหลังจากงานเลี้ยงเลิกราลง ทั่วทั้งวังก็เต็มไปด้วยคำซุบซิบนินทา เหลิงเยว่ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วกลับไปยังตำหนักคุนหนิงปิดประตูอย่างแรงโดยไม่ลังเล จากนั้นภายในห้องก็มีเสียงข้าวของตกแตกดังมาจากด้านใน
หว่านอิงกวาดตามองคนรอบข้างแล้วเอ่ยว่า “ไปเอาของจากคลังมาเติมตามเดิม ผู้ใดกล้าเอ่ยอันใดออกไป เสี่ยวหลินจื่อก็เป็นตัวอย่างให้พวกเจ้าดูแล้ว”
เสี่ยวหลินจื่อเคยเป็นขันทีน้อยที่รับใช้อยู่ในตำหนักคุนหนิง เขาตายตอนอายุสิบสองปี เด็กอายุสิบสองปียังมิได้รู้เรื่องอันใดจึงควบคุมปากของตนไว้ไม่ได้
ตอนที่สวีเจิ้งเข้าวัง เหลิงเยว่ก็โกรธจนปาข้าวของเสียหายเป็นครั้งแรก เสี่ยวหลินจื่อเอาเรื่องนี้ออกไปพูดจนเป็นเหตุให้คนทั้งวังต่างหัวเราะเยาะเหลิงเยว่และยังทำให้ซ่งจื่ออานไม่พอใจ รวมถึงทำให้สวีเจิ้งใช้โอกาสนี้เล่นงานนางได้อีกต่างหาก
ทุกคนต่างจดจำสภาพที่น่าสยดสยองของเขาตอนที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ต่างพากันหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่างก้มหน้าลง ไม่กล้าส่งเสียง
หว่านอิงมองประตูห้องเหลิงเยว่อีกครั้ง แล้วจึงหันหลังเดินออกไป
อันหลิงหลงที่กำลังรออยู่สิงโตหินข้างตำหนักคุนหนิงเหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ยังคงให้ความสนใจกับพระสนม ‘ผู้มีชื่อเสียง’คนนี้
วันนี้นางควรจะแสดงฝีมือให้เป็นที่ประทับใจ แต่กลับต้องพบกับความล้มเหลวเพราะเสียงพิณผีผาที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความดุดันของอันหรูอี้ ทำให้นางบรรเลงผิดพลาดไปหลายครั้ง สุดท้ายก็ถูกบทเพลงของอันหรูอี้กลืนหายไปจนหมด จนต้องหยุดบรรเลงกู่เจิง
ไม่รู้ว่าหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คนในวังจะมองสนมผู้ล้มเหลวในการแสดงฝีมือคนนี้อย่างไร
หว่านอิงค่อย ๆ เดินออกมา มองอันหลิงหลงที่ยืนลังเลอยู่แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดสนมจิ้งยังมิไปเตรียมตัวอีก?”
นางเป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮา แม้แต่กุ้ยเฟยมายืนอยู่ตรงหน้า นางก็ยังคงวางตัวอย่างเหมาะสม แต่อันหลิงหลงเป็นแค่สนมยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับสีหน้าที่ดีจากนาง
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้นางดันทำเรื่องน่าขายหน้าให้แก่ฮองเฮาที่ช่วยกล่าวชมนางตอนบรรเลงกู่เจิงอีก นี่ช่างเป็นการเติมเชื้อเพลิงโทสะของฮองเฮาได้อย่างดี เมื่อคิดตรงนี้หว่านอิงก็มิรู้ว่าตนจะต้องลำบากเก็บกวาดเรื่องนี้ไปนานถึงเพียงใด คาดว่าสองสามวันนี้นางคงต้องทำตัวลีบ ๆ ไปก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ชอบใจสนมจิ้งผู้นี้
อันหลิงหลงหัวเราะแห้ง ๆ “ข้า… ข้าแค่จะมาดูให้แน่ใจว่า ฮองเฮา…”
หว่านอิงจ้องนางแล้วเอ่ยว่า “งานเลี้ยงฉลองชัยชนะนี้ฮองเฮาจัดการเองทั้งหมด เครื่องดื่มและอาหารทุกอย่างล้วนผ่านมือข้าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าหารู้ไม่? สนมแค่ไปก็พอ อย่าลืมสิ่งที่ฮองเฮาตรัส มิเช่นนั้นจะต้องรับผิดชอบเอง แมแต่ฮองเฮาก็มิอาจช่วยสนมไม่ได้”
นางกำนัลผู้นี้อาศัยอำนาจผู้อื่นข่มเหงนางชัด ๆ อันหลิงหลงแอบด่าในใจ แต่บนใบหน้ากลับเป็นปกติ นางอดไม่ได้ที่จะถามต่ออีกว่า “แต่ว่าข้าเห็นวันนี้ฝ่าบาท… ทรงโปรดปรานอันหรูอี้มากเช่นนี้ ข้าควรจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?”
หากเป็นก่อนการแสดง นางยังมั่นใจในสิ่งที่ตนต้องทำอย่างเต็มเปี่ยม ไร้ซึ่งความหวาดกลัว แต่หลังการบรรเลงจบลง เมื่อได้เห็นความโปรดปรานที่ซ่งจื่ออานมีต่ออันหรูอี้นาง…ก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว
หากฝ่าบาทรังเกียจนางขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไร?
ตอนนี้เพิ่งจะคิดได้ นางช่างโง่เขลาราวกับหมูจริง ๆ
“เป็นอันใดไป? กลัวแล้วงั้นรึ? สนมคิดว่าตอนนี้ยังมีโอกาสให้กลับใจอีกหรือ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้หว่านอิงก็ยิ่งดูแคลนอันหลิงหลงมากขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “สนมจะยอมแพ้ก็ได้ พวกข้ามีคนอื่นอีกมาก แต่สนมต้องจำไว้ ตั้งแต่นี้ไป ตำหนักคุนหนิงจะมิใช่ที่พักพิงของท่านอีกต่อไป! มิว่าสนมจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ก็อย่าได้มาหาฮองเฮาอีก!”
อันหลิงหลงรู้สึกหวาดหวั่นในใจ นึกถึงการเตรียมตัวมาหลายวัน จำนวนถ้วยยาที่ดื่มมามากมาย เสียงเยาะหยันที่ติดตามตัวนางไปทุกหนทุกแห่ง นางกัดฟันแน่น “ข้าจะทำ!”
“งั้นก็รีบไปเถิด ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังต้อนรับขุนนางอยู่ ส่วนอันหรูอี้นางก็กลับตำหนักไปก่อนแล้ว ตลอดเส้นทางฮองเฮาจัดการไว้หมดแล้ว จะไม่มีผู้ใดรบกวน เซี่ยเหิงก็จะมีคนคอยถ่วงเวลาไว้”
หว่านอิงถอนหายใจเบา ๆ นางไม่ได้ไม่กลัวอย่างที่แสดงออกมาภายนอก ความจริงแล้วพวกนางไม่ได้เตรียมผู้ใดไว้เลย เพราะอันหลิงหลงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเพราะนางเป็นสนม ‘จิ้ง’ ที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หรือเพราะนางโง่เขลาจนสามารถชักใยได้ง่ายทั้งหมดนี้นางล้วนเหมาะสมที่สุด
อันหลิงหลงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หมุนตัวหันหลังเดินจากไป โดยมีนางกำนัลข้างกายซิ่วหงสบตากับหว่านอิง นางยิ้มแล้วพยักหน้ารู้กัน
อันหลิงหลงเดินอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงทางไปตำหนักเหมันต์ ก็ไม่มีนางกำนัลคนใดติดตามอีก นางรออยู่ข้างหินจำลอง ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา
ท่าทางของซ่งจื่ออานเหมือนกำลังเมาสุรา แท้จริงแล้วการดื่มสุราเช่นนี้ไม่อาจทำให้เขาเมาได้ แต่เป็นเพราะยาในสุราออกฤทธิ์ จึงทำให้ตอนนี้เขามองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
อันหลิงหลงใจเต้นรัว เดินเข้าไปช้า ๆ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ฝ่า…ฝ่าบาท…หม่อมฉันมาเพื่อ…ปรนนิบัติฝ่าบาท…”