หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 55 เล่ห์กลพิณสวรรค์
บทที่ 55 เล่ห์กลพิณสวรรค์
บทที่ 55 เล่ห์กลพิณสวรรค์
แสงเทียนนวลส่องประกายระยิบระยับ งานเลี้ยงฉลองชัยชนะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ บรรยากาศภายในท้องพระโรงอบอวลไปด้วยความผ่อนคลายและความยินดี เหล่าขุนนางต่างปลดปล่อยความเคร่งเครียด ผ่อนกายเอนหลังจิบสุราชั้นเลิศ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังเหล่านางรำโฉมงามที่ร่ายรำอยู่กลางท้องพระโรงอย่างตื่นตาตื่นใจ
ซ่งจื่ออานยกจอกสุราขึ้น เอื้อนเอ่ยว่า“เรื่องไร้สาระช่างมันก่อนเถิด เรามาดื่มให้กับเหล่าทหารกล้าที่รบชนะกลับมาเถิด!”
เหล่าขุนนางและสนมต่างพากันยกจอกขึ้นพร้อมเพรียง ประสานเสียงดังกึกก้องว่า “ดื่มให้กับเหล่าทหารกล้า! ขอให้แคว้นซีจิ้นของเรารุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข สถิตสถาพรตลอดไป!”
ทุกคนดื่มจนหมดจอก อันหรูอี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดป้องริมฝีปากมองสบตากับซ่งจื่ออานอย่างรู้กัน ซ่งจื่ออานขยิบตาให้ก่อนจะวางจอกลงแล้วหันไปมองฉินฟาง
“ชนเผ่าเป่ยโม่รุกรานชายแดนเรามานานหลายปี พระบิดาผู้ล่วงลับทรงเชี่ยวชาญด้านการศึก เคยนำทัพไปปราบปรามขับไล่พวกมันออกไปได้ แต่หลายปีมานี้ พวกมันกลับมาอีกครั้งทำลายความสงบสุขของแคว้นซีจิ้นของเรา แม่ทัพฉินประจำการรบอยู่ชายแดนมาหลายปี ลำบากท่านแล้ว”
คำว่ากล่าวที่ว่า ‘ลำบากท่านแล้ว’ นี้ ซ่งจื่ออานกล่าวออกมาจากใจจริง ฉินฟางจึงให้เกียรติเอ่ยตอบกลับมาสองสามประโยคว่า ‘แผ่นดินของแคว้นซีจิ้น แม้เพียงคืบเดียวก็มิอาจยอมให้ชนเผ่าอื่นรุกราน การสู้รบเพื่อแคว้นซีจิ้น ข้ามิอาจกล่าวคำว่าลำบากได้ การปกป้องแค้วนคือหน้าที่ของบุรุษแคว้นซีจิ้นทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวเหล่านี้ล้วนออกมาจากใจจริงของเขาทั้งสิ้น
ซ่งจื่ออานยิ้มอย่างจนใจ “แม้จะนำทัพมาหลายปี แต่นิสัยการพูดของแม่ทัพฉินก็ยังมิเปลี่ยนไปเลย ยังคงเหมือนเด็กน้อยเช่นเดิม”
ฉินฟางไม่เอ่ยอันใด แต่รองแม่ทัพฉินกงซูที่นั่งอยู่ด้านซ้ายล่างกลับอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท พี่ใหญ่เปลี่ยนไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่นำทัพออกรบ พี่ใหญ่สามารถยืนต่อว่ากองทัพข้าศึกอยู่หน้าประตูเมืองได้เป็นหนึ่งชั่วยามเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่งจื่ออานอึ้งไป “หนึ่งชั่วยามเชียวรึ?”
สวีเก๋อชวนมองฉินฟางอย่างสนใจ เขาเป็นแม่ทัพย่อมชอบแม่ทัพด้วยกัน เขาลูบเคราคิดสักครู่แล้วยิ้ม เอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้น! จำได้ว่าตอนที่ข้านำทัพไปปราบชนเผ่าหนานหมาน พวกมันไม่ยอมออกมาจากเมือง ข้าโกรธมาก จึงขี่ม้าไปต่อว่าพวกมันถึงหน้าประตูเมือง…”
เขาคิดไปก็อดขำไม่ได้ “ข้าว่านะ ตำแหน่งแม่ทัพแนวหน้าควรด่าเป็นผู้ที่ฝีปากดุร้าย มิต้องพูดถึงผลแพ้ชนะในสงคราม เพียงแค่ยืนต่อว่าก็สามารถทำให้ข้าศึกขวัญหนีดีฟ่อได้แล้ว!”
พอเขากล่าวจบ เหล่านายพลที่อยู่ด้านล่างต่างพากันหัวเราะเสียงดัง
“ท่านแม่ทัพสวี สมแล้วที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่!”
สวีเก๋อชวนยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ส่วนซ่งจื่ออานมองฉินฟางอย่างสนใจ เห็นสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทว่ากลับกำชายผ้าบนตักไว้แน่น
หืม… เขินอายแล้วงั้นรึ
ซ่งจื่ออานยิ้มออกมา “ฉินฟาง เมื่อไหร่เจ้าจะสาธิตให้ข้าดูสักครั้งล่ะ?”
ฉินฟางเงยหน้ามองซ่งจื่ออาน ก่อนจะเม้มริมฝีปาก “คำกล่าวหยาบคายเช่นนั้น มิควรให้เข้าหู ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ มิได้ยินจะดีกว่า”
แต่ฉินกงซูกลับใจกว้างมากเริ่มเล่าเรื่องสงครามที่ชายแดน ทั้งเรื่องถูกหมาป่าล้อม ตอนซ่อนตัวในป่ากินผลไม้มีพิษโดยไม่ตั้งใจ แล้วต้องใช้ปัสสาวะเด็กมาถอนพิษ
ทุกคนฟังอย่างตั้งใจและสนุกสนาน แต่อันหรูอี้กลับแอบดึงแขนเสื้อซ่งจื่ออานเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก “ท่านดูเซี่ยเหิงสิ”
เซี่ยเหิงเป็นองครักษ์ข้างกายคอยปกป้องซ่งจื่ออานอยู่ด้านหลัง ในขณะที่คนอื่นกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เซี่ยเหิงกลับยืนหลบอยู่ข้างเสา พยายามกลั้นหัวเราะ
เขาเอนศีรษะพิงเสาสีแดง มือขวาข่วนเขี่ยไปมาบนเสามิรู้ว่าคิดถึงเรื่องอันใด ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะอยากหัวเราะดัง ๆ แต่ก็ทำมิได้
ซ่งจื่ออานกึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ยกจอกสุราขึ้นมาใกล้อันหรูอี้ กระซิบข้างหูว่า “เซี่ยเหิงกับฉินฟางนั้น ตั้งแต่เด็กก็ไม่ถูกกัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด พรุ่งนี้ฉินฟางจะเข้าเฝ้าเจ้าก็จะได้เห็นเอง”
ในระหว่างนั้นเซี่ยเหิงก็ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ กำหมัดทุบพื้นลงอย่างแรง
อันหรูอี้กับซ่งจื่ออานพลันหลุดขำออกมา อันหรูอี้เอ่ยว่า“ท่านแม่ทัพฉินผู้นี้ ดูภายนอกเคร่งขรึมคิดไม่ถึงว่าเวลาต่อว่าข้าศึกจะเป็นเช่นนั้น ข้าว่าอย่าพูดถึงข้าศึกเลย แม้แต่คนของตัวเองก็คงตกใจไม่ต่างกับศัตรูกระมัง”
“อืม…จะว่าไปแล้ว” ซ่งจื่ออานนึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์อย่างเลือนราง “ตอนเด็ก ๆ ข้าเคยเห็นเขาต่อว่าเซี่ยเหิง”
“จริงเหรอเพคะ? ต่อว่าเช่นไรเพคะ?” อันหรูอี้ถามด้วยความอยากรู้
ซ่งจื่ออานยักไหล่ “ตอนที่ข้าไปถึง ทั้งสองคนกำลังชกต่อยกันอยู่ได้ยิน ฉินฟางเอ่ยว่า ‘คนไร้ยางอาย’ ส่วนเซี่ยเหิงนั้น เรื่องการใช้ฝีปากในการต่อว่าผู้อื่นเขาถนัดยิ่งนัก ได้ยินว่าถึงกับไปเรียนกับป้าแก่ขายผักแถวบ้านเกิดด้วยล่ะ”
อันหรูอี้เบิกตากว้าง “ตั้งใจไปเรียนรู้วิธีต่อว่าผู้คนเลยเหรอเพคะ?”
ซ่งจื่ออานทำสีหน้าฉงน “ข้าก็แปลกใจเช่นกัน แต่พอถามก็มิยอมบอก กลายเป็นความลับที่มิผู้ใดล่วงรู้เลย”
ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนม ราวกับไม่สนใจคนรอบข้าง เหลิงเยว่ที่เห็นรู้สึกทนไม่ไหว จึงวางจอกสุราลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ขาดเสียงดนตรีและการร่ายรำได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันได้เตรียมการแสดงมาโดยเฉพาะขอเชิญทอดพระเนตรเพคะ”
กล่าวจบก็ไม่รอให้ซ่งจื่ออานอนุญาต นางตบมือสองครั้ง ทันใดนั้นบนเวทีกล้างลานกว้างก็ปรากฏหญิงสาวสองแถวเดินออกมาอย่างอ่อนช้อย
พวกนางสวมด้วยชุดขาวประดับด้วยขนนกสีขาว เต็มไปด้วยเครื่องประดับสีเขียวมรกตและสีแดง ริบบิ้นหลากสีสันพลิ้วไหวปตามจังหวะ ราวกับดอกไม้ที่ผลิบานใฤดูใบไม้ผลิ สร้างความเบิกบานใจให้กับทุกคน ดวงตาของเหล่าทหารต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวเหล่านั้น
หลายปีในชายแดนพวกเขาไม่ได้เห็นหญิงงามของแคว้นซีจิ้นมานานแล้วในหมู่พวกเขานั้น บางคนก็มีภรรยา บางคนก็มีบิดามารดาต่างก็รอคอยที่จะได้กลับไปหาครอบครัว
แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีโอกาสได้กลับไป
งานเลี้ยงที่แสนรื่นเริง การร่ายรำอันงดงาม หญิงสาวรูปโฉมงดงาม สุรา ที่ชั้นเลิศแต่ยิ่งมองดู บางคนกลับรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา
ฉินฟางก้มหน้ามองจอกสุราในมือ ในจอกสุราสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้า ชุดเกราะยังมิได้ถอดความทรุดโทรมบนใบหน้ายังมิได้ชะล้าง…
ส่วนเซี่ยเหิงที่กลั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเก็บซ่อนรอยยิ้มทั้งหมด ยืนพิงเสาสีแดงมองดูฉิงฟางอย่างเงียบ ๆ
ซ่งจื่ออานก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าก็พลันเศร้าสร้อยลงไปเช่นกัน
อันหรูอี้มองทั้งสามคน ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มออกมาบาง ๆ “จื่ออาน ท่านดื่มเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะนะเพคะ”
ใช่แล้วนี่เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยเขาคือฮ่องเต้ ไม่ควรแสดงความโศกเศร้าออกมาเช่นนี้ได้ ซ่งจื่ออานถอนหายใจหันไปมองอันหรูอี้ “หรูอี้ เจ้ารู้หรือไม่ บางคราเจ้าก็เหมือนดังสายฝนยามแล้งที่มักปรากฏกายทุกครั้งที่ข้าต้องการ”
ไม่ว่ายามนี้หรือยามใด…
อันหรูอี้ยิ้ม “หม่อมฉันรู้เพคะ หม่อมฉันก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป…”
อันหรูอี้ที่ยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็มีเสียงกู่เจิง*[1]ดังกังวานขึ้นจากด้านล่าง ตามมาด้วยเสียงของเหลิ่งเยว่ที่เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “คาดไม่ถึงเลยว่าสนมจิ้งจะเล่นกู่เจิงเก่งขนาดนี้ บทเพลงนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก สะกดใจผู้ได้จริง ๆ ”
อันหรูอี้ชะงักไป หันไปมองบนเวที เห็นอันหลิงหลงนั่งบรรเลงกู่เจิงอยู่ริมสุด
นางเล่นกู่เจิงได้ไพเราะจริง ๆ ถึงแม้จะเป็นเพลงที่มีความซับซ้อนขงอตัวโน๊ต แต่นิ้วของนางกลับพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำ เสียงกู่เจิงดังก้องกังวานสะกดใจผู้คนจนรู้สึกได้ถึงความไพเราะที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยม
ราวกับว่าอันหลิงหลง… กลายเป็นคนละคน
บนเวทีนักเต้นร่ายรำอย่างงดงาม ส่วนนักดนตรีก็บรรเลงเพลงอย่างอ่อนหวาน
เสียงกู่เจิงยังคงดังก้องกังวาน เหลิงเยว่ยิ้ม “ฝ่าบาท ทรงคิดเห็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
ซ่งจื่ออานทอดสายมองอันหลิงหลงอย่างแปลกใจ เขานึกไม่ถึงว่านางจะดีดพิณได้ไพเราะเช่นนี้ แต่ก็เพียงแปลกใจเท่านั้น
ซ่งจื่ออานยิ้มและกล่าวว่า “บทเพลงของจิ้งเหลียงเหริน ช่างบรรเลงได้ไพเราะเสนาะหูยิ่งนักราวกับสายน้ำไหลผ่านรื่นเริงแต่สง่างาม”
อันหลิงหลงดีใจจนเกือบบรรเลงผิดพลาด อันหรูอี้ขมวดคิ้วแต่กลับได้ยินซ่งจื่ออานกล่าวต่อ “แต่…หรูอี้เจ้าเองก็เชี่ยวชาญการเล่นกู่เจิงมิใช่หรือ?”
*[1] เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทพิณมีสาย 13 ถึง 25 สาย