หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 54 เป็นสตรีที่น่าสงสาร
บทที่ 54 เป็นสตรีที่น่าสงสาร
บทที่ 54 เป็นสตรีที่น่าสงสาร
‘ฝ่าบาท โปรดสละที่นั่งให้ข้าสักเล็กน้อย’
นี่เป็นคำพูดที่คนทั่วไปจะกล้าพูดออกมาได้หรือ?
สวีเจิ้งเป็นสนมที่กล้าหาญที่สุดในวังหลวง แม้แต่นางก็ยังคิดว่าตนเองนั้นเอาแต่ใจกล้าบ้าบิ่นมากพอแล้ว แต่คำกล่าวของอันหรูอี้กลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
อันหรูอี้ผู้นี้ตอนแรกที่เห็นดูเหมือนจะเป็นคนที่ขี้อายและเจียมตัวหรือว่านี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงของนางหรือ?
หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ในวังแล้ว นางจึงเริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกมางั้นหรือ?
น่าสนใจยิ่งนัก… สวีเจิ้งหัวเราะเบา ๆ มองไปที่เหลิงเยว่ก็เห็นว่านางมีสีหน้าไม่พอใจ “อันกุ้ยเฟย เจ้าช่างไร้มารยาทนัก!”
มุมปากของอันหลิงหลงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย รอดูเรื่องตลกของอันหรูอี้ ทุกคนในราชสำนักต่างจับจ้องมาที่นาง รอคอยให้อันหรูอี้ถูกตำหนิและถูกขับไล่ไปอยู่ในตำหนักเย็น!
แต่ทว่าอันหลิงหลงหารู้ไม่ว่าสิ่งตนเองเฝ้ารอกลับไม่ได้สมหวังอย่างที่ตนตั้งใจไว้
อันหรูอี้ไม่ได้สนใจสีหน้าตกตะลึงของคนอื่น ๆ นางยิ้มอย่างอ่อนโยน ก้มศีรษะลงแล้วกระพริบตาให้ซ่งจื่ออาน “ฝ่าบาท?”
ซ่งจื่ออานลูบจมูกน้อน ก่อนจะขยับตัวไปทางซ้าย ที่นั่งของฮ่องเต้นั้นทั้งใหญ่และกว้างมาก แม้จะนั่งสองคนนั่งก็ไม่เบียดเสียดกัน
ทันทีที่อันหรูอี้นั่งลงซ่งจื่ออานก็เอ่ยกับเหลิงเยว่ว่า “ฮองเฮา วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ มิใช่การหารือใรราชสำนัก ให้ทุกคนสนุกสนานกันเถิด มิต้องเข้มงวดนัก”
เหลิงเยว่กัดฟันกรอดฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ถึงอย่างไรที่นี่ก็ยังมีขุนนางจากราชสำนักอยู่”
“อืม จริงด้วย”ซ่งจื่ออานยิ้มน้อย ๆ แล้วมองไปที่ฉินฟาง “ฉินฟาง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้กับเจ้า เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
ฉินฟางมองไปที่ซ่งจื่ออาน ใบหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึก คำกล่าวของเขาก็ไร้อารมณ์ใด ๆ เช่นกัน “สนมจะนั่งตรงไหนเป็นเรื่องภายในของฝ่าบาท ฝ่าบาทตัดสินใจได้เลย”
แต่เหลิงตู้กลับไม่คิดเช่นนั้น เขามองไปที่อันหรูอี้ที่นั่งข้าง ๆ ฮ่องเต้อย่างไม่สะทกสะท้านในขณะที่บุตรสาวของเขากลับมีสีหน้าไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง แต่ทว่าซ่งจื่ออานกลับไม่ได้สนใจเหลิงเยว่แม้แต่น้อย ปฎิกิริยานั่นทำให้เหลิงตู้ขมวดคิ้วทันที
“ท่านฉินยังเด็ก จึงมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย” เหลิงตู้เอ่ยอย่างช้า ๆ
“ในวังหลวง กฎเกณฑ์คือแนวทางปฏิบัติของทุกคน หากไร้กฎเกณฑ์ ก็จะไร้ระเบียบ กุ้ยเฟย…ช่างกระทำไม่เหมาะสมยิ่งนัก”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อันก่วงเหนิงก็หัวเราะเยาะออกมาทันที “ท่านเหลิงกล่าวได้ดี หากไร้กฎเกณฑ์ก็จะไร้ระเบียบ เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของท่านแม่ทัพฉิน ผู้มีคุณงามความดีย่อมต้องนั่งด้านบน ท่านเหลิงเป็นเพียงเสนาบดีขุนนางขั้นสามของกรมพระคลังมิควรเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยชนะนี้มิใช่รึ?’
สีหน้าเหลิงตู้พลันเย็นชาลง
เพราะสิ่งที่อันก่วงเหนิงเอ่ยมานั้นถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเสนาบดีขั้นสามแต่ฮองเฮาก็ได้รวบรวมขุนนางจำนวนมากที่จงรักภักดีต่อเขา อีกทั่งบุตรชายสองคนของเขาเหลิงเซิงและเหลิงฟางล้วนเป็นโหวเทียบเท่ากับขุนนางขั้นสอง!
แม้เขาจะเป็นเพียงเสนาบดีขุนนางขั้นสาม แต่มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่คอยประจบเขาทำให้เหลิงตู้คิดว่าตนเองมีอำนาจและคุณสมบัติที่จะนั่งอยู่ที่นี่!
น่าเสียดายที่เขายังไม่เคยตระหนักได้ว่าถึงแม้ตนจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งเท่านั้น
อันหรูอี้มองอันก่วงเหนิงด้วยความประหลาดใจ ดวงตานางเป็นประกาย แต่ก็แฝงไปด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างมาก
ซ่งจื่ออานก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าตระกูลอันกับตระกูลเหลิงจะเป็นเหมือนไฟกับน้ำ แต่อันก่วงเหนิงก็มิเคยเผชิญหน้ากับเหลิงตู้โดยตรงในโอกาสเช่นนี้มาก่อน
สีหน้าเหลิงตู้เย็นเยียบ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะหาคำกล่าวใดมาโต้แย้งเขาไม่สามารถอาศัยตำแหน่งขุนนางหรืออำนาจของบุตรตนมาเป็นข้ออ้างได้
เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใดอีก อันหรูอี้จึงนั่งลงอย่างมั่นคงและสง่าสงาม ซ่งจื่ออานยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ จงทำตัวตามสบายเถิด เหตุใดพวกเจ้าต้องใส่ใจกับที่นั่งด้วย”
เขามองไปที่อันหรูอี้ที่นั่งอยู่ข้างกาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนฮองเฮาจะลืมจัดที่นั่งให้อ้ายเฟยข นางย่อมไร้ทางเลือกมิใช่หรือ?”
สีหน้าเหลิงตู้แข็งทื่อ สวีเจิ้งเห็นเหลิงเยว่กำลังขุดหลุมฝั่งตนเองก็อดหัวเราะไม่ได้ “ฮองเฮาคงจะเหนื่อยเกินไป ในเมื่อน้องหญิงเพิ่งเข้าวังอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียม พระองค์ควรเห็นใจนางบ้าง”
อันหรูอี้ยิ้ม “ฮองเฮามีเพียงสองมือ ย่อมมีบางครั้งที่งานยุ่งจนเกินไป โชคดีที่มันเป็นแค่ที่นั่งเพคะ”
ซ่งจื่ออานพยักหน้ายิ้ม “รารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่อ้ายเฟยทั้งสองคำนึงถึงฮองเฮาเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภายภาคหน้าอ้ายเฟยทั้งสองก็ช่วยฮองเฮาจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของฮองเฮาด้วย”
เหลิงเยว่ตกใจ ทันใดนั้นนางก็รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ในตอนนี้อันหรูอี้กำลังได้รับความโปรดปราน นางควรระมัดระวังการกระทำให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้ซ่งจื่ออานจับผิดได้
เมื่อคิดเช่นนี้ เหลิวเยว่ก็จ้องมองไปที่อันหลิงหลงอย่างเย็นชา การกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อยนี้เป็นความคิดของอันหลิงหลง นางโกรธมากที่ได้ยินว่าซ่งจื่ออานจะพาอันหรูอี้ไปต้อนรับฉินฟางจึงยอมทำตามคำยุยงของอันหลิงหลง!
อันหลิงหลงหน้าซีดเผือด นางไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ นางแค่อยากให้อันหรูอี้แย่งความสนใจของนางไปเท่านั้น กลัวว่าเมื่อกลับไปที่ตำหนักคุนหนิงนางคงโดนตำหนิอย่างหนัก
เหลิงเยว่ที่กำลังจะเอ่ยขึ้น นางคิดคำกล่าวไว้ในใจแล้วย่อมไม่พ้นเรื่องแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้
แต่อันหรูอี้กลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “ฝ่าบาททรงล้อเล่นแล้ว หรูอี้เพิ่งเข้าวัง แม้แต่เรื่องในตำหนักของตนเองยังจัดการไม่เรียบร้อย แล้วจะไปจัดการเรื่องในวังหลวงได้อย่างไร?”
ซ่งจื่ออานไม่ได้แปลกใจ พยักหน้าแล้วมองไปที่สวีเจิ้ง “สิ่งที่อันอ้ายเฟยเอ่ยนั้นมีเหตุผล เช่นนั้นเจิ้งเอ๋อร์ภาคหน้าจงจงช่วยฮองเฮาด้วย”
สวีเจิ้งรับคำด้วยความยินดี “หม่อมฉันจะตั้งใจช่วยฮองเฮาอย่างเต็มที่ เพียงแต่หม่อมฉันมีความสามารถจำกัด คงจัดการได้แค่เรื่องโต๊ะและเก้าอี้เท่านั้นเพคะ”
คำกล่าวนี้แฝงไปด้วยเสียดสีอย่างรุนแรง ส่วนสวีเก๋อชวนที่อยู่ด้านนอกกลับหัวเราะออกมา
เหลิงตู้เพิ่งเสียดสีอันหรูอี้ไป เหลิงเยว่ก็ทำผิดพลาดเรื่องเก้าอี้ของนาง ถ้าฮ่องเต้น้อยไม่ฉวยโอกาสนี้สั่งสอนเหลิงเยว่สักหน่อยก็แปลกแล้ว
แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นสวีเจิ้งที่ดูจะได้จะชนะในสงครมเย็นครั้งนี้ สวีเก๋อชวนรีบพูดเสริม “สวี้กุ้ยเฟย การได้ช่วยฮองเฮานั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง บิดาปรารถนาให้เจ้าทุ่มเทอย่างเต็มที่”
สวีเจิ้งยิ้ม “ท่านพ่อวางใจเถิด ลูกจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”
เหลิงตู้กำหมัดแน่นแต่ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก อันก่วงเหนิงเองก็ไม่ต้องการให้อันหรูอี้เข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก จึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเช่นกัน
อันหรูอี้มองดูทุกอย่างอย่างเย็นชา สายสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างราชสำนักและวังหลัง ถูกเผยออกมาอย่างชัดเจนภายในบทสนทนาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคนี้
ภายนอกอาจดูเหมือนการแย่งชิงอำนาจในวังหลัง แต่แท้จริงแล้วคือการต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ในราชสำนักเบื้องหน้า เหลิงตู้สูญเสียอำนาจ ทำให้เหลิงเยว่ถูกกดดัน ส่วนสวีเจิ้งกลับได้อำนาจนั้นมา
แม่ทัพสวีจึงได้ประโยชน์ไปโดยปริยาย อันก่วงเหนิงและเหลิงตู้ต่างเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่คนหนึ่งพ่ายแพ้ ส่วนอีกคนยังคงวางตัวเป็นกลาง เช่นเดียวกับเหลิงเยว่และอันหรูอี้
เหล่าสนมในวังหลังล้วนมีตระกูลและเครือญาติที่เกี่ยวข้องกับขุนนางในราชสำนัก ถึงแม้จะมีกำแพงวังหลวงกั้นกลางแต่ก็ไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์นี้ได้ ราวกับมีมืออันมืดมิดคู่นึงค่อย ๆ ก่อกวนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง
ฉินฟางหันไปมองซ่งจื่ออาน เห็นว่าซ่งจื่ออานก็กำลังมองมาที่ตนเช่นกัน จึงพยักหน้าให้กันอย่างรู้กัน
ดูเหมือนสถานการณ์ในเมืองหลวงกำลังเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว และมือที่ก่อพายุลูกนี้ขึ้นมา… ก็คือซ่งจื่ออาน
หากเป็นเช่นนั้น…
ฉินฟางขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่างานเลี้ยงฉลองชัยชนะจะยังไม่เริ่มขึ้น แต่เขาก็มองเห็นชัดเจนแล้วว่า อันหรูอี้คืออาวุธของเขา คือโล่กำบังของเขาและคือเป้าที่โดดเด่นที่สุดที่เขาตั้งขึ้นมา…
…และนางยังเป็นสตรีที่น่าสงสารเช่นกัน