หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 53 หลีกทางให้
บทที่ 53 หลีกทางให้
บทที่ 53 หลีกทางให้
สายลมแห่งชัยชนะพัดพาขุนศึกผู้เกรียงไกรกลับสู่มาตุภูมิ องค์ฮ่องเต้เสด็จออกมารับด้วยพระองค์เอง ม้าศึกแสนสง่างามประดับประดาอย่างงดงามจ่อรออยู่เบื้องหน้า
ถนนใหญ่ในเมืองซีจิ้นเต็มไปด้วยผู้คน ทหารห้าพันนายถูกนำไปประจำการในค่ายทหารในเมือง เมืองหลวงซีจิ้นกว้างใหญ่ แม้จะมีทหารถึงห้าพันนายแต่ก็ยังคงเหลือพื้นที่ว่างอยู่
ทันทีที่เหล่าทหารเข้าที่พัก ราชโองการของฮ่องเต้ก็ถูกประกาศออกมา
ทหารตระกูลฉินผู้มีความดีความชอบจากการรบ ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นจะได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโท ร้อยเป็นกองพัน กองพันเป็นกองหมื่น กองหมื่นเป็นรองแม่ทัพ พร้อมได้รับเงินรางวัลตั้งแต่สามพันเหรียญถึง สามแสนเหรียญและจัดงานเลี้ยงฉลองสามวัน
สำหรับทหารกล้าที่ปกป้องชายแดนและเป็นผู้นำในการรบ ตระกูลและญาติพี่น้องจะได้รับเงินรางวัลสองตำลึงเงิน ชื่อของพวกเขาจะถูกจารึกไว้ในวีรบุรุษานุสรณ์ และทหารอีกหนึ่งหมื่นนายที่ร่วมรบในศึกครั้งนี้จะได้รับเงินรางวัลคนละสามตำลึงเงิน
สำหรับคนทั่วไป หนึ่งตำลึงเงินเพียงพอเลี้ยงครอบครัวสามคนได้ทั้งปี สามตำลึงเงินอาจดูน้อย แต่สำหรับทหารระดับล่างแล้ว ถึงแม้จะนำไปดื่มเหล้าเที่ยวเตร่ทุกวัน ก็ยังพอใช้ได้ถึงหกเดือน
ส่วนทหารผู้เคยผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน จะได้รับเงินรางวัลสามหมื่นเหรียญถึงสามแสนเหรียญซึ่งเท่ากับสามสิบตำลึงเงิน ถึงสามร้อยตำลึงเงิน
เหตุผลที่ใช้ ‘เหรียญ’ในการคำนวณนั้น ซ่งจื่ออานได้อธิบายกับฉินฟางอย่างจริงใจว่า ‘เช่นนี้จำนวนเงินจะดูเยอะ ฟังแล้วดูดีกว่า’
ฉินฝางมองเขาเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยอันใด
จริง ๆ แล้วเขารู้ดีว่าเบื้องหลังเหตุผลที่ฟังดูตลกขบขันนี้ ต้องมีความอึดอัดใจที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
เพราะการทุจริต เงินในกรมคลังถูกตระกูลเหลิงยักยอกไปมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ความโกรธแค้นของฮ่องเต้องค์ที่ก่อสงครามทำให้กำลังของประเทศถูกใช้จนหมดสิ้น ทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้เแก่ซ่งจื่ออาน ยิ่งกว่านั้น ช่วงสองปีนี้ดินแดนเจียงหนานประสบภัยพิบัติไม่หยุด ต้องใช้เงินช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศ
กรมอาญาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแคว้นเจ้อเจียงพบว่า ตระกูลเหลิงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยักยอกเงินช่วยเหลือและรับสินบน
แม้ซ่งจื่ออานไม่ได้กล่าวออกมาตรง ๆ แต่ฉินฟางพอจะเดาได้ว่ามีอะไรผิดปกติ เพราะซ่งจื่ออานในอดีตนั้นใจกว้างมากแต่ตอนนี้กลับระมัดระวังมากขึ้น
เขาเผชิญหน้ากับความเป็นความตายในสนามรบ ในขณะที่ซ่งจื่ออานก็ต้องเผชิญกับพายุร้ายในราชสำนักเช่นกัน
“มิต้องกังวล” ฉินฟางมองไปยังพระราชวังที่ใกล้เข้ามาทุกที โดยไม่ละสายตา “ชายชาติชาตรีในกองทัพตระกูลฉินของข้า เข้าใจฝ่าบาท”
ดวงตาของซ่งจื่ออานสั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายปีพลุ่งพล่านขึ้นในใจ เขามองไปที่ฉินฝาง “…ขอบใจเจ้า”
ฉินฟางส่ายหัว “ฝ่าบาท ตอนนี้พระองค์คือฮ่องเต้ มิใช่องค์ชายที่อยู่ใต้การดูแลของอาจารย์ มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณข้า”
“ฮ่า ๆ เจ้ายังคงยึดมั่นในกฎระเบียบเช่นเดิม” ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์จากไปแล้ว สิ้นชีพอย่างสงบ ข้าไปส่งเขาแทนเจ้าแล้ว”
มือที่กำบังเหียนแน่นขึ้น ฉินฟางหลับตาแน่นแล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “…ท่านปู่กล่าวโทษข้าหรือไม่?”
“มิเคย ท่านอาจารย์มิเคยกล่าวโทษเจ้า” ซ่งจื่ออานกระพริบตา มองไปยังสตรีที่ยืนอยู่หน้าประตูวัง “ท่านอาจารย์ภูมิใจในตัวเจ้า และหวังว่าเจ้าจะปลอดภัย ท่านยังขอร้องให้ข้าปกป้องเจ้าด้วย และข้าก็รับปากแล้ว”
ฉินฟางสูดหายใจเข้าลึก ๆ คลายมือจากบังเหียน ยกมือขึ้นป้องตา
“ขอบใจ… ขอบใจเจ้ามาก”
ไม่มีบทสนทนาใดอีก ทั้งสองมาถึงหน้าประตูวังพร้อมกัน และลงจากม้าพร้อมกัน
อันหรูอี้แต่งกายอย่างงดงาม งามจนตะลึง รัศมีของนางเปล่งประกายสะดุดตา โดยมีเซี่ยเหิงยืนอยู่เคียงข้างคอยปกป้องนาง ในวันเช่นนี้ ฮองเฮาเหลิงเยว่กลับถูกปล่อยให้นั่งรออยู่ในงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆ
ฉินฟางไม่แปลกใจเลย เขาเพียงแค่มองอันหรูอี้ผ่าน ๆ แม้แต่ความตื่นตะลึงก็ไม่แสดงออกแม้แต่น้อย สายตาจ้องมองไปข้างหน้า สบตากับเซี่ยเหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อันหรูอี้
เซี่ยเหิงรู้สึกขนลุกซู่ เขาขยับตัวไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ครึ่งก้าว
อันหรูอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ความสนใจของนางก็ถูกขัดจังหวะเมื่อซ่งจื่ออานคว้ามือของนางไว้ “หรูอี้ เขาคือฉินฝางสหายที่ดีที่สุดของข้า”
ฉินฝางจึงหันมามองอันหรูอี้อย่างจริงจัง สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊อยู่ด้านหลัง ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุยกันที่หน้าประตูวัง ซ่งจื่ออานยิ้มให้อันหรูอี้อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด เข้าวังกัน”
…
งานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่จัดขึ้นด้านนอกตำหนักไท่เหอมีขนาดใหญ่มาก บนบันไดที่ปูด้วยพรมสีแดงสด มีโต๊ะหยกขาววางเรียงรายอยู่สองข้าง มีเก้าอี้สี่ตัววางชิดกัน จัดไว้สำหรับพระสนมทั้งสี่ ส่วนด้านล่างบันไดมีเก้าอี้หกตัว จัดไว้สำหรับขุนนางระดับสูงหกคน
ที่นั่งของฮองเฮาอยู่ทางด้านขวาสุดของแถวหน้า เป็นเก้าอี้สีเหลืองทองอร่ามเช่นเดียวกับเก้าอี้ของฮ่องเต้ เหลิงเยว่ประทับอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
บนเก้าอี้ทั้งสี่ สวีเจิ้งและซ่างกวนหมิงหมิงนั่งอยู่ทางซ้าย อันหลิงหลงและเจิ้งจื่อหรงนั่งอยู่ทางขวาต่างก็พากันนั่งนิ่งเงียบ
สวีเจิ้งสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว ลายดอกบัวที่ปักอยู่บนชุดยิ่งขับให้ความอ่อนหวานของนางเด่นชัดขึ้น ริมฝีปากบางของนางเผยรอยยิ้ม เอ่ยขึ้น “วันนี้อากาศดี อีกทั้งยังเป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่ฝ่าบาททรงจัดขึ้นเอง เหตุใดสีหน้าของฮองเฮาถึงดูมิค่อยดีนักเพคะ”
เหลิงเยว่มองนางด้วยหางตา งานเลี้ยงเช่นนี้ขุนนางระดับสูงล้วนต้องมาร่วมงาน เหลิงตู้ก็เช่นกันนางไม่ต้องการโต้เถียงกับสวีเจิ้งในเวลานี้
“ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องงานเลี้ยงให้ข้า ข้าย่อมต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ มิให้เสียความไว้วางใจของฝ่าบาท ดังนั้นเมื่อคืนจึงเข้านอนดึกไปเล็กหน่อย ย่อมเทียบกับน้องสาวที่ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ไร้เรื่องกังวลมิได้”
สวีเจิ้งหัวเราะเบา ๆ “สมกับเป็นฮองเฮา เป็นบุคคลสำคัญ มีตำแหน่งสูงส่ง ต้องทุ่มเทกับทุกเรื่อง มิเหมือนกับน้องหญิงคนนี้ ปกติได้แค่รดน้ำตดอกไม้ เล่นกับนก แม้แต่ตอนนอนยังรู้สึกเบื่อเลย”
เหลิงเยว่กัดฟัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าสวีกุ้ยเฟยรู้ตัว ก็น่าจะเรียนรู้กฎระเบียบของวังหลังให้ดีเสียหน่อยหรือไม่?”
“น้องหญิงเทียบกับพี่หญิงเรื่องกฎระเบียบมิได้หรอกเพคะ” สายตาของซูเจิ้งกวาดมองไปรอบๆ “แต่น้องหญิงเพิ่งสังเกตเห็นว่า เหตุใดที่นั่งถึงดูเหมือนจะขาดไปหนึ่งที่ล่ะเพคะ?”
เหลิงเยว่หรี่ตาลงเลฌกน้อย “ขาดตั้งแต่เมื่อใด ข้าทิทันสังเกตเห็น”
สวีเจิ้งหัวเราะเย็นชา “ที่นั่งของอันกุ้ยเฟย มิทราบว่าฮองเฮาจัดไว้ที่ใดหรือเพคะ?”
แสร้งทำเป็นห่วงใย แต่แท้จริงแล้วต้องการหาเรื่องอันหรูอี้ มิใช่ว่าอยากจะไล่อันหรูอี้ไปจากงานเลี้ยงนี้หรอกหรือ? สวีเจิ้งจะไม่ยอมให้นางสมหวังอย่างแน่นอน
เหลิงเยว่ยิ้มเยาะ “มีเรื่องให้ทำมากมาย ผิดพลาดบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ให้นางมาร่วมงานครั้งหน้าย่อมได้”
สวีเจิ้งยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เร่งรีบ หันไปมองอันหลิงหลง “จริง ๆ แล้ว ,มิจำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่ให้ผู้ใดสักคนลุกออกจากที่นั่งก็พอแล้ว หรือว่ากุ้ยเฟยจะต้องหลีกทางให้สนมชั้นผู้น้อย ข้าไม่เคยเห็นกฎเช่นนี้มาก่อน”
ดวงตาของอันหลิงหลงเย็นชาลง เหลิงเยว่ปรายตานางอย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่งก็หันไปสบตากับอันหลิงหลง อันหลิงหลงเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
เหลิงเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของนางเลื่อนไปที่เจิ้งจื่อหรง ขณะที่เหลิงเยว่กำลังจะเอ่ยปาก แต่แล้วเสียงของซ่งจื่ออานก็ดังขึ้น
“เหล่าขุนนางทั้งหลาย ฉินฝางเจ้าไปนั่งที่นั่งแรกทางซ้ายมือของเรา!
เหลิงอ้ายชิง*[1] วันนี้ข้าอารมณ์ดียิ่งนัก รบกวนท่านลุกออกจากที่นั่งหน่อย”
เหลิงตูหัวเราะลั่น “ฝ่าบาทตรัสเช่นนั้นได้อย่างไร วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ แน่นอนว่าต้องให้วีรบุรุษนั่งก่อน”
ในเมื่อคนมาถึงแล้ว จะให้กลับไปก็มิได้ เหลิงเยว่มองสวีเจิ้งอย่างเย้ยหยัน สวีเจิ้งขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนช้า ๆ มองไปที่บันไดด้านล่าง
ซ่งจื่ออานและฉินฝางเดินเคียงข้างกัน มีอันหรูอี้และเซี่ยเหิงเดินตามหลังมา ตามด้วยเหลิงตูแล้วก็สวีเก๋อชวนซึ่งเป็นบิดาของซูเจิ้ง ตามด้วยอันก่วงเหนิงและรองแม่ทัพอีกหลายคนที่สร้างผลงานในครั้งนี้
เหล่าขุนนางก้าวเข้ามาประจำที่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งลง
อันหรูอี้ก้าวเข้ามาเช่นกัน แต่กลับไม่พบที่นั่งของตัวเอง ซ่งจื่ออานก้าวขึ้นไปบนที่นั่งหลัก เห็นอันหรูอี้ยืนอยู่ตรงกลางยืนโดดเดี่ยวจึงเพิ่งนึกขึ้นได้
ในขณะเขากำลังจะเอ่ยปาก แต่อันหรูอี้กลับสะบัดแขนเสื้ ก้าวเข้ามาใกล้เขาอย่างสงบนิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท โปรดสละที่นั่งให้ข้าสักเล็กน้อย”
[1] อ้ายชิง เป็นการเรียกขุนนางอันเป็นที่รัก