หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 52 ฉินฟางหวนคืนสู่วังหลวง
บทที่ 52 ฉินฟางหวนคืนสู่วังหลวง
บทที่ 52 ฉินฟางหวนคืนสู่วังหลวง
“ศึกที่ทะเลทรายโม่เป่ยสิ้นสุดแล้ว ท่านแม่ทัพฉินจะกลับถึงเมืองหลวงในไม่ช้าข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ เจ้าอยากไปหรือไม่”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนักเพ่ยเหมันต์ เสียงทักทายก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างจะมาถึงตัวอันหรูอี้เสียอีก
อันหรูอี้ยกมือขึ้นนวดใบหูอย่างเฉื่อยชา ช่วงนี้นางหลับสบายกว่าที่เคย ต้องขอบคุณราชโองการของซ่งจื่ออานที่ยกเว้นให้นางไม่ต้องเข้าเฝ้าฮองเฮาทุกวัน ทำให้นางมีเวลาว่างมากมาย
เมื่อเห็นนางไม่ตอบ ซ่งจื่ออานก็พลิกตัวขึ้นไปนอนบนเตียง กลิ้งไปมากับนางจนเส้นผมของทั้งคู่พันกันยุ่งเหยิง
อันหรูอี้ยิ้มมุมปาก “ตอนที่เราพบกันครั้งแรก ข้าจำได้ว่าท่านดูลึกลับ น่าเกรงขาม แต่วันนี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ยิ่งอยู่ในวังท่านยิ่งแสดงละครเก่งขึ้นนะ”
ทำตัวราวกับเด็กที่ซุกซนอยู่บนเตียงเช่นนี้ เป็นท่าทางของฮ่องเต้ตรงใดกัน!
“เจ้าต่างหากที่สุขุมเกินไป” ซ่งจื่ออานหัวเราะออกมา “เจ้าอย่าลืมสิว่าพวกเราสองคนอายุรวมแค่จะสามสิบห้าปีเท่านั้น”
อันหรูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “บางทีข้าอาจจะจำเรื่องราวในชาติที่แล้วได้ ถ้านับรวมกัน อายุของข้าคงสามสิบห้าสามสิบหกปีแล้วกระมัง”
ซ่งจื่ออานหัวเราะพลางยื่นมือไปลูบที่เอวนางเบา ๆ “อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย เรื่องงานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่ข้าบอกเจ้า เจ้าอยากไปหรือเปล่า?”
“ชัยชนะครั้งใหญ่โม่เป่ย แม่ทัพฉินผู้กลับมาอย่างมีชัยคนนั้นเป็นผู้ใดกันหรือ?” อันหรูอี้ยิ้มอย่างแฝงความนัย “ดูท่านดีใจเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าคนผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ท่านเลือก”
“ฉินฟาง” ซ่งจื่ออานเอ่ยชื่อนั้นออกมาพร้อมกับใช้มือเท้าคาง “เขาอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี เป็นนักรบที่เก่งกาจและเคยเป็นสหายร่วมเรียนของข้า เขารังเกียจการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เหตุผลที่เขาไปโม่เป่ยก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก”
อันหรูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หากอย่างนั้น เขาก็เป็นคนเย็นชาพอสมควรใช่หรือไม่?”
เป็นถึงสหายคนสนิทเห็นซ่งจื่ออานตกอยู่ในวังวนแห่งอำนาจกลับเลือกที่จะจากไปเช่นนั้นหรือ?
แต่ทว่าซ่งจื่ออานกลับส่ายหน้า “มิใช่เช่นนั้น ฉินฟางเป็นคนที่ภายนอกเย็นชาแต่ภายในอบอุ่น และเขามีมุมมองที่กว้างไกล ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาเป็นแค่สหายร่วมเรียนกับข้า ย่อมไร้ความสามารถที่ช่วยเหลือข้าได้ แต่ถ้าเขาสร้างผลงานกลับมาอย่างสง่างาม… สถานการณ์ก็จะแตกต่างออกไป”
อันหรูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านหมายความว่า… เขาออกไปรบเพื่อท่าน?”
“โอกาสพาไปเสียมากกว่า” ซ่งจื่ออาน กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่โบราณกาล เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ชายแดนย่อมเกิดศึกสงคราม ผู้ที่ฉวยโอกาสก่อกบฏมีมากมายนับไม่ถ้วน บัลลังก์ถูกเปลี่ยนมืออย่างกะทันหันเท่าใด สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น”
“ดังนั้น ทุกครั้งที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ จะมีพระราชโองการให้แม่ทัพที่ประจำการชายแดนและเจ้าเมืองต่าง ๆ มิต้องรีบเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อไว้ทุกข์ในทันที”
อันหรูอี้เข้าใจในทันที นางเติบโตมาในเรือนที่คับแคบเรื่องภายในจวนนางอาจเชี่ยวชาญ แต่เรื่องการทหารและการเมืองของราชสำนักนางแทบไม่รู้เรื่องเลย
ซ่งจื่ออานยิ้มบาง ๆ “ฉลาดมาก”
อันหรูอี้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดวงตาเป็นประกาย เท้าแขนมองลงมาที่ซ่งจื่ออาน ผมยาวสลวยดุจสายน้ำตกบดบังใบหน้าทั้งหมดของซ่งจื่ออานจนมืดมิด สิ่งที่เห็นมีพียงใบหน้ายิ้มแย้มของอันหรูอี้ที่ปรากฏแก่สายตา
“ข้าได้ยินมาว่า ในหมู่ทหารที่ไปออกรบที่โม่เป่ยมีสตรีเข้าร่วมรบจำนวนมาก จริงหรือไม่?”
ซ่งจื่ออานมองนางอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่งจึงได้สติ ก่อนจะตอบสนอง พยักหน้าเล็กน้อย “จริงอย่างที่เจ้าได้ยิน”
ซ่งจื่ออานอึ้งไปเล็กน้อย แต่เดิมเขาก็แค่ถามนางไปเรื่อยเปื่อย ไม่คิดว่าอันหรูอี้จะเอ่ยถามกลับเขาเช่นนี้
กองทัพหญิงแห่งโม่เป่ยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกแคว้น จากรายงานชัยชนะของฉินฟาง กองทัพส่วนใหญ่ของโม่ป่ยล้วนเป็นผู้หญิง ตอนแรกพวกเขาไม่สนใจที่จะสู้รบกับกองทัพสตรีเหล่านี้ คิดว่าเป็นเพียงข่าวลือที่เกินจริงแต่หลังจากปะทะกันครั้งแรกพวกเขาก็พบว่าตัวเองประมาทเกินไป
สตรีแห่งโมเป่ยไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่ยังมีความสามารถในการสู้รบไม่แพ้ชายฉกรรจ์ของแคว้นซีจิ้น หลังจากพ่ายแพ้หลายครั้งฉินฟางจึงตระหนักได้ว่าตัวเองประมาทเพียงใด
แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว โม่เป่ยเป็นดินแดนที่แห้งแล้งหากไม่ใช่เพื่อปกป้องพรมแดน แทบจะไม่มีผู้ใดเต็มใจไปรบที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพที่ส่งไปส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศของโม่เป่ย ทำให้การสู้รบเป็นไปอย่างยากลำบาก
ในสมัยของอดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้แคว้นโม่เป่ยจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เคยล่วงล้ำพรมแดน มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พวกเขากลับยกทัพมารุกรานดินแดนอันอวิ๋นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่รีบจัดการ ข้าเกรงว่าแคว้นเล็ก ๆ ที่อยู่ชายแดนอาจจะคิดก่อกบฏยึดครองแผ่นดินใหญ่
ตอนที่ขุนนางท้องถิ่นรายงานเรื่องนี้ต่อราชสำนัก ไม่ต้องพูดถึงแม้แต่เขา แม้แต่ขุนนางในราชสำนักก็ไม่ได้สนใจแคว้นเล็ก ๆ เหล่านี้ จนกระทั่งฉินฟางพ่ายแพ้ครั้งแล้วเครั้งเล่า พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าดูแคลนแคว้นนี้มากเกินไป
แม้ว่ากองทัพของโม่เป่ยจะแข็งแกร่ง แต่ชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้มักเกิดความขัดแย้งภายใน ฉินฟางจึงใช้โอกาสนี้โจมตีและขับไล่พวกเขากลับไปได้
และนั่นเป็นเพียงการขับไล่ ไม่ใช่การกวาดล้าง
ถึงกระนั้นชัยชนะครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ราชสำนักตกตะลึง เพราะฉินฟางอายุเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อันหรูอี้ก็รู้สึกทึ่งไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในใจนางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของแม่ทัพหญิงที่ขี่ม้ารบพุ่งไปทั่วสนามรบ แม้จะรู้ว่าพวกนางเป็นศัตรู แต่นางก็อดชื่นชมไม่ได้
“ในเมื่อเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ข้าก็อยากพบเขาสักครั้ง” อันหรูอี้เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “งานเลี้ยงฉลองชัยชนะจะจัดขึ้นที่ใดหรือ?”
ซ่งจื่ออาบโอบกอดนางแน่นขึ้น ปัดปอยผมที่ร่วงหล่นลงมาบนใบหน้าออกอย่างแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เพื่อความสะดวกของเจ้า เช่นนั้นงานเลี้ยงจะจัดขึ้นในวังหลวง ที่ท้องพระโรงตำหนักไท่เหอ”
อันหรูอี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดซ่งจื่ออานถึงชอบกอดนางนัก แต่สำหรับนาง การกอดที่อ่อนโยนเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าการจุมพิตเสียอีก
อันหรูอี้ยิ้มน้อย ๆ นึกถึงถ้อยคำของเหลิงตู้ที่งานเทศกาลโคมไฟ อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นางไม่รู้ว่าควรจะสงสารใครดี…
…
สองวันต่อมานอกเมืองหลวงทหารห้าพันนายเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
ทหารยามและชาวบ้านต่างยืนต่อคอชม บนท้องถนนที่ว่างเปล่า ธงต่าง ๆ ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบราวกับกองทัพ
แม่ทัพที่นำทัพมีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยว บนใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความแห้งแล้งจากการเดินทางกลับมาจากทะเลทราย ลมและทรายได้ทิ้งรอยแผลเป็นจาง ๆ ไว้บนหลังมือของเขา แต่แววตาของเขากลับลุกโชนราวกับเปลวไฟ
“เรากลับมาแล้ว…” ฉินกงซู รองแม่ทัพควบม้าเข้ามาใกล้ มองกำแพงเมืองสูงตระหง่าน บนกำแพงที่ผ่านกาลเวลามายาวนานปรากฏรอยดาบจากการสู้รบ ธงมังกรดำของแคว้นซีจิ้นโบกสะบัดอยู่บนกำแพง
“กลับมาแล้ว…” ดวงตาของฉินกงซูเป็นประกาย “ท่านพี่ ในที่สุดเราก็กลับมาแล้ว”
ฉินฟางลูบม้าคู่ใจของเขาอย่างเผลอไผล รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งขรึม ทำให้เขาดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ แต่เพียงชั่วครู่ เขาก็เก็บรอยยิ้มนั้นไว้ และกลับมาเย็นชาเช่นเดิม “ไปกันเถิด”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นชาวบ้านคุกเข่าลงพร้อมเพรียงกัน เบื้องหน้าคือฮ่องเต้หนุ่มที่ควบม้ามาเช่นกัน
เบื้องหลังของพระองค์คือขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่สายตาของฉินฟางจดจ้องไปที่ซ่งจื่ออานเช่นเดียวกับซ่งจื่ออานที่จ้องมองมาที่เขา
ขุนนางกำลังจะคุกเข่าลง แต่ซ่งจื่ออานก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน “วีรบุรุษผู้กล้าหาญ มิจำเป็นต้องคุกเข่าต่อเรา”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินฟางอีกครั้ง เสียงของเขาดูบริสุทธิ์ราวกับตอนที่พวกเขาจากกันเมื่อหลายปีก่อน “ฝ่าบาท… กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของซ่งจื่ออานเป็นประกาย เมื่อได้เห็นท่านแม่ทัพที่สูงกว่าเขาเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ เขาก็หัวเราะเสียงดังก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า
ฉินฟางเองก็เช่นกัน
ซ่งจื่ออานก้าวเข้าไปหาฉินฟางด้วยความตื่นเต้น โอบกอดเขาแน่น “ฉินฟาง! เราเฝ้ารอเจ้ามาสามปี!”
สามปี! ในที่สุดแผนการของเขาก็เริ่มต้นขึ้นเสียที!