หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 51 ทายาทแห่งราชบัลลังก์
บทที่ 51 ทายาทแห่งราชบัลลังก์
บทที่ 51 ทายาทแห่งราชบัลลังก์
หลังจากพิธีการแต่งตั้งกุ้ยเฟยได้จบลงแล้ว ผู้ที่ไม่มีบทบาทสำคัญอันใดก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ สวีเจิ้งปลายตามองเหลิงเยว่ที่หน้าดำคล้ำ แล้วอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินทางกลับตำหนัก
หากเป็นไปได้เหลิงเยว่อยากฉีกหน้ายิ้มนั่นให้ขาดวิ่น แต่น่าเสียดายที่ตำแหน่งนางตอนนี้นางเป็นฮองเฮา
เหลิงเยว่ค่อย ๆ เดินลงบันได เหลือบมองอันหลิงหลงแต่ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา อันหลิงหลงเพียงพยักหน้าแล้วหันไปเดินตามหลังเหลิงเยว่
ซ่างกวนหมิงหมิงสบตากับเจิ้งจื่อหรง ทั้งสองต่างพากันขมวดคิ้วกับท่าทางของนาง
“อันหลิงหลงนางช่างกล้าเกาะฮองเฮาจริง ๆ นางมิรู้หรือว่าตระกูลเหลิงกับตระกูลอันเป็นศัตรูกัน การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูกับตระกูลอัน”
เจิ้งจื่อหรงยังคงรักษาสีหน้าไม่เปลี่ยน นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หรือว่า… เจ้าควรจะพูดว่า อันหลิงหลงมิเคยสนใจตระกูลของตัวเองเลยต่างหาก”
“สนใจแต่ตัวเองงั้นหรือ?” ซ่างกวนหมิงหมิงหัวเราะเยาะ “สุดท้ายแล้วนางก็เป็นได้แค่คนนอก สักวันหนึ่งนางจะต้องเสียใจกับการกระทำของตัวเอง”
ไม่รู้ว่าบทสนทนานั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ทางด้านอันหรูอี้กับซ่งจื่ออานที่เพิ่งกลับถึงตำหนักเหมันต์ ทั้งสองต่างก็รีบถอดเครื่องประดับและเสื้อผ้าบนตัวออก สวมชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนที่ใส่เป็นประจำแม้แต่ผ้าคลุมไหล่ก็โยนทิ้งไว้บนฉากกั้น
อันหรูอี้นวดคอเบา ๆ นางรู้สึกเมื่อยล้าจนมิอาจทนได้อีกต่อไปจึงปล่อยตัวเองนอนบนเก้าอี้ยาวพร้อมกับหลับลงเพื่อพักสายตา
นางกำลังคิดถึงบิดาอันก่วงเหนิง เขามาพบกับนางด้วยความรู้สึกของบิดาที่กำลังจะส่งบุตรสาวออกเรือน ความโศกเศร้าจากการลาจากยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดที่ไม่ควรจะมีอยู่ในใจของนาง คำเอ่ยสุดท้ายของอันก่วงเหนิงยิ่งทำให้นางรู้สึกหนักใจ
นี่เป็นเพราะสถานการณ์วันนี้พิเศษเกินไปหรืออันก่วงเหนิงมีความรู้สึกผูกพันกับนางอย่างลึกซึ้งกันแน่
นางรู้สึกสับสนไปหมด
ซ่งจื่ออานเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของอันหรูอี้ถึงแม้ว่าเครื่องประดับที่หนักอึ้งเหล่านั้นจะถูกถอดออกไปแล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ยังคงมีเครื่องสำอางประดับอยู่ ยิ่งมองดู เสื้อผ้าบางสีอ่อน ๆ เหล่านั้นกลับยิ่งขับให้ใบหน้าของนางงดงามชวนหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มที่เคยลิ้มรสหวานฉ่ำของนางมาแล้วก็อดใจไม่ไหวเขาดึงร่างอันหรูอี้เข้ามาใกล้ จูบลงไปที่ริมฝากอิ่มอย่างดูดดื่มจนแก้มทั้งสองของนางแดงก่ำ เมื่อเห็นว่านางเริ่มหอบหายใจระรัวซ่งจื่ออานจึงค่อยผละออก
อันหรูอี้มองค้อนใส่เขาทันที “ท่านทำอันใดของท่าน มิรู้สึกเหนื่อยบ้างเลยหรือ?”
ซ่งจื่ออานดึงร่างของนางให้นั่งลงบนตัก โอบกอดนางไว้หลวม ๆ สายตาของเขามองออกไปยังสวนด้านนอก เขายิ้มบาง ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย เจ้านอนพักเช่นนี้ก็พอ”
เขาเองก็กำลังปลอบใจตัวเอง ตลอดพิธีทุกคนต้องรักษากิริยามารยาท ร้องไห้ก็ไม่ได้เต็มที่ ยิ้มกว้างก็ไม่ได้ แม้แต่พูดจายังต้องระมัดระวัง มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง
หลังจากพิธีการที่แสนวุ่นวายผ่านพ้นไปความเงียบสงบก็กลับมาเยือน มันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีใจ แต่กลับเหนื่อยล้ามากกว่า
“ข้ากำลังคิดถึงท่านพ่อ” เสียงของอันหรูอี้แผ่วเบา ราวกับกำลังเอ่ยกับตัวเอง “ท่านพ่อรู้สึกอย่างไรกับข้ากันแน่ ข้าไม่เข้าใจ”
ซ่งจื่ออานก้มหน้าลงเล็กน้อย มองไปที่รอยประทับสีแดงสดบนหน้าผากของอันหรูอี้ มันดูราวกับเลือดสีแดงสด เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นบุตรสาวของเขา อยู่ร่วมจวนเดียวกันมาหลายปีเขาย่อมต้องรู้สึกใจหายบ้าง”
อันหรูอี้ขมวดคิ้ว “แค่ใจหายงั้นหรือ?”
ซ่งจื่ออานไม่ได้ตอบคำถามของนาง
อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง นางส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ท่านป้าชิวจื้อบอกให้ข้าเปลี่ยนนางกำนัลในตำหนัก ข้ามิอยากรบกวนท่าน แต่ข้ามิอยากให้มีคนคอยรายงานเรื่องของข้าออกไปข้างนอก”
“มิเป็นไร ข้าจะให้เซี่ยเหิงหามาให้เจ้า” ซ่งจื่ออานยกยิ้มมุมปาก “แต่อยากได้เหตุผลอันใดในการเปลี่ยนคน เจ้าก็ต้องคิดเองแล้ว”
อันหรูอี้ยักคิ้วเล็กน้อย “วางใจเถิด ตำหนักของข้าเอง ข้าย่อมมิยอมให้ผู้ใดมาบงการ”
ซ่งจื่ออานยิ้มแล้วเคาะหัวนางเบา ๆ “ความมั่นเช่นนี้น่าชังยิ่งนัก แล้วถ้ามีคนบงการเจ้าได้ง่าย ๆ ล่ะ”
อันหรูอี้มองเขาอย่างเงียบ ๆ “เช่นนั้น… เพราะข้าตั้งใจให้เขาบงการ” ไม่ว่าคน ๆ ผู้นั้นจะเป็นผู้ใดก็ตาม
ซ่งจื่ออานไม่ได้เอ่ยอันใดแต่ก็ไม่ได้แก้ต่างเช่นกัน เขาเพียงโอบกอดนางไว้แน่นกว่าเดิมไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ส่วนทางด้านตำหนักคุนหนิง ฮองเฮายังคงประทับอยู่บนบัลลังก์ แม้หลังของนางจะยังคงตั้งตรง สายตาดุดันเช่นเดิมแต่แววตาของนางกลับว่างเปล่า ไร้ชีวิตชีวาราวกับกำลังจ้องมองไปที่ความว่างเปล่า
อันหลิงหลงยืนอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าเหลิงเยว่มไม่ได้มองมาที่นาง แต่นางกำลังจ้องมองไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งด้วยสายตายที่เลื่อนลอยแววตาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด โชคร้ายที่นางบังเอิญนั่งอยู่ในทิศทางนั้นพอดี
หลังจากผ่านไปเนิ่นาน เหลิงเยว่ก็เหมือนเพิ่งได้สติกลับมา นางหัวเราะออกมาเบา ๆ “กาลเวลาผันเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเหลิงเยว่ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พี่สาวที่ดีของเจ้าช่างมีวิธีการจริง ๆ แค่ตำแหน่งกุ้ยเฟยก็มิได้มีอันใดน่ากลัว เรื่องที่ข้าบอกเจ้าไปครั้งก่อน เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?”
อันหลิงหลงก้มหน้าต่ำลงไปอีก “หม่อมฉันเตรียมพร้อมแล้วเพคะ ขอฮองเฮาทรงวางพระทัยเพคะ”
ฮองเฮามองนางด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ต้องเผชิญกับโทสะของฝ่าบาท เจ้าจะทนได้หรือ?”
หัวใจของอันหลิงหลงเต้นแรงขึ้นมาทันที นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีผู้ต่ำต้อย มิอาจกล้าเอื้อมรับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทได้ แต่ถ้าหากหม่อมฉันเป็นประโยชน์แก่ฮองเฮาได้ แม้ตายก็มิเสียใจ ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตหลิงหลิงแล้ว เพื่อพระองค์แล้วอันหลิงหลงจะต้องยืนหยัดให้ได้เพคะ”
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากนางมีโอรสได้ ซ่งจื่ออานอาจจะหันมาสนใจนางมากขึ้น นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี
มุมปากของเหลิงเยว่เผยรอยยิ้มอย่างเย็นชา อันหลิงหลงยังคงไร้เดียงสา คิดจะใช้เรื่องเช่นนี้เพื่อเอามัดใจฮ่องเต้ ซ่งจื่ออานไม่ใช่คนโง่เขลา เขาต้องมองออกอย่างแน่นอน
การกระทำเช่นนี้แทนที่จะได้รับความรัก กลับยิ่งทำให้เขารังเกียจมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อตัวนางเองยังมิได้ให้กำเนิดโอรสถ นางจะยอมให้ผู้อื่นมีลูกก่อนนางได้อย่างไร
แต่บางเรื่อง ต่อให้นางรู้ดี ก็ไม่ควรปริปากเอ่ยออกไป
เหลิงเยว่มองอันหลิงหลง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องโอรสเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม มิว่าจะทำอันใดลงไปก็ล้วนแต่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบทั้งนั้น”
“อีกอย่าง ข้าเป็นถึงฮองเฮา เรื่องโอรสก็สมควรเป็นเรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังโปรดปรานอันหรูอี้ หากทำอันใดผิดไปก็มีแต่จะได้ผลตรงกันข้าม”
อันหลิงหลงเอ่ยถาม “ฮองเฮาตรัสถูกเพคะ แต่พระองค์วางแผนจะทำอย่างไรเพคะ? หากหม่อมฉันพอจะช่วยสิ่งใดได้ หม่อมฉันยินดีทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือพระองค์เพคะ”
เมื่อเห็นดังนั้นอันหลิงหลงจึงรีบคุกเข่าลง เอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ฮฮงเฮาทรงเมตตาหม่อมฉันเกินไปแล้ว เดิมทีหม่อมฉันก็ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างพระองค์อยู่แล้วเพคะ เรื่องความโปรดปรานมิเคยแม้แต่จะคิด หากไม่มีพระองค์ให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉัน ตราบใดที่เป็นคำสั่งของพระองค์แม้จะต้องตาย หม่อมฉันก็ยอมเพคะ”
เหลิงเยว่หัวเราะเยาะภายในใจ อันหลิงหลงกับอันหรูอี้เป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เหมือนหญ้าแห้งที่ตายไปแล้ว ผู้ใดก็ดูออกนางเป็นช่างเป็นเครื่องมือชั้นดี
“อันหรูอี้…” เหลิงเยว่ลุกขึ้นยืน มองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาจับจ้องไปที่กระถางต้นไม้ที่ประตู
ดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม แต่สุดท้ายก็ต้องเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา สถานที่นี่คือวังหลวง ผู้ใดเล่าจะอยู่ยั่งยืนยง?
ยิ่งได้รับความโปรดปรานมากเท่าใด ก็ยิ่งก่อความแค้นมากขึ้นเท่านั้นเฉกเช่นเดียวกับนาง
“อันหรูอี้… ข้าชักสงสารเจ้าแล้วสิ…”