หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 50 ส่งบุตรีออกเรือน
บทที่ 50 ส่งบุตรีออกเรือน
บทที่ 50 ส่งบุตรีออกเรือน
อย่างไรเสียบุตรสาวก็คือบุตรสาว อันหรูอี้คือบุตรสาวที่เกิดจาก ‘หลิวชู’ คนรักที่อันก่วงเหนิงรักที่สุด ใบหน้าของนางยังคงมีเค้าโครงของหลิวชูอยู่ถึงหกส่วน
อันกวางเหนิงยิ้มให้กับอันหรูอี้ พยักหน้าให้นางเบา ๆ ‘มิต้องห่วง บิดาจะมิยอมให้เจ้าเป็นอันใดเด็ดขาด ตระกูลเหลิงกับตระกูลอันบาดหมางกันมานาน ถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องนี้เสียเพื่อบุตรหลานของเราทั้งสองฝ่าย”
บุตรสาวออกเรือนในฐานะพ่อเขาก็ต้องมอบของขวัญชิ้นงามให้นาง
อันหรูอี้ราวกับจะรับรู้ถึงบางสิ่งที่บิดาตนเองสื่อออกมา จู่ ๆ นางก็รู้สึกแสบร้อนที่จมูกขึ้นมาอย่างกะทันหันจนน้ำตาแทบจะไหลรินออกมา
แต่อันก่วงเหนิงกลับส่ายหน้าอย่างช้า ๆ เอ่ยกับนางโดยเปล่งเสียง ‘วันมงคลเช่นนี้ อย่าร้องไห้’
อันหรูอี้พยักหน้าเบา ๆ ความแค้นที่สั่งสมมานานหลายปีราวกับจะเลือนหายไปในชั่วขณะ การจากลาสามารถพรากสิ่งต่าง ๆ ไปได้มากมาย และยังสามารถทำให้คนเรามองข้ามสิ่งต่าง ๆ ไปได้มากมายเช่นกัน
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเอาใจ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ ท่านพ่อของนางให้ความห่วงใยนางอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าพ่อลูกจะไม่ได้เอ่ยอันใดกันสักคำ แต่อันหรูอี้ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แท้จริงจากบิดา
นางหลับตาลงเล็กน้อย เก็บอารมณ์ที่โหยหามากเกินไปในดวงตาลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ฮองเฮาเหลิงเยว่บุตรสาวของเหลิงตู้ที่ทำให้ซ่งจื่ออานเปิดเผยความอ่อนแอและความเจ็บปวดต่อหน้านางเป็นครั้งแรก
ขันทีผู้ถือราชโองการและตราประทับยืนอยู่ด้านข้าง พวกเขายืนนิ่งอยู่ที่ของตัวเองโดยไม่ขยับ
ไม่นานซ่งจื่ออานก็ประทับบนบัลลังก์มังกรในตำหนักยงฮวา ด้านขวามือที่ต่ำลงมาเล็กน้อย เหลิงเยว่ประทับบนบัลลังก์ฮองเฮา ด้านล่างมีเก้าอี้สนับแขนสำหรับสนมเอกสองตัววางอยู่ตรงกลางชั้นที่สอง สวีเจิ้งนั่งอยู่ทางซ้ายส่วนทางขวายังว่างอยู่
ซ่งจื่ออานเอ่ยว่า “ทำพิธีเถิด”
ขันทีถือพระราชโองการม้วนยาว เสียงแหลมดังก้องไปทั่วท้องพระโรง พูดทวนคำพูดเมื่อวันก่อนที่หน้าตำหนักไท่เหอ แต่กลับทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่าเดิม
เพราะที่นี่ไม่ใช่ตำหนักไท่เหอ แต่เป็นตำหนักยงฮวาซึ่งคือสถานที่ที่ใช้สำหรับพระราชพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยของราชวงศ์ซีจิ้นมาทุกยุคทุกสมัย
ซ่งจื่ออานดกลับเอ่ยว่า ‘ขอผูกใจเป็นหนึ่งเดียว’ ต่อหน้าทุกเช่นนี้ แล้วบารมีของฮองเฮาจะเอาไปวางไว้ที่ใดกัน
แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าทักท้วง
สุดท้ายขันทีก็เอ่ยว่า “ด้วยเหตุนี้จงรับพระราชทาน กล่าวขอบพระทัย และรับตราประทับ”
อันหรูอี้ค่อย ๆ คุกเข่าลง ก้มศีรษะอย่างระมัดระวัง เกรงว่าเครื่องประดับจะร่วงหลุด โชคดีที่มันยังคงติดแน่นอยู่บนผม อันหรูอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ยเสียงดังว่า “หม่อมฉันรับพระราชทาน ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี หมื่นๆ ปี”
ซ่งจื่ออานรีบเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด”
อันหรูอี้ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับถือตราประทับกุ้ยเฟยก้าวขึ้นไปบนชั้นที่สองของตำหนักยงฮวาทีละก้าว นั่งลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นสบตาซ่งจื่ออานทั้งสองต่างยิ้มให้กัน
ยามนี้ใบหน้าของเหลิงเยว่ดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น สวีเจิ้งกลับยิ้มเยาะ “เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหมือนมีหินอยู่บนหัว กลัวว่าเผลอ ๆ มันจะหล่นลงมาทับเท้าตนเองหรือไม่?”
อันหรูอี้หัวเราะออกมา คำพูดนี้ช่างตรงใจเหลือเกิน นางมองไปที่สวีเจิ้ง ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่คล้ายคลึงกัน “พี่หญิงล้อข้าเล่นแล้วเพคะ ยามนี้ที่เท้าของข้าก็มีของห้อยอยู่ เดินได้ลำบากยิ่งนักเพคะ”
เหลิงเยว่เอ่ยเสียงเบา “พิธีการยังไม่เสร็จสิ้น หากน้องหญิงทั้งสองจะหารือกัน ค่อยไปว่ากันทีหลังก็ยังมิสาย”
ซ่งจื่ออานแสยะยิ้มมุมปาก สบตากับกุ้ยเฟยทั้งสองโดยไม่ได้เอ่ยอันใด เหลิงเยว่เกือบจะควบคุมสติไม่อยู่แล้ว ซ่งจื่ออานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ หากไม่โกรธก็คงแปลก เพระาสถานะในตอนนี้ของทั้งสองไม่ต่างอันใดจากคำว่า ‘ต่างคนต่างอยู่’
เหลิงยว่หันไปมองด้านนอก เอ่ยว่า “ให้สนมทุกคนเข้ามาคำนับ”
ขันทีพยักหน้าเหงื่อตก รีบทำตามคำสั่งของฮองเฮา จากนั้นก็ถอยกลับไปยังมุมเล็ก ๆ อันมืดมิดของตัวเองอย่างระมัดระวังก้มหน้าก้มตา
อันหลิงหลงเดินอันก่วงเหนิงโดยมิได้สนใจ ส่วนซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ พระสนมและนางกำนัลที่เหลืออยู่ด้านหลัง
หลายวันก่อนพวกนางก็มาด้วยท่าทีเช่นนี้ แต่ตอนนั้นบอกว่ามาเพื่อเข้าเฝ้าฮองเฮา แต่วันนี้กลับเป็นท่าทีคล้ายกันแต่เพื่อเข้าเฝ้ากุ้ยเฟยที่โผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้อย่างอันหรูอี้
ส่วนอันหลิงหลงน้องสาวที่เข้าวังมาก่อนพี่สาว ยังคงอยู่ในหมู่พระสนมและนางกำนัล เรื่องตลกของนางยังคงเล่าลือไปทั่ววัง ผู้คนชอบเยาะเย้ยผู้ที่แพ้ เมื่อมีอันหรูอี้มาเปรียบเทียบความล้มเหลวของนางยิ่งเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้น
คำนินทาเหล่านี้แม้แต่ในตำหนักชูฮวาก็ยังได้ยิน ซิ่วหงพานางไปเดินเล่น พวกเขาก็ซุบซิบนินทานางกันอยู่ข้างหลัง
“พี่สาวทั้งรูปสง่างามและใจกว้าง น้องสาวกลับใจร้อนและจิตใจคับแคบ พี่สาวได้เป็นถึงกถ้ยเฟย ส่วนน้องสาวเข้าวังมาก็ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฮ้อ พี่น้องคู่นี้ช่างน่าสนใจจริง ๆ ”
“ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว จิ้งเหลียงเหรินหน้าตาก็งดงาม แต่นางโง่เขลาเกินไป ไร้สติปัญญาอย่างสิ้นเชิง”
“แม้แต่คืนเข้าหอฮ่องเต้ยังมิสนใจเลย ดูเหมือนว่าฮ่องเต้พาอันหรูอี้กลับมาในคืนนั้น คืนนั้นฮ่องเต้อาจจะ…”
“อย่าเอ่ยอันใดอีกเลย ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่”
“ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะน่ารังเกียจ คำเสียดสีน่าชิงชัง แต่ตอนนี้อันหลิงหลงทำได้เพียงแต่อดทน ขอเพียงอดทนไป สักวันต้องมีโอกาสลงมือ นางไม่เชื่อหรอกว่าอันหรูอี้จะมัดใจซ่งจื่ออานได้ตลอดไป ตราบใดที่ยังมีฮองเฮาอยู่ นางก็ยังมีโอกาสผงาดขึ้นในวังหลังได้!
อีกอย่างฮองเฮาก็บอกแล้วว่าจะช่วยนางขึ้นเตียงมังกร*[1] เพียงแค่มีโอรสให้ได้ อันหรูอี้ก็ต้องยอมให้นางสามส่วน
แค่ตำแหน่งกุ้ยเฟยคนอย่างอันหรูอี้ยังได้ แล้วคนเช่นนางจะไม่คู่ควรได้อย่างไร? ไม่เพียงจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ยังนางจะเป็นแม้กระทั่งฮองเฮา!
ทว่าตอนนี้ ฮองเฮากลับเอ่ยขึ้นว่า “คำนับเถิด”
แม่นมที่อาวุโสที่สุดในวังก้าวออกมากล่าวว่า “คุกเข่า คำนับ”
อันหลิงหลงริมฝีปากซีดเผือด สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟัน ก้มหน้าลงช้า ๆ ค่อย ๆ คุกเข่าลงแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา“หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ หมื่นปี ขอถวายบังคมฮองเฮา ขอพระนางทรงพระเจริญพันปี พัน ๆ ปี พัน ๆ พันปี ขอคารวะสวีกุ้ยเฟย คารวะอันกุ้ยเฟย…”
อันหรูอี้มองต่ำลงไปยังอันหลิงหลงที่เบื้องล่าง อันหลิงหลงในยามนี้กลับเป็นผู้ที่คุกเข่าถวายบังคมอย่างว่าง่ายทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดหรือว่าตำแหน่งกุ้ยเฟยจะทำให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าก่อเรื่องอีกแล้ว ตอนนี้แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามองก็มิกล้าแล้วงั้นหรือ?
อันหรูอี้ไม่สนใจเธอ หลังจานางกำนัลอาวุโสเอ่ยคำว่า ‘เสร็จพิธี’ ซ่งจื่ออานก็ลุกขึ้นยืน เดินผ่านฮองเฮาตรงไปที่หน้าอันหรูอี้ สวีเจิ้งยิ่งยิ้มกว้างขึ้น มองอันหรูอี้ด้วยสายตาที่เข้าใจ ซ้ำยังมีแววสงสารอยู่สองส่วน
“หรูอี้ ไปกันเถิด” ซ่งจื่ออานเอ่ย “วันนี้ข้าไม่ตำหนขักไท่เหอ เรากลับวตำหนักกันเถิด”
อันหรูอี้มองความอบอุ่นในดวงตาของเขา ประกายแสงจาง ๆ ในดวงตาคู่งาม จึงยิ้มบาง ๆ “อืม เรากลับตำหนักกัน”
ซ่งจื่ออานพาอันหรูอี้ออกมา พานางมายืนอยู่ตรงหน้าอันก่วงเหนิง อันหรูอี้เอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ… ร่างกายท่านยังแข็งแรงดีหรือไม่เจ้าคะ? ท่าน…ยังโกรธข้าอยู่หรือไม่?”
อันก่วงเหนิงยิ้มออกมา กลับเป็นท่าทางปล่อยวางอย่างหาได้ยาก
“โกรธอันใด วันนี้บุตรสาวของข้ากับหลิวซูออกเรือน ซ้ำยังออกเรือนให้กับฮ่องเต้แคว้นซีจิ้น ได้อยู่กับคนที่เจ้ารัก บิดาเช่นข้าจะมิมีความสุขได้อย่างไร?”
อันหรูอี้ตื้นตันใจจนยากจะระงับ คำพูดที่จริงใจของอันก่วงเหนิงทำให้นางน้ำตาที่เพิ่งกลั้นไว้แทบจะไหลออกมาในทันที นางอยากจะปล่อยให้มันไหลเพียงใดก็มิอาจทำได้ นางมองอันก่วงเหนิงอย่างดีใจ “ท่านพ่อ ลูกจะกลับไปเยี่ยมท่านบ่อย ๆ นะเจ้าคะ”
อันก่วงเหนิงได้แต่ส่ายหน้า “เด็กโง่เอ๋ย วังหลวงมิใช่ที่ที่อยากจะเข้าออกตามใจได้”
ซ่งจื่ออานประสานมือคารวะ เป็นการคารวะของบุตรเขยต่อบิดา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของแคว้นซีจิน ซึ่งอันก่วงเหนิงสามารถรับการคารวะนี้ได้
เขาเอ่ยว่า “ท่านวางใจเถิด ข้าจะมิให้อันหรูอี้ต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
อันก่วงเหนิงมองฮ่องเต้หนุ่ม ถอนหายใจยาว ประสานมือคารวะเช่นกัน “หวังว่าฝ่าบาท…จะรักษาคำพูด”
[1] หมายถึง เตียงฮ่องเต้