หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 5 โชคชะตาพลิกผัน
บทที่ 5 โชคชะตาพลิกผัน
บทที่ 5 โชคชะตาพลิกผัน
หลิวลวี่นั่งหมอบขวางอนุเซียวไม่ให้ทำร้ายนายตนพลางร่ำไห้ว่า “โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยนายท่าน! คุณหนูใหญ่โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย! ข้าทำผิดพลาดแล้ว…”
“เรื่องราวมันเป็นเช่นใดกันแน่ อนุเซียวเจ้านั่งลงก่อนเถิด!” อัครมหาเสนาบดีบีบคลึงขมับถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
อันหลิงหลงได้ยินคำว่า ‘โจ๊กสมุนไพร’ สามพยางค์นั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก และเตรียมจะเอ่ยบางอย่าง
ก่อนหน้านี้อันหรูอี้ได้เตรียมคำพูดให้กับหลิวลวี่ไว้แล้ว นางจึงไม่เปิดจังหวะให้อันหลิงหลงได้พูดแทรกอันใด หลิวลวี่กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “โจ๊กสมุนไพรนี้ คุณหนูรองมอบให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าสาวใช้ชุนหัวนำไปมอบให้ช้าเลยทำให้โจ๊กสมุนไพรเย็น ข้าจึงนำโจ๊กสมุนไพรไปอุ่นใหม่ในครัวเล็ก มิรู้ด้วยเหตุใดมันจึงไปอยู่ที่สวนชุ่ยอวี้…นี่เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ!”
“เจ้าโกหก! แม้โจ๊กสมุนไพรนี้จะเป็นของที่หลิงหลงให้หรูอี้ก็ตาม แต่ระยะทางจากเรือนไม้ไผ่ถึงเรือนเหมันต์จะไกลเพียงไรกัน! ถึงทำให้โจ๊กสมุนไพรเย็นชืดได้!” หวังซื่อรู้สึกใจคอไม่ดีจึงรีบเอ่ยขัดขวางอย่าง
ชุนหัวก็คุกเข่าลงคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีกกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิได้มีเจตนาส่งมอบให้ช้านะเจ้าคะ แต่ข้าน้อยรอคุณหนูใหญ่เรือนเหมันต์นานเกินไป…”
เมื่อชุนหัวกล่าวออกมาแล้วรู้สึกว่าไม่ควรเอ่ย จึงตกใจปิดปากตนเอง แต่วาจาที่กล่าวออกไปแล้วก็เรียกคืนไม่ได้อีกต่อไป
เพล้ง!
อนุเซียวชูมือขว้างถ้วยชากระเบื้องมรกตใส่อันหลิงหลง อันหลิงหลงเหวี่ยงหน้าหลบถ้วยชากระแทกเบาะรองนั่งไม้จันทน์แตกเป็นเสี่ยง ๆ
น้ำชาจากถ้วยกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของอันหลิงหลงเครื่องหน้าที่ตกแต่งมาอย่างประณีตก็เลอะเทอะไปทั่วใบหน้าของนาง อันหลิงหลงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าชี้นิ้วอนุเซียวแล้วด่าทอนาง “ท่านเสียสติไปแล้วรึ!”
“เจ้าหุบปากซะ!” อัครมหาเสนาบดีชี้นิ้วใส่อันหลิงหลง เขาโกรธจนร่างสั่นเทา
ในที่สุดอันหลิงหลงก็เพิ่งจะตระหนักรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
สาวใช้คนสนิทของนางนั้นโง่เขลาจริง ๆ เพื่อที่จะหาหนทางให้ตนพ้นจากความผิดที่ตนเองไม่ได้ทำจึงยอมรับโดยปริยายว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง!
อันหลิงหลงมองอันหรูอี้ด้วยความสะพรึงกลัว ไม่รู้ว่าเหตุใดอันหรูอี้จึงรู้ทันกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมของนางได้ อันหรูอีฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!จนกระทั่งบีบบังคับให้นางตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้!
หวังซื่อขมวดคิ้วแล้วกระแอมสองสามครั้ง
‘โอ๊ย’ อันหลิงหลงรีบร้องออกมาพลางร้องไห้คร่ำครวญแสร้งทำท่าทางราวกับเพิ่งถูกถ้วยชากระแทกใส่ศีรษะคุกเข่าหมอบลงไปกับพื้น
“ทะ… ท่านพ่อ โปรดยกโทษให้ลูกด้วย ยามนี้ลูกรู้สึกแสบร้อนยิ่งนักลูกขอไปเปลี่ยนชุดและใส่ยาสักหน่อยเถิด มิเช่นนั้นลูกคงจะหมดสติอยู่ที่นี่เป็นแน่”
อัครมหาเสนาบดีสะบัดมืออย่างไม่พอใจ “จะไปก็รีบไป แล้วรีบมาอธิบายว่าเหตุใดโจ๊กสมุนไพรที่เจ้ามอบให้พี่สาวของเจ้าจึงมียาพิษปนอยู่!”
อันหลิงหลงร่ำไห้คร่ำครวญออกจากห้องโถงไป อนุเซียวก็พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตามหลังไปว่า “หึ ไปเปลี่ยนชุดหรือเพราะกลัวความผิดกันแน่”
อันหรูอี้ยิ้มอย่างสง่างาม เดินเข้าไปประคองอนุเซียวให้ลุกขึ้นพลางกล่าวขึ้นว่า “เมื่อความเข้าใจผิดของเราคลี่คลายแล้ว ย่อมดีแล้วเจ้าค่ะ พื้นช่างเย็นนัก อนุเซียวท่านจงลุกขึ้นเถิด”
หวังซื่อมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเพราะในอดีตอันหรูอี้ไม่ชอบสุงสิงกับเหล่าอนุในจวน ทว่าบัดนี้กลับรู้จักเอาใจคน ดั่งกับสุภาษิตที่ว่าสุนัขที่ไม่เห่าหอนมักกัดเจ็บเสมอ*[1]
อนุเซียวรู้สึกปลาบปลื้มกับท่าทีของอันหรูอี้ยิ่งนัก จึงลูบไล้แขนของอันหรูอี้แล้วถอดกำไลทองฝั่งหยกออกจากข้อมือแล้วมอบให้ “เมื่อครู่ข้าเข้าใจคุณหนูใหญ่ผิดไปแล้ว นี่ถือเป็นของกำนัลแทนคำขอโทษจากข้า”
อันหรูอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจึงต้องนำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาทำให้เราทะเลาะกันด้วยล่ะเจ้าค่ะ”
เมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นท่าทางของอันหรูอี้สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าไปนำปิ่นปักผมหยกที่มารดาข้าทิ้งไว้แล้วนำมามอบให้แก่อนุเซียว
อนุเซียววันนี้เจ้าคงตกใจมาก เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด เราสะสางเรื่องนี้ให้แก่เจ้าแน่นอน”
คนใช้ส่งกล่องไม้ใบเล็กหนึ่งใบให้อนุเซียว เมื่ออนุเซียวเปิดดูก็พลันตกใจแล้วรีบปฏิเสธทันที “ท่านพี่… ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะสิ่งนี้มีค่าเกินไป!”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่อันหรูอี้ก็มองเห็นได้ชัดเจนว่า สีหน้าของอนุเซียวเต็มไปด้วยปลื้มปีติ พลางหางตาก็เหลือบไปมองหวังซื่ออย่างเย้ยหยัน หวังซื่อที่นั่งอยู่เบาะไม้ก็มีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปฏิกิริยาอนุเซียว แต่ทว่ามือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อนั้นบิดผ้าเช็ดหน้าแทบขาดเสียแล้ว
ในที่สุดก็สามารถปลอบอนุเซียวให้สงบลงและยอมกลับไปที่เรือนได้ บรรดาอนุภรรยาและสาวใช้ที่อยู่เต็มห้องโถงก็แยกย้ายกันหลับ อันหลิงหลงที่เปลี่ยนชุดใหม่แล้วจึงค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
อันหลิงหลงคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัวว่า “ทะ..ท่านพ่อ ลูกได้สืบสวนความจริงแล้วเจ้าค่ะ เป็นข้ารับใช้ในครัวเล็กที่คิดจะทำร้ายท่านพี่…”
“หืม? ข้ารับใช้ในครัวเล็ก ๆ กล้าที่ลงมือกับเจ้านายของตนเช่นนี้? ข้าเกรงว่าคำพูดของน้องสาวช่างดูไร้เหตุผลยิ่งนัก” อันหรูอี้พูดพร้อมเผยรอยยิ้มสวนกลับคำพูดของอันหลิงหลงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
อันหลิงหลงปิดบังความเกลียดชังในดวงตา จิกเล็บเข้าไปในเนื้อเพื่ออดกลั้น
อันหลิงหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า “แต่ก่อนท่านพี่มีนิสัยเป็นคนคิดสิ่งใดก็มักจะกล่าวออกมาอย่างโจ่งแจ้งโดยมิใดสนใจสิ่งใด ท่านพี่อาจจะ…อาจทำให้ข้ารับใช้ผู้นั้นรู้สึกขุ่นเคืองใจก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“ในเมื่ออันหลิงหลงเลือกข้ารับใช้ผิด ก็ให้กักบริเวณสามเดือน ส่วนข้ารับใช้ที่กระทำผิด จับตัวไปโบยซะ” อัครมหาเสนาบดีตัดสินใจลงโทษเด็ดขาดเพื่อตัดความรำคาญ
จากนั้นเขาก็เดินไปที่ข้างกายอันหลิงหลง กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ยังคงดุดันไว้ “หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็จงคัดลอกตำรา ‘กฎของสตรี’ และ ‘ตำราข้อห้ามของสตรี’ มากขึ้นหน่อย… อย่าให้พี่สาวเจ้าต้องคอยมาเหนื่อยใจกับเจ้าอีกเลย!”
อันหรูอี้เดินตามอัครมหาเสนาบดีออกจากห้องโถงไป โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองอันหลิงหลงที่ทรุดตัวลงอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย
หวังซื่อจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของอันหรูอี้อย่างเคียดแค้น นางรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ที่แต่ก่อนมักทำตัวไม่โดดเด่น ยามนี้นางกลับกลายเป็นศัตรูที่เก่งกาจเสียแล้ว
อัครมหาเสนาบดีมองอันหรูอี้ด้วยแววตาสำนึกผิดพลางกล่าวว่า “ช่วงนี้เจ้าคงจะลำบากมากใช่หรือไม่? ร่างกายเจ้าเพิ่งหายดีแท้ ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องที่ปวดหัวเช่นนี้…”
อันหรูอี้ส่ายหน้าเบา ๆ ดวงตางดงามมองไปที่บิดาของตนและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “ท่านพ่อมิต้องกังวลหรอกนะเจ้าค่ะ ท่านได้ทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมืองในราชสำนักมากแล้ว การที่ลูกเผชิญความลำบากเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ลูกยินดีรับเจ้าค่ะ ลูกไม่อยากเป็นภาระของท่าน”
อัครมหาเสนาบดีรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าบุตรสาวของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วจะมีทั้งสติปัญญาและจิตใจที่งดงามถึงเพียงนี้ เขาเอ่ยด้วยความซาบซึ้งว่า “นับตั้งแต่มารดาของเจ้าสิ้นชีวิตไป ก็ไม่มีใครใส่ใจข้ามากถึงเพียงนี้อีกเลย…”
“ถึงแม้ท่านแม่จะจากไปแล้ว แต่ท่านแม่ต้องคอยเฝ้ามองท่านพ่อแน่นอนเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพ่อโปรดดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะเจ้าค่ะ ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้มิต้องเป็นห่วงท่าน” อันหรูอี้กล่าวลด้วยน้ำเสียงเบา ๆ บนใบหน้าอันงดงามปรากฏความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
อัครมหาเสนาบดีวางมือลงบนบ่าของอันหรูอี้เบา ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่บ้าง ข้าจะทูลฝ่าบาทขอหมอหลวงจากวังมาช่วยตรวจอาการเจ้าให้ละเอียด ยามนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด หากรังนกแดงกับยาตงอาเจียวเจ้าหมดก็ให้ข้ารับใช้มาแจ้งข้าได้ทุกเมื่อ”
บรรดาข้ารับใช้ชายหญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก้มหน้าและส่งสายให้กัน พวกเขาต่างรู้แล้วว่าบัดนี้คุณหนูใหญ่ผู้ที่ไม่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อนกำลังจะพลิกชีวิตแล้ว…
[1] สุนัขที่ไม่เห่าหอนมักกัดเจ็บ สำนวนจีนแปลว่าคนที่อันตรายหรือมีเล่ห์เหลี่ยม มักจะไม่แสดงความร้ายกาจออกมาให้เห็น หรือคนที่ดูเงียบ ๆ เรียบร้อย อาจมีความคิดร้ายหรือเป็นอันตรายแอบแฝงอยู่ก็ได้