หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 49 บิดา
บทที่ 49 บิดา
บทที่ 49 บิดา
ในใต้หล้านี้สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคนเรามีความหมายและเป็นสุขอย่างแท้จริง หนึ่งในนั่นคือการได้มีคนรักที่คอยอยู่เคียงข้างและยังเป็นทั้ง
‘สหาย’ ที่รู้ใจอย่างแท้จริง
‘หากมีสหายแท้เพียงหนึ่ง แม้ตายก็ไม่เสียใจ’ คำกล่าวนี้ไม่เกินเลยแม้แต่น้อยมันคือความจริงที่จับต้องได้
ซ่งจื่ออานไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอันหรูอี้จะเป็นสหายรู้ใจของเขาเช่นนี้ได้ เขารู้ว่านางเป็นสตรีที่งดงามทั้งรูปโฉม มีสติปัญญาปราดเปรื่อง ซ้ำยังเป็นคนสุขุมเยือกเย็น จนบางครั้งมิอาจคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่านางจะเข้าใจความทะเยอทะยานและความปรารถนาของเขา
นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับไม่แปลกใจแม้แต่น้อยหรือบางที นางอาจจะล่วงรู้ถึงก้นบึ้งหัวใจเขามานานแล้วก็เป็นได้
วันนี้เขามีทั้งความรู้สึกโกรธและความรู้สึกยินดีในเวลาเดียวกัน
ความรู้สึกที่หลากหลายประดังเข้ามาจนเขาแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างกายที่ไร้การควบคุมจึงเผลอขยับเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ต้องชะงักภาพที่นางปฏิเสธในวันนั้นก็ผุดขึ้นมา ทำให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่างลงและถอยห่างออกมา
“โง่งมยิ่งนัก…” อันหรูอี้ กลับคว้ามือเขาไว้แนบกับใบหน้าของตนพลางกล่าว “พรุ่งนี้… ข้าก็จะได้เป็นกุ้ยเฟยของท่านแล้ว ตราบใดที่ท่านไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็จะไม่ทอดทิ้งท่าน…”
ซ่งจื่ออานรู้สึกประหม่าขึ้นมา เขามีประสบการณ์ราวกับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีทั่วไป แม้จะเป็นถึงฮ่องเต้แต่ก่อนการคัดเลือกพระสนมในวังหลวงมีเพียงฮองเฮาและกุ้ยเฟยเท่านั้น ถึงเขาจะเคยหลับนอนกับพวกนางมาบ้าง แต่ทว่าในเวลานี้เขากลับทำตัวไม่ถูก
“เจ้า…”ซ่งจื่ออานหายใจติดขัด “เจ้า… ตกลงแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าอยากลองเดิมพันดูสักครั้ง” อันหรูอี้โอบกอดเขาอย่างช้า ๆ สายตามองไปยังหินหยกบนโต๊ะ “เดิมพันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี ข้าจะช่วยท่าน… แต่ซ่งจื่ออาน ท่านจงจำไว้หัวใจของหรูอี้ผ่านเรื่องราวมามากแล้ว จะไม่มีโอกาสครั้งที่สองให้แก่ท่านอีก”
‘หากท่านทรยศข้า ข้าก็จะทรยศท่านเช่นกัน…’
ชีวิตใหม่ในชาตินี้ของนางได้สูญเสียอิสรภาพที่นางปรารถนาไปจนหมดสิ้นแล้ว นางจึงหวังเพียงความรักที่นางทุมเทให้ทั้งหัวใจจะคงอยู่ตลอดไป หากแม้แต่ความรักก็ยังเป็นสิ่งหลอกลวง ชีวิตนี้ของนางจะมีความหมายอันใดอีก
ดวงตาของซ่งจื่ออานสั่นไหว ความรู้สึกที่รุนแรงปะทุขึ้นในอก เขาดึงอันหรูอี้เข้ามากอดไว้อย่างรวดเร็ว ประทับริมฝีปากนุ่มของนางอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน เพียงไม่นานก็หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นราวกับมันเป็นสิ่งเขาโหยหามาเนิ่นนาน ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยม่านลงมาปกปิดร่างทั้งสองไว้…
ยามรุ่งสางของวันพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟย นางกำนัลผู้อาวุโสสุดในวังถือพระราชโองการ ฉลองพระองค์ เครื่องทรงตำแหน่งกุ้ยเฟย และตราประทับยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ขบวนข้าราชบริพารยาวเหยียดออกไป แม้แต่เถาหงกับหลิวลวี่สาวรับใช้คนสนิทก็สวมชุดนางกำนัลที่ถูกสั่งตัดพิเศษ ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มยินดี
ส่วนชิวจื้อยังคงยืนอย่างสงบ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอย่างเรียบง่ายในมือถือถ้วยสุราใบที่ผูกด้วยด้วยแดงไว้ในมือ นี่เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของการแต่งตั้งกุ้ยเฟย
หากเป็นฮองเฮาจะใช้เป็นน้ำเต้าครึ่งซีกผูกเข้าด้วยด้ายแดง
หลังจากทำความสะอาดร่างกายเสร็จแล้ว เสียงของซ่งจื่ออานก็ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน “เข้ามาได้”
นางกำนัลชราผู้อาวุโสกับชิวจื้อสบตากันพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
ซ่งจื่ออานสวมฉลองพระองค์มังกรนั่งอยู่ประทับ ด้านหลังฉากกั้นอันหรูอี้ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังยืนอยู่ เรือนร่างโค้งเว้าที่งดงามของนางปรากฏให้เห็นลาง ๆ ทำให้นางกำนัลทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง
นางกำนัลอาวุโสเป็นผู้สวมฉลองพระองค์และเครื่องทรกุ้ยเฟยให้อันหรูอี้ด้วยตนเอง ขณะที่นางกำนัลตัวน้อยอายุไม่เกินสิบขวบถือกล่องเครื่องประดับเดินตามมาติด ๆ เถาหงบรรจงหวีและเกล้าผมนุ่มสลวยดุจเส้นไหมของหรูอี้อย่างแผ่วเบา หลิวลวี่แต่งแต้มเครื่องหอมและสีสันบนใบหน้างดงาม ชิวจื่อบรรจงติดเครื่องประดับศีรษะรูปดอกไม้สีทองระยิบระยับ
ยามที่อันหรูอี้เยื้องย่างออกมาจากหลังฉาก รูปโฉมราวกับเทพธิดาจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ ชายผ้าคลุมไหล่สีขาวบริสุทธิ์ลากยาวไปกับพื้น เครื่องประดับศีรษะแกว่งไหวระยิบระยับ ผมสีดำขลับถูกเกล้าเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นปักผมรูปดอกไม้ ขับเน้นริมฝีปากแดงระเรื่องดงามจนยากจะละสายตา
เพียงปรากฏให้เห็นแวบเดียว แต่รัศมีของอันหรูอี้ก็บดบังทุกคนในที่นั้น
แต่ทว่ามีเพียงอันหรูอี้เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้ทั่วร่างของนางปวดเมื่อยไปหมด ชุดพระสนมเอกชั้นหนึ่งนี้หนักเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงขี้เกียจจะขยับตัวแม้แต่ดวงตาก็ไม่อยากจะกระพริบมากนัก
ซ่งจื่ออานยิ้มกว้างเขารีบเดินเข้าไปหานาง จับมือนางที่ทาเล็บที่แต่งเติมด้วยสีชาด ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดีและความเสน่หาอย่างแท้จริง “อันหรูอี้ กุ้ยเฟยของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะเป็นกอ้ายเฟยของข้าตลอดไป*[1]”
อันหรูอี้จับเอวของตัวเอง พร้อมกลอกตาใส่เขาทันที
รอยยิ้มของซ่งจื่ออานหุบลงทันที เขาเอามือลูบหน้าผากอย่างกระอักกระอ่วน แม้แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความเขินอายออกมา “เอ่อ… เจ้าจับมือข้าไว้ เดินไปกับข้า”
“นั่นเป็นสิทธิ์ของฮองเฮาเท่านั้น” อันหรูอี้ไม่สนใจคำพูดของเขา “ข้าควรเดินตามหลังท่านสองก้าว”
“ไม่ เจ้าเดินข้างข้า ข้าเคยบอกแล้วว่าในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าจะทำส่งใดก็ได้ มิผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้า” ซ่งจื่ออานกล่าว
อันหรูอี้เลิกคิ้วขึ้น คิดถึงชุดที่หนักอึ้งกับร่างกายที่ปวดเมื่อยและความรักที่เร่าร้อนเมื่อคืน นางทั้งโกรธทั้งรู้สึกตลกปะปนกัน นางคว้ามือเขาไว้แน่นพร้อมกับสีหน้าที่ราวกับว่าอยากจะตบเขาตรงนี้
นางมองซ่งจื่ออาน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จื่ออานข้าจะเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ข้าอันหรูอี้เดิมพันทุกอย่างที่มีไปแล้ว ท่านจะมีมิโอกาสครั้งที่สอง”
ซ่งจื่ออานที่กำลังมีความสุข พูดอย่างจนใจว่า “หรูอี้ พิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยมิได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก เจ้ามิต้องกังวลไป”
“…” อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ในดวงตาฉายวาบขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์
“ชุดนี้ยาวยิ่งนัก ถ้าข้าเผลอเหยียบพลาดล้มลงจะมิอับอายไปทั่วเมืองหลวงหรอกหรือ?”
“ฮ่า ๆ ๆ มิมีทางหรอก!” ซ่งจื่ออานหัวเราะอย่างชอบใจ “หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ข้าจะถอดชุดมังกรของข้าให้เจ้าเอง!”
ถ้าเป็นเช่นนั้น เหล่าขุนนางคงจะเห็นนางเป็นพระสนมชั่วร้ายจริง ๆ อันหรูอี้อดขำไม่ได้ นางเชิดหน้าขึ้น “ไปกันเถิด เครื่องประดับนี้หนักเหลือเกิน หากสวมนานกว่านี้ข้าคงปวดคอจนทรมานตายเป็นแน่”
ซ่งจื่ออานถูกคำพูดของนางทำให้ทั้งขำทั้งเอ็นดู เขาจับมือนางไว้นิ้วมือสอดประสานกัน พร้อมกล่าวว่า “มิเป็นไร อย่างไรก็สวมแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น”
พรมสีแดง กำแพงวังสูงตระหง่าน ฮองเฮาและสวีกุ้ยเฟยรออยู่ที่ประตูตำหนักยงฮวาแล้ว ส่วนนางสนมที่มียศต่ำกว่าต่างยืนเรียงรายอยู่ริมทางเดิน
อันหลิงหลงที่อยู่ในเหล่านางสนม นางจ้องมองอันหรูอี้อย่างไม่วางตา ความโกรธและริษยาพวยพุ่งอยู่ในดวงตา แต่ใบหน้าของนางกลับเรียบเฉยราวกับสวมหน้ากากที่แสดงความอ่อนโยนเอาไว้ นางไม่เอ่ยอันใดเพียงจ้องมองอันหรูอี้ด้วยแววตาอาฆาตแค้น
เหล่าขุนนางต่างยืนอยู่ที่นั่น ทุกคนต่างตกตะลึงที่เห็นทั้งสองคนจูงมือกันมา อันก่วงเหนิงยืนอยู่หลังฉาก สายตาของเขามองทะลุฉากที่บังอยู่ เห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน
เขาเบิกตากว้าง หันขวับไปมองฮองเฮา ‘เหลิงเยว่’ เห็นสีหน้าตื่นตระหนกและบิดเบี้ยวของนาง ก่อนจะค่อย ๆ อ่อนลงกลับคืนสู่ความสง่างามดังเดิม
อันก่วงเหนิงกำหมัดแน่น เบนสายตาไปที่ซ่งจื่ออานฮ่องเต้แห่งซีจิ้น แววตาเปี่ยมด้วยความสุขสุขและรอยยิ้มที่จริงใจของเด็กหนุ่มทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจ สุดท้าย เขาก็มองไปที่ ‘สวีเจิ้ง’
สวีเจิ้งบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ นางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่สนใจเรื่องอำนาจในราชสำนัก ไม่ใส่ใจความขัดแย้งระหว่างตระกูลเหลิงกับตระกูลอัน อันก่วงเหนิงหวังว่าจะรักษาสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปได้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องบาดหมางกับตระกูลเหลิงอีก
รออีกร้อยปีผ่านไปทุกอย่างก็คงกลับสู่ความสงบเอง… มิใช่หรือ?
แต่ทว่าตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว อันก่วงเหนิงมองอันหรูอี้ที่กำลังเดินตรงมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น ใบหน้าของอันหรูอี้ดูอิดโรยดวงตาไร้ซึ่งแววสดใส ยังคงดูอ่อนแอเหมือนเดิม
นางจากจวนไปหลายวันแล้ว อันก่วงเหนิงกลับดูแก่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันหรูอี้เม้มริมฝีปากเผลอเงยหน้าขึ้นมองผมที่หงอกขาวของอันก่วงเหนิง สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน ภายในดวงตาของบิดากลับเต็มไปด้วยความเงียบงันและความสงสารพร้อมกับริ้วรอยที่หางตาของเขา
ตัวนางในอดีตทำตัวแย่มากมิใช่หรือ… หากเขาจะสงสัยในตัวนางมันก็มิใช่เรื่องแปลกใช่หรือไม่?
ท่านพ่อ…
ดวงตาของอันก่วงเหนิงพร่ามัว บุตรสาวของข้าเจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก เจ้าถูกผู้อื่นกำลังหลอกใช้อยู่รู้ตัวบ้างหรือไม่…
[1] เป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกพระสนมที่ตนเองโปรดปราน