หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 48 เจ้าเข้าใจข้า
บทที่ 48 เจ้าเข้าใจข้า
บทที่ 48 เจ้าเข้าใจข้า
ตำแหน่งจู้ซื่อกรมฝ่ายปกครอง เป็นตำแหน่งขุนนางในพระราชสำนักเช่นกัน มีหน้าที่รับผิดชอบคดีความต่าง ๆ ที่ส่งมาจากเขตต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร บางคดีก็เป็นคดีเก่าที่ค้างคามานาน บางคดีก็เป็นคดีสำคัญที่ต้องได้รับการสะสางโดยเร็ว
ส่วนคดีที่เกี่ยวกับเหลิงตู้นั้น ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ร้ายแรง
ซื่อจื่อโถวยังส่งกลิ่นหอมฉุย แต่ว่าอันหรูอี้กลับไม่มีกะจิตกะใจที่จะกินมันอีกต่อไป ภายในห้องที่เงียบสงัดลงอย่างกะทันหัน ลมหายใจของแต่ละคนหนักอึ้งราวกับแบกภูเขาเอาไว้
เมื่อได้ยินบทสนทนาจากห้องข้าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของอันหรูอี้ก็ยิ่งจมดิ่งลงไปทุกที นางยกเงยขึ้นมองไปยังกำแพง
ว่ากันว่าหอสือจื่อแห่งนี้เปิดกิจการมาสามปีแล้ว เช่นนั้นสามปีมานี้ปัญหากำแพงเก็บเสียงไม่ได้ก็น่าจะมีคนตำหนิไปบ้างแล้ว หรือไม่ก็แก้ปัญหานี้ไปบ้างแล้ว แต่เหตุใดเสียงพวกนั้นถึงยังเล็ดลอดเข้ามาได้อีก
บางทีห้องนี้อาจจะไม่เหมือนห้องอื่น หรือบางทีวันนี้อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งสองคนบังเอิญมาเจอกับเหลิงตู้เข้า ดวงตาของอันหรูอี้หรี่ลง ความเหนื่อยล้าแล่นปราดไปทั่วแผ่นหลัง
…โชคของนางช่างอาภัพนัก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม
เหลิงตู้ลุกขึ้นยืน เดินไปมาสองสามก้าว ก่อนจะเตะเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างแรงด้วยความโมโห แล้วจึงเอ่ยว่า“พวกที่เจ้อเจียงมันทำงานกันอย่างไร! แค่คดีฉ้อราษฎร์บังหลวงเล็ก ๆ ยังจัดการมิได้! แล้วไอ้จู้ซื่อของกรมฝ่ายปกครองมณฑลเจ้อเจียงนั่น ในเมื่อพวกเจ้าสกัดกั้นฎีกาของมันได้แล้ว เหตุใดจึงไม่ฆ่ามันซะ!”
สีหน้าของซ่งจื่ออานพลันเย็นชาลง อันหรูอี้ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา
ซ่งจื่ออานจับมือของนางเอาไว้ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็น แต่ในเวลานี้ แผ่นหลังของเขากลับเผลอโน้มลงเล็กน้อย
หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปี กำลังอยู่ในช่วงวัยที่เปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันที่จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถอันยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่เขาโหยหามากกว่าสิ่งใด
ทว่าความทะเยอทะยานในหัวใจกลับถูกกดทับ บดบัง เอาไว้ราวกับต้องคำสาป เหล่าขุนนางเฒ่าผู้กุมอำนาจที่รอดพ้นจากการกวาดล้าง เพราะการสวรรคตอย่างกะทันหันของอดีตฮ่องเต้องค์ก่อน เหล่าขุนนางเฒ่ามองเขาเหยียดหยัน ไม่แยแส หรือให้ความสำคัญใด ๆ ราวกับว่าเขาเป็นเพียงบุรุษน้อยไร้ค่า ที่ไม่อาจทัดทานอำนาจของพวกมันได้
ถึงแม้เขาจะมีองค์รักษ์เงาเป็นสายข่าวอยู่ในราชสำนักแล้วมันอย่างไร? ถ้าไม่อาจแตะต้องความลับและแก่นแท้ที่แท้จริงได้ องครักษ์เงาใต้บังคับบัญชาของเขาก็แค่เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
“อดทนไว้” อันหรูอี้เอ่ยดวงหน้างามเคร่งขรึม น้ำเสียงหนักแน่น แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ภาพความทารุณโหดร้ายที่นางต้องเผชิญในจวนอัครเสนาบดีผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ราวกับบาดแผลลึกที่ไม่มีวันจางหาย
“จื่ออาน… ท่านต้องอดทน รอคอยจังหวะเวลา ฝึกฝนกำลังพลให้พร้อม เพื่อที่จะสังหารศัตรูให้สิ้นซากในครั้งเดียว ท่านเพียงต้องอดทนรอโอกาสนั้นมาถึง!”
เสียงราบเรียบของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่งกำแพง “เรียนใต้เท้า พวกเราได้ส่งคนไปสกัดแล้ว จู้ซื่อผู้นั้นฉลาดมาก เขาเขียนฎีกาสิบฉบับแล้วยังแบ่งคนออกมาสิบกลุ่ม พวกเราจ้างมือสังหารจากยุทธภพไล่ล่า จนถึงตอนนี้ได้กำจัดไปห้ากลุ่มแล้ว”
“แล้วอีกห้าคู่กลุ่มล่ะ?” เหลิงตู้ถาม
“พวกมันปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา” ชายคนนั้นรายงาน “แม้แต่สองกลุ่มในนั้น เกรงว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่เดินทางมาเพื่อถวายฎีกา”
“เหอะ” เหลิงตู้เยาะเย้ย “พวกนั้นยังมีคนที่ยอมตายเพื่อเรื่องนี้ด้วยรึ? ถวายฎีกางั้นรึ? ต่อให้ถวายฎีกาไปแล้วจะทำสิ่งใดได้? บัลลังก์เปลี่ยนมือข้าราชบริพารก็ต้องเปลี่ยน เขาไร้แม้แต่ข้าราชบริพารที่ภักดี ผู้จะทำงานให้เขาได้กัน? น่าขันสิ้นดี”
สีหน้าของซ่งจื่ออานเคร่งขรึมเป็นทวีคูณ ความโกรธเกือบพุ่งทะลุจุดสูงสุด แต่อันหรูอี้กลับกอดไหล่ของเขาไว้ ลูบหลังเขาซ้ำ ๆ บอกให้เขา
‘อดทนไว้’
เหลิงตู้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เอาเถิด ข้าลืมไปเสียสนิท เรื่องนี้มิได้มีสิ่งใดต้องรีบร้อน ถึงแม้พวกนั้นจะไปถึงเบื้องพระพักตร์แล้วอย่างไรเล่า? ข้าผู้นี้ก็สามารถทำให้พวกมันตายอย่างไร้ที่ฝังได้อยู่ดี”
ไม่จำเป็นต้องฟังมันอีกต่อไป อันหรูอี้ดึงตะเกียบที่หักในมือซ่งจื่ออาน ออกมา แล้วดึงเขาเดินไปหาเถ้าแก่ “มีวิธีใดบ้างที่จะกลับเข้าวังโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น?”
เถ้าแก่มิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เพียงแต่การส่งคนผู้นี้กลับวังเป็นสิ่งที่สมควรทำ “ตามข้าน้อยมา”
ซ่งจื่ออานจ้องมองไปยังห้องข้าง ๆ อย่างเคียดแค้น ความเกลียดชังในใจพุ่งสูงราวกับจะเผาผลาญทุกสิ่ง อันหรูอี้บีบแขนเขาแรง ๆ เพื่อดึงสติเขากลับ “กลับวัง! กลับวังกับข้า! ท่านอายุเพียงสิบแปดปี มีสิ่งใดที่รอคอยมิได้!”
ซ่งจื่ออานมองอันหรูอี้ หากรักแรกพบที่เขามีให้นางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงและสงสาร บัดนี้อันหรูอี้ที่อยู่ตรงหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความสุขุม เยือกเย็น เกินกว่าที่เขาจะคาดคิด
บางทีนับตั้งแต่วันนี้เขาอาจเพิ่งจะเริ่มทำความรู้จักกับอันหรูอี้อย่างแท้จริง และบางทีตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้
“ไปสิ!” เมื่อเห็นซ่งจื่ออานไม่ขยับ อันหรูอี้ก็โกรธจนหน้าแดง แม้แต่เถ้าแก่อยู่ข้าง ๆ นางก็ช่วยอันใดมากไม่ได้ นางได้แต่กระทืบเท้า “ท่านจะไปหรือไม่! หากไม่ไปข้าจะกลับไปคนเดียว! ส่วนพรุ่งนี้พิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยท่านก็ไปคนเดียวเถิด! คุณหนูเช่นข้าจะเป็นกุ้ยเฟยที่อยู่เหนือคนนับหมื่น มิใช่เป็นหญิงม่าย!”
ซ่งจื่ออานเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะออกมาทันที
ความรู้สึกหงุดหงิดและหดหู่สลายหายไปในพริบตา ซ่งจื่ออานคว้ามืออันหรูอี้เอาไว้ ในท่าทางเดียวกับที่นางดึงเขายามนี้เขากำลังพานางตรงไปสถานที่ลับของเขา
ซ่งจื่ออานพาอันหรูอี้มาเส้นทางลับ เป็นเส้นทางที่ขุดตรงจากใต้ดินของหอสือจื่อไปยังสวนหยวนหมิงหยวนในวังหลวง การมีอยู่ของทางเดินลับเช่นนี้ในราชวงศ์ซีจิ้นทำให้อันหรูอี้ที่พบเห็นทั้งรู้สึกประหลาดใจและยินดีไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากเข้าสู่เส้นทางลับ เดินไปประมาณครึ่งชั่วยามก็โผล่ออกมาจากสวนหยวนหมิงหยวน
เมื่อกลไกเปิดออก ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในตำหนักเหมันต์อย่างเงียบ ๆ หลิวลวี่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบปิดประตูลง เถาหงเตรียมเสื้อผ้าและน้ำร้อนที่เซี่ยเหิงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
นางกำนัลในตำหนักเมันต์ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกให้มารับใช้ มิฉะนั้น วันนี้อันหรูอี้กับซ่งจื่ออานที่กลับมาอาบน้ำหลังจากออกไปข้างนอกอย่างลับ ๆ วันพรุ่งนี้ก็คงหนีไม่พ้นข่าวลือที่แพร่สะพัดว่า กุ้ยเฟยชั่วร้ายสมคบคิดกับคนนอกก่อกบฏเป็นแน่
หลังจากอาบน้ำเสร็จเถาหงกับหลิวลวี่ก็ถอยออกไป อันหรูอี้สวมชุดผ้าโปร่งสีแดงตามด้วยสวมเสื้อคลุมอีกชั้นหนึ่ง มองไปที่ซ่งจื่ออานที่นั่งเงียบไม่พูดจา
นางมองอยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คิดหาวิธีช่วยคนได้แล้วหรือ?”
ซ่งจื่ออาน ตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดหาวิธีช่วยคน? บางทีข้าอาจจะยังโกรธอยู่ก็ได้?”
“การโกรธเคืองมิได้ช่วยให้อันใดดีขึ้น มีแต่จะทำให้เสียเวลาและอารมณ์ไปเปล่า ๆ ซึ่งท่านมิใช่คนเช่นนั้น” อันหรูอี้ นั่งลงข้าง ๆ กดคิ้วที่ขมวดมุ่นของฮ่องเต้หนุ่ม สายตาของนางดูเหมือนตื้นเขินแต่ลึกล้ำราวกับซ่อนสิ่งต่าง ๆ มากมาย “และ… มิว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ข้าแก่กว่าที่ท่านเห็น”
ซ่งจื่ออานจ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่พานางเข้าวัง และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
ยามนี้อันหรูอี้ ดูราวกับว่าจะเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เหมือนกับคนที่ไม่รู้เรื่อง นางดูสงบนิ่ง สงบนิ่งเกินไป…
“ว่ามาเถิด” อันหรูอี้ ค่อย ๆ เกล้าผมของตัวเองขึ้น “เสนาธิการจากเจ้อเจียงผู้นั้น ท่านจะช่วยเขาอย่างไร?”
ซ่งจื่ออานพลันรู้สึกขบขันจนหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “เจ้ามิได้จดจำแม้แต่ชื่อตำแหน่งของเขา กลับคิดว่าข้าจะยื่นมือช่วยเขา? หากเป็นเพียงผู้ที่ไร้ค่า เหตุใดข้าจะต้องช่วยเขาเล่า?”
อันหรูอี้ ส่ายหน้าอย่างจนใจ ดวงตาเป็นประกาย “ข้าเคยกล่าวไว้แล้ว ข้าแก่กว่าที่ท่านเห็นมาก”
นางหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ที่เขาพยายามมาพบท่าน เพราะเขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวท่าน เพราะในดวงตาของท่านมีทั้งความทะเยอทะยานและปณิธาน ท่านปรารถนาให้แคว้นซีจิ้นมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น และ…แท้จริงแล้วท่านเป็นคนใจอ่อน มากล้นไปด้วยเมตตา ไหนเลยจะกล้าทอดทิ้งขุนนางผู้ภักดี ที่ทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อชาติได้ลงคอเล่า?”
“ยิ่งไปกว่านั้น…” อันหรูอี้ใช้นิ้วแต่ไปที่หน้าผากของเขา พลางถอนหายใจ ‘บัลลังก์เปลี่ยนมือ ข้าราชบริพารก็ต้องเปลี่ยน’ เหลิงตู้ มีอำนาจมากล้นเพียงนั้น เขายังกล้าต่อต้านอย่างโจ่งแจ้งเขาย่อมเป็นขุนนางคนสำคัญของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย”
แววตาของ ซ่งจื่ออานเป็นประกายวูบไหว ราวกับมีคำพูดนับพันนับหมื่นคำที่อยากจะเอ่ย แต่กลับพูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “…ดียิ่งนัก ที่เจ้าเข้าใจข้า”