หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 47 หอสือจื่อ
บทที่ 47 หอสือจื่อ
บทที่ 47 หอสือจื่อ
งานเทศกาลโคมไฟของชาวบ้านอาจจะไม่หรูหราเท่ากับในวัง แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ ‘ความอิสระ’ แต่ข้อดีเพียงข้อเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้อันหรูอี้รู้สึกเบิกบากใจแล้ว
ท้องถนนกว้างขวาง ผู้คนพลุกพล่าน เรือประดับโคมลอยลำเลี้ยงหญิงชาวบ้าวล่องไปตามสายน้ำ บนผืนน้ำมีโคมไฟลอยไปตามกระแสน้ำ ชายชราหาบของมองเห็นคนสองคนริมฝั่งแม่น้ำอย่างเฉียบแหลม
“นี่ คุณหนู คุณชาย!” ชายชราเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น “ท่านทั้งสองอยากได้โคมไฟไหมขอรับ เขียนชื่อใส่ลงไปแล้วลอยในแม่น้ำเพื่อขอพรได้นะขอรับ”
อันหรูอี้กะพริบตา มองโคมไฟบนบ่าของชายชราอย่างรวดเร็ว โคมไฟมีจำนวนไม่น้อยชายชราน่าจะเพิ่งเข้ามาในตลาด น้ำหมึกที่บนโคมไฟก็ยังไม่ทันแห้ง คงอยากให้พวกเขาเป็นลูกค้ารายแรก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะปฏิเสธได้อย่างไร?
“เช่นนั้น ข้าขอดูหน่อย” อันหรูอี้ยิ้ม “โคมไฟดอกบัวสีแดงสลับขาวอันนั้นก็ดี”
ชายชรามีสีหน้ายินดีรีบหยิบโคมไฟส่งให้ พร้อมทั้งเตรียมพู่กันและหมึกเขามองไปที่ซ่งจื่ออานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม้จะไม่เอ่ยปาก แต่สายตาก็จับจ้องไปที่อันหรูอี้ไม่วางตา “คุณชาย ท่านอยากเขียนสิ่งใดหรือไม่ นี่ถือเป็นโชคลาภ เอาฟกษ์เอาชัย ข้ามิคิดเงินท่านหรอก”
ซ่งจื่ออาน ไม่คิดว่าชายชราจะพูดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “มีอยู่สองสามคำ เช่นนั้นขอท่านผู้อาวุโสช่วยส่งพู่กันให้ข้าที”
ชายชราเพิ่งเคยถูกเรียกว่า ‘ท่านผู้อาวุโส’ เป็นครั้งแรก รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง มองดูคุณชายที่มีรัศมีโดดเด่นยื่นพู่กันให้พลางกล่าวว่า
“คุณชายช่างมีมารยาทงดงาม ข้ายินดีอย่างยิ่ง”
ซ่งจื่ออานรับพู่กัน เขาค่อย ๆ จุ่มปลายพู่กันไปกับน้ำหมึกสีดำ ก่อนแต้มลงไปที่โคมไฟดวงน้อย ทิ้งไว้เพียงอักษรแห่งคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นดุจขุนเขา ‘กุมมือเจ้า เดินเคียงข้างไปจนแก่เฒ่า’
คำกล่าวที่คู่รักทั่วหล้ายืมใช้ บอกกันจนเฝือหู แต่ทว่ากลับเป็นถ้อยคำที่งดงาม บริสุทธิ์ และเปี่ยมล้นด้วยรักอย่างแท้จริง
ด้วยคำพูดนี้ อันหรูอี้จึงถอดหยกที่สวมติดตัวส่งให้ชายชรา “ท่านผู้อาวุโสให้โชคลาภแก่พวกเรา พวกเราไม่มีเงินให้ท่านผู้อาวุโส รับหยกชิ้นนี้ไปเถิด”
ชายชราตกใจ รีบโบกมือปฏิเสธ แต่อันหรูอี้กลับยืนกรานจะมอบให้
“ท่านผู้อาวุโสอย่าได้ปฏิเสธ โคมไฟนั้นแม้จะเบาแต่ความปรารถนาดีนั้นจิตมิอาจประเมินค่าได้”
ชายชราจึงรับไว้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคลาภของลูกค้ารายแรกหรือไม่ ชายชราจึงขายของดีตั้งแต่เปิดร้านยิ่งได้รับหยกที่ล้ำค่า หลังจากนั้นก็ยิ่งขายดิบขายดี ยิ้มแก้มปริทั้งคืน
โคมไฟงดงามค่อย ๆ ถูกวางลงบนพืนน้ำ ดวงตาคู่งามเฝ้ามองมันลอยไปเบียดเสียดกับโคมดวงอื่น ๆ อักนับพันดวงราวกับดวงดาวหลากสีสันที่กำลังลองล่อยไปตามกระแสธารา บางดวงแนบชิดเคียงคู่ บางดวงชนแล้วแยกแจก พวกมันไหลเรื่อยออกไปนอนกำแพงเมือง บางทีพวกมันอาจลอยไปรวมกัน ณ มุมใดมุมหนึ่ง กลายเป็นทะเลดาวน้อยระยิบระยับ หรืออาจกระจัดกระจายไปตามลำธารสายเล็กสายน้อย แต่จะดีกว่าถ้าโคมไฟน้อยเหล่านั้นได้ล่องลอยสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น…
“ข้าหวังว่ามันจะลอยไปถึงมหาสุมทร” อันหรูอี้เอ่ยด้วยความคาดหวัง “ในตำรากล่าวว่ามหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ล่องเรือไปสามปียังมิอาจมองไม่เห็นฝั่ง ใหญ่กว่าทะเลสาบต้งถิง*[1]แปดร้อยลี้เสียอีก…จะเป็นสถานที่เช่นใดกันนะ”
“นั่นอาจจะมิใช่สถานที่ที่ดีเสมอไป” ซ่งจื่ออเดินมาข้างหลังนาง “คนที่ล่องลอยไร้จุดหมายก็ต้องการที่พักพิงบนบก มิมีผู้ใดทนอยู่ได้โดยไร้ซึ่งที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งตลอดไปได้”
นั้นสินะ…
อันหรูอี้ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “สิ่งที่ท่านเขียนเมื่อครู่ ท่านรู้ความหมายของมันหรือไม่?”
ซ่งจื่ออานมองนางด้วยความแปลกใจ “เจ้ากำลังทดสอบข้าอยู่หรือ?”
“มิกล้า” อันหรูอี้แย้มยิ้ม แสงไฟนับหมื่นจากโคมที่ลอยอยู่เต็มผืนน้ำ สะท้อนประกายระยิบระยับดุจดวงดาวนับพันในดวงตากลมคู่งาม คล้ายกับแฝงประกายแห่งความหวังที่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด “ข้ากำลังคิดว่า… เรื่องเช่นนั้นนั้น… จะเป็นจริงได้หรือไม่?” น้ำเสียงแผ่วเบา เอ่ยถามราวกับกำลังครุ่นคิดกับตนเองมากกว่าจะถามผู้ใด
ซ่งจื่ออานกุมมือนางไว้ พรุ่งนี้เป็นวันแต่งตั้งนางขึ้นเป็นกุ้ยเฟย เขาย่อมรู้ดีว่านางกำลังกังวลใจ
“เจ้ามิต้องกังวลสิ่งใด” ซ่งจื่ออานมองนางอย่างหนักแน่น สายตาของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง อันหรูอี้กระพริบตาเล็กน้อยราวกับปีกจักจั่นที่ปลิวไสวไปตามสายลม ฟังซ่งจื่ออานให้คำมั่นสัญญาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำว่า “มันจะเป็นจริง”
อันหรูอี้มิได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ นางเพียงแค่ยิ้มมุมปาก เดินไปยังริมแม่น้ำลูบไล้ต้นหลิวที่ผลิใบใหม่ในฤดูใบไม้ผลิเอ่ยอย่างใจเย็นว่า
“อืม… ข้าเชื่อท่าน”
ข้าเดิมพันทุกอย่างเพื่อเชื่อใจท่าน หากท่านทรยศข้า…ข้ายินดีละทิ้งทุกอย่าง
นางหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าหิวแล้ว พวกเรารีบไปกินข้าวที่หอสือจื่อกันเถิด ได้ยินมาว่าที่นั่นทำซื่อจื่อโถว*[2]ได้อร่อยมาก”
ในเวลานี้หอสือจื่อคงมีขุนนางและผู้มีอำนาจมากมายนั่งอยู่ แต่ซ่งจื่ออานมิได้กังวลแม้แต่น้อย เขายืนตรงหน้าเถ้าแก่คำว่า “เกือบจะหลุดออกจากปากของผู้จัดการร้าน
เถ้าแก่พาทั้งสองเข้าไปในห้องส่วนตัวด้วยสีหน้าลำบากใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ‘นายท่าน เหตุใดท่านจึงมากะทันหันเช่นนี้อีกแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้มิได้ปลอดภัยอย่างที่ท่านคิด ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้อีกเลย”
อันหรูอี้รู้สึกประหลาดใจ นางไม่คิดว่าหอสือจื่อแห่งนี้จะเป็นสมบัติของราชวงศ์ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของซ่งจื่ออานเสียมากกว่า
สถานที่แห่งนี้ต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อสืบข่าวลับเป็นแน่ นี่คงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดถึงมีขุนนางและผู้มีอำนาจมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ซ่งจื่ออานยิ้มแล้วกล่าวว่า “หรูอี้อยากกินสิงโตตุ๋นน้ำแดง”
ทันใดนั้นเถ้าแก่ก็หันไปมองอันหรูอี้ ทั้งแววตาและสีหน้าบ่งบอกถึงความเคลือบแคลงสงสัย ราวกับเห็นนางเป็นถึง ‘ต๋าจี้’*[3] นางสนมโฉมงามผู้เลื่องชื่อเรื่องความโหดร้าย อันหรูอี้ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลบเกลื่อนความรู้สึก ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้น เถ้าแก่รีบไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ พวกเราก็จะได้รีบกลับวัง”
เถ้าแก่ถอนหายใจ โค้งคำนับ “ขอรับ นายหญิง”
ซ่งจื่ออานหลุดขำออกมา อันหรูอี้เบิกตากว้างมองเถ้าแก่ด้วยความตกตะลึง ซ่งจื่ออานรีบอธิบายว่า “เขามิใช่เถ้าแก่ธรรมดา เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเสด็จพ่อ”
“พี่น้องร่วมสาบาน?” อันหรูอีรู้สึกตกใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่น้องร่วมสาบานกับอดีตฮ่องเต้?”
ซ่งจื่ออานพยักหน้า “ตามธรรมเนียมการสืบทอดราชบัลลังก์ของราชวงศ์ซีจิ้นของพวกเรา ก่อนขึ้นครองราชย์องค์รัชทายาทจะต้องออกเดินทางแบบสามัญชนเพื่อทำความเข้าใจความทุกข์ยากของประชาชนและสืบหาขุนนางที่ทุจริต เพื่อสร้างบุญบารมีก่อนขึ้นครองราชย์”
น่าเสียดายที่ซ่งจื่ออานไม่มีโอกาสเช่นนั้น เขาขึ้นครองบัลลังก์อย่างกะทันหันด้วยความเยาว์วัยและใจร้อนทำให้พลาดหลายสิ่งหลายอย่างไปและยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง
เมื่อถึงวันที่เขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป ทุกอย่างก็สายเกินแก้ หัวใจที่ถูกทำลายด้วยมือของเขาเองก็ไม่อาจเรียกคืนได้อีกแล้ว
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเถ้าแก่ยกสิงโตตุ๋นสองจานมา จึงพักเรื่องที่คุยกันไว้ก่อน สิงโตตุ๋นน้ำแดงเป็นหมูที่ถูกปั้นเป็นก้อนกลม เนื้อนุ่มละลายในปาก น้ำซอสก็มีรสชาติกลมกล่อม อันหรูอี้กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวดังมาจากห้องข้าง ๆ
“มันกล้าหรือ?! ข้าเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ มันเป็นแค่จู้ซื่อ*[4]กรมฝ่ายปกครอง กล้าดียังไงมาขัดขวางเรื่องของเหลิงตู้ผู้นี้ มันมิกลัวข้าสั่งประหารเก้าชั่วโคตรหรืออย่างไร!”
ได้ยินเพียงเท่านี้ ความรื่นเริงในใจซ่งจื่ออานก็มลายหายไปสิ้น อันหรูอี้ ที่กำลังจะคีบอาหารก็ชะงักค้าง นางขมวดคิ้วแน่น
เหตุใดคำว่า ‘ประหารเก้าชั่วโคตร’ จึงหลุดออกมาจากปากเสนาบดีผู้นี้ได้ หรือว่าเหลิงตู้คิดจะก่อกบฏหรือไง
เหลิงตู้ผู้นี้ เป็นถึงพระบิดาของฮองเฮาเหลิงเย่ และเป็นผู้นำตระกูลเหลิงที่ทรงอำนาจที่สุด เขาผูกมิตรกับขุนนางมากมาย ส่วนพี่ชายทั้งสองของฮองเฮาคือเหลิงซิงกับเหลิงฟางก็ใช้อำนาจในเมืองหลวง กดขี่ข่มเหงชาวบ้าน รับสินบนแต่หลักฐานก็ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด
ครั้นมีผู้ใดกราบทูลเรื่องนี้ เหลิงเยว่ก็จะเสด็จไปยังตำหนักไท่เหอ ร้องไห้ฟูมฟายเพื่อถ่วงเวลาไว้ ส่วนเหลิงซิงกับเหลิงฟางก็จะถือโอกาสนี้ยุยงปลุกปั่นขุนนาง กล่าวหาปรักปรำผู้ที่คิดจะกราบทูลฟ้องเรื่องพวกเขา
ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้กล้าหาญมากมาย พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็ต้องพบจุดจบที่เลวร้าย ซ่งจื่ออานได้แต่มองดูวีรบุรุษถูกใส่ร้าย ปลดจากตำแหน่ง ถูกเนรเทศ หรือแม้กระทั่งถูกประหารชีวิต…
อันหรูอี้มองมือที่สั่นเทาของซ่งจื่ออาน นางถอนหายใจอย่างเงียบงัน
แท้จริงแล้ว บุรุษผู้นี้ที่พร่ำบอกว่าจะปกป้องข้านั้น บางทีอาจต้องการคนคอยปกป้องเขามากกว่า…
[1] เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดอันดับห้าของจีน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลหูหนาน
[2] อาหารจีนชนิดหนึ่ง ทำจากหมูสับปั้นเป็นก้อนกลมแล้วนำไปตุ๋นจนสุก
[3]พระสนมของจักรพรรดิโจวหวัง จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง เลื่องชื่อความโหดร้ายใช้ความงามและเสน่ห์เพื่อล่อลวงจักรพรรดิโจวหวังให้หลงใหล ราชวงศ์แชงล่มสลายและจักรพรรดิโจวหวังก็ถูกสังหาร
[4] ตำแหน่งขุนนางระดับล่างที่ดูแลงานต่าง ๆ ในกรม ทำหน้าที่คล้ายกับเสมียน