หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 46 งานเทศกาลโคมไฟ
บทที่ 46 งานเทศกาลโคมไฟ
บทที่ 46 งานเทศกาลโคมไฟ
บรรยากาศในตำหนักเหมันต์ก็ดูเหมือนจะตึงเครียดขึ้นอย่างเงียบ ๆ
อันหรูอี้มองเหลิงเยว่ด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา นางรู้ดีว่าเหลิงเยว่ย่อมไม่ชอบนาง เพราะถึงอย่างไรทั้งสองตระกูลก็เป็นศัตรูกันแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่คาดคิดว่าเหลิงเยว่จะแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้
อันหรูอี้รู้สึกขบขันอยู่ในใจ ฮองเฮาผู้นี้ดูเหมือนจะหุนหันพลันแล่นยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มาก เมื่อครู่ยังหัวเราะพูดคุยและเอาใจใส่มากมายแต่พริบตาเดียวกลับแสดงสีหน้าบึ้งตึงใส่
“ฮองเฮาเพคะ” อันหรูอี้ไม่คิดจะทนต่อสายตานั้นอีกต่อไป “สีหน้าของพระองค์ดูแปลกไปหรือว่าหม่อมฉันเอ่ยสิ่งใดผิดไปหรือเปล่าเพคะ?”
“เจ้ามิได้กล่าวสิ่งใดผิด” สวีเจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แค่ฤดูใบไม้ผลิมาถึงอากาศเปลี่ยนแปลงง่าย วันนี้ฮองเฮาอาจจะรู้สึกมิค่อยสบาย เจ้ามิต้องกังวลไป อยู่ในวังนาน ๆ ก็เป็นเช่นนนี้แหละ เรื่อง ‘มิสบาย’ น่ะ มีได้ทุกแบบ”
เหลิงเยว่ขบริมฝีปากล่างเบา ๆ ข่มกลั้นความโกรธไว้ในอก “สวีกุ้ยเฟยกล่าวถูกแล้ว ข้ารู้สึก…มิค่อยสบายจริง ๆ หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟย ไว้ข้าค่อยมาคุยกับเจ้าใหม่แล้วกัน”
พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ชิวจื่อรีบดึงแขนเสื้ออันหรูอี้ อันหรูอี้จึงตอบสนองทันนึกถึงคำพูดที่เรียนมาเมื่อวาน รีบคำนับร่วมกับซ่างกวนหมิงหมิง พร้อมกล่าวว่า “น้อมส่งเสด็จฮองเฮาเพคะ”
…ช่างวุ่นวายจริง ๆ
เมื่อฮองเฮาจากไป เหล่าข้าราชบริพารก็ทยอยกันออกไปเหลือเพียงนางกำนัลจากตำหนักซูฮวาสองคนหนึ่งในนั้นคือชิงอวิ๋น
สวีเจิ้งเห็นคนออกไปหมดแล้วก็หัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ รู้ทั้งรู้ว่ามาที่นี่แล้วจะไม่สบายใจ ยังจะมาหาเรื่องใส่ตัวอีก ฮองเฮาคนนี้ก็นะ…”
อันหรูอี้และซ่างกวนหมิงหมิงมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดอันใด สวีเจิ้งไม่ได้สนใจ นางลุกขึ้นยืนเดินมาตบบ่าอันหรูอี้เบา ๆ “น้องหญิง แหวนหยกวงนี้น่ะ ฮ่องเต้มอบให้กับเจ้าหรือ?”
หลังจากประโยคนี้อันหรูอี้ก็เข้าใจในทันที นางรีบเก็บแหวนหยกเข้าไปในฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ปล่อยออกมา
“เพคะ” อันหรูอี้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“อ้อ” สวีเจิ้งเท้าเอว ส่ายหัวแล้วหัวเราะ “ฮองเฮาขี้หึงยิ่งนัก เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดี ของที่ฝ่าบาทประทานให้เก็บรักษาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
อันหรูอี้พยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระคุณพี่หญิงที่ชี้แนะเพคะ”
สวีเจิ้งหันไปมองซ่างกวนหมิงหมิง “เจ้ามาถึงนานแล้วนี่ เหตุใดมิเห็นจื่อหรง ช่วงนี้มิใช่ว่านางตัวติดกับเจ้าหรอกหรือ?”
ซ่างกวนหมิงหมิงยิ้มแห้ง ๆ “พี่หญิงจื่อหรงมิสบายเพคะ นางไม่เหมือนข้าที่ชอบความคึกคัก พี่หญิงจื่อหรงชอบอยู่เงียบ ๆ อ่านตำรามากกว่าเพคะ”
สวีเจิ้งหัวเราะสองสามครั้ง “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าอยู่ที่นี่พวกเจ้าคงอึดอัดแย่แล้ว ข้าไปก่อนก็แล้วกัน เจอกันในงานวันมะรืนนี้”
ทั้งสองคนกล่าวคำอำลาอีกครั้ง
อันหรูอี้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “พึ่งจะเริ่มต้น ฮองเฮาก็แสดงความอิจฉาออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ดูท่า ชีวิตของข้าคงจะไม่สงบสุขเสียแล้ว”
ซ่างกวนหมิงหมิงไม่ได้นั่งลง “วันนี้ฮองเฮามีเป้าหมายอยู่แล้ว นางกำนัลข้างกายนาง มีหลายคนที่ฮองเฮาตั้งใจจะส่งมาที่ตำหนักของเจ้า แต่โดนสวีเจิ้งขัดจังหวะไปก่อน เจ้ายังเอาแหวนหยกไปกระตุ้นนางอีก เช่นนี้ท่าจะมิจบง่าย ๆ เสียแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อันหรูอี้หัวเราะ “เช่นนั้นนางที่เพิ่งส่งคนมาแต่กลับถูกข้าไล่คนออกไปทันที ย่อมต้องเกิดวุ่นวายเป็นแน่”
“เจ้าช่างกล้าหาญนัก” ซ่างกวนหมิงหมิงมองออกไปข้างนอก กดเสียงทุ้มต่ำลง “ฮองเฮาขี้หึง เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดี เวลาออกไปที่ใด ก็พาคนไปเยอะ ๆ อย่าไปแถวบ่อน้ำหรือสระน้ำ ก้นสระในวังนี้มิรู้ฝังคนเอาไว้กี่คนแล้ว”
อันหรูอี้ยิ้มอย่างเย็นชา “ข้ารู้ มิต้องเป็นห่วง ข้ามิใช่คนยอมเสียเปรียบ ผู้ใดคิดร้ายกับข้า ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
ซ่างกวนหมิงหมิงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “เจ้าช่างไม่เกรงกลัวอันใดเลย”
“เหตุใดข้าจะมิกลัวเล่า” อันหรูอี้กระพริบตา “นี่เรียกว่า ‘ป้องกันตัว’ ต่างหาก”
อันหรูอี้กำลังตกสถานการณ์ที่มีอันตรายอยู่รอบตัว ส่วนซ่างกวนหมิงหมิงเอง ตอนนี้ก็ยังไร้อำนาจใด ๆ จึงอยู่ได้ไม่นานหลังจากพูดคุยกันสักพัก นางก็ขอตัวกลับ
หลังจากที่ซ่างกวนหมิงหมิงจากไปชิวจื้อก็ยิ้มออกมา “กุ้ยเฟยหาพวกได้เร็วจริง ๆ หม่อมฉันประเมินท่านต่ำไปเสียแล้ว”
“จะเรียกว่าเป็นพวกก็มิได้หรอก” อันหรูอี้มองไปทางประตูตำหนักพลางถอนหายใจ “นางเป็นคนที่น่าคบหาเป็นสหาย เดิมทีเราก็มิได้มีสัมพันธ์อันใดต่อกัน เพียงแต่ทำบุญร่วมชาติกันไว้เท่านั้นเอง”
ชิวจื้อส่ายหน้า “สนมซ่างกวนคงคิดเช่นเดียวกัน มิอย่างนั้นคงมิเอ่ยเตือนกุ้ยเฟยหรอกเพคะ แต่เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน คุณหนูอย่าไว้ใจผู้ใดมากเกินไปเลยนะเพคะ”
อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยพยักหน้าช้า ๆ
ไม่ใช่แค่ใจผู้จะปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่ตัวนางเองในชาติที่แล้วเพราะนิสัยที่อวดดีและใจร้องของนางจึงทำให้ไร้สหายข้างกาย ผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างกายนางจึงมีเพียงเถาหงและหลิวลวี่
น่าเสียดาย สุดท้ายแล้ว แม้แต่เถาหงและหลิวลวี่ก็ยังโดนนางทำร้าย
ไม่นานอันหรูอี้ก็เลิกสนใจ นางให้คนยกเก้ายาวมา หยิบเอาหนังสือกับขนมมาวางไว้ใกล้ ๆ จะได้อาบอุ่น ๆ เพื่อไล่ความอับชื้นบนตัว
นางไม่ได้ต้องการสิ่งใดมาก แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อจากนี้อย่างสงบสุขเพียงเท่านั้น
เวลาผ่านไปจนถึงยามเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืดลง อันหรูอี้ทานอาหารเย็นเสร็จ คิดว่าซ่งจื่ออานคงไม่มานั่งอยู่ที่นี่ทุกวัน นางคิดว่าช่วงนี้ฎีกาในตำหนักไท่เหอคงจะมากขึ้น หากนางรอต่อไปก็คงเบื่อ เช่นนั้นนางนอนหลับพักผ่อนดีกว่า
แต่ยังไม่ทันจะปิดประตู ก็เห็นเงาร่างสีขาวพุ่งเข้ามา ซ่งจื่ออานในชุดขาวราวกับเทพเซียน ยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มให้กับนาง “คุณหนูได้ยินว่าในเมืองมีงานเทศกาลโคมไฟ คุณหนูอยากไปเที่ยวกับข้าหรือไม่?”
วันนี้นางเพิ่งเผชิญกับการชิงดีชิงเด่นในวังหลังทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก แต่พอเห็นบุรุษหนุ่มรูปงาม พลันจิตใจก็สดใสขึ้นมาทันที
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้น รอข้าเปลี่ยนชุดก่อนนะเพคะ ชุดนี้ช่างเกะกะยิ่งนัก”
งานเทศกาลโคมไฟของแคว้นซีจิ้น จัดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีกำหนดการ ตราบใดที่อากาศดี ฤดูกาลดี และอารมณ์ดี ผู้คนในเมืองหลวงของแคว้นซีจิ้น ต่างก็หาเรื่องจัดงานเทศกาลโคมไฟอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ เทศกาลโคมไฟจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือพิเศษอันใด
ทว่าสำหรับเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ค่อยได้ออกจากวัง พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสได้ชมเทศกาลโคมไฟบ่อยนัก ยิ่งโอกาสที่จะได้ชมโคมไฟเคียงข้างคนรักยิ่งหายากขึ้นไปอีก
อันหรูอี้สวมผ้าคลุมใบหน้าครึ่งหน้า สวมชุดกางเกงขายาวกับกระโปรงครึ่งตัวสีสด สวมรองบูทหนังสีดำเข้ม ดูสง่างามราวกับนักดาบหญิง ซ่งจื่ออานมองนางพลางหยิบผ้าผูกผมผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วรวบผมทั้งหมดของนางมัดเป็นหางม้า
แต่ทว่าเมื่อนางมองเงาสะท้อนในน้ำ อันหรูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
ไม่ใช่หัวเราะเพราะมีความสุข แต่เป็นเพราะซ่งจื่ออานพยายามมัดผมให้นางอยู่นานแต่ผมของนางก็ยังยุ่งเหยิง หลวมบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง
“พอแล้วเพคะ” อันหรูอี้เอ่ยอย่างอ่อนใจ ดึงผ้าผูกผมมามองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ให้ข้ามัดเองดีกว่า กว่าท่านจะมัดเสร็จ งานเทศกาลโคมไฟคงจบไปแล้ว เหลือแค่ดูท่านเหงื่อตกกระมัง”
ซ่งจื่ออานรู้สึกอายเล็กน้อย พลางเกาตัวเองอย่างเก้อเขิน “เอ่อ…ข้าว่าใช้ได้อยู่นะ”