หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 45 แหวนหยก
บทที่ 45 แหวนหยก
บทที่ 45 แหวนหยก
แม้ฮ่องเต้จะมีรับสั่งแต่งตั้งอันหรูอี้เป็นกุ้ยเฟยแล้ว แต่นางยังไม่ได้รับตราประทับกุ้ยเฟยจากกรมพระคลัง นางจึงไม่จำเป็นต้องเข้าเฝ้าฮองเฮาในช่วงเวลานี้
แต่ฮองเฮากลับมาหาอันหรูอี้ที่ตำหนักด้วยตนเอง ทำให้ซ่งจื่ออานจึงรู้สึกไม่วางใจ แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีท่าทีสงบนิ่งขณะตรวจดูฎีกาในตำหนักไท่เหอ แต่ภายในใจของเขานั้นว้าวุ่นเพียงใดมีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ดี
การแต่งตั้งอันหรูอี้เป็นกุ้ยเฟย ไม่ได้เกิดจากความชอบเพียงอย่างเดียว
เมื่อเป็นกุ้ยเฟยแล้วย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่หากไม่เป็นกุ้ยเฟยอันหรูอี้ก็คงใช้ชีวิตในวังอย่างยากลำบาก
“เซี่ยเหิง” ซ่งจื่ออานหยุดเขียน วางพู่กันลง ถอดแหวนหยกที่นิ้วโป้งขอออกมา “นำสิ่งนี้ไปที่ตำหนักเหมันต์”
เซี่ยเหิงสบตาซ่งจื่ออานอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะรับแหวนหยกมาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ร่างสูงค่อย ๆ ถอยออกไป ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกังวล เขาอยู่เคียงข้างซ่งจื่ออานมานาน เมื่อได้เห็นความเสน่หาที่ซ่งจื่ออานมอบให้อันหรูอี้ที่อาจทำให้นางซาบซึ้ง แต่สำหรับเขาแล้วมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ราวกับมองเห็นเงาสะท้อนบางอย่างที่น่าหวั่นใจซ่อนอยู่ภายใต้ความรักครั้งนี้…
อันหรูอี้ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสาร เขาได้แต่คิดว่าที่ซ่งจื่ออานพานางมาที่วังหลวงแล้วมอบความโปรดปรานที่มากล้นให้กับนาง ก็คงเป็นเพียงความปรารถนาของบุรุษหนุ่มที่หวั่นไหวไปกับความงามอันบริสุทธิ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่การกระทำของซ่งจื่ออานเมื่อวานนี้กับตอนที่ทำกับฮองเฮามิได้แตกต่างกันแม้แต่น้อย อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันของอันหรูอี้ก็ดูอันตรายกว่าฮองเฮาในตอนนั้นเสียอีก
ฮ่องเต้ยังคงเป็นชายหนุ่ม ย่อมมิใช่เรื่องแปลกที่จะมีความคึกคะนองและหลงใหลในไฟเสน่หา แต่ภายในใจของฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้อาจแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและไร้ซึ่งปรานีเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิดได้
ดังนั้น สีหน้าของเซี่ยเหินตอนที่มอบแหวนหยกให้อันหรูอี้ จึงมีความเห็นใจแฝงอยู่เล็กน้อย
แต่ทว่าอันหรูอี้กลับไม่รู้ตัว นางเพียงสวมแหวนหยกที่นิ้วโป้งอย่างดีใจ แล้วเอ่ยกับเซี่ยว่เหิงว่า “ขอบใจท่านองครักษ์เซี่ย รบกวนท่านฝากบอกฝ่าบาทด้วยว่าหม่อมฉันชอบมาก”
เซี่ยเหิงพยักหน้าและคำนับก่อนจะเดินออกจากตำหนักเหมันต์ไป แต่เมื่อเดินไปไม่ไกลเขาก็หันกลับมามองตำหนักที่สวยงามหลังนั้นอีกครั้ง
มันช่างงดงามและโดดเด่น… ราวกับเป็นเป้าที่เด่นชัดยิ่งนัก
ความจริงแล้วแหวนหยกที่ได้รับจากเวี่ยเหิงมาค่อนข้างหลวม นิ้วเรียวของอันหรูอี้สวมไม่ได้เลย นางอยากจะบ่นสองสามคำ แต่เห็นซ่างกวนหมิงหมิงนั่งอยู่ข้าง ๆ จึงไม่อยากพูดมาก
ถึงอย่างไรนางก็เป็นสนมเช่นกัน นางไม่ควรแสดงออกว่าดีใจเกินไป
ซ่างกวนหมิงหมิงในตอนนี้มีท่าทีผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อเห็นท่าทางลังเลของอันหรูอี้ก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “อยากจะเอ่ยสิ่งใดก็เอ่ยออกมาเถิด เจ้าวางใจได้ ข้าไม่อิจฉาเจ้าหรอก”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของนางหนักแน่นพอ ๆ กับแววตาที่เผยออกมาของนาง หากเป็นผู้อื่นอันหรูอี้คงไม่เชื่อ แต่ด้วยนิสัยของซ่างกวนหมิงหมิงทำให้นางไม่คิดสงสัยเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีอันหรูอี้ก็สงสัยว่าซ่างกวนหมิงหมิงไม่ได้อยากเข้าวังอยู่แล้ว เห็นได้จากการที่ทั้งสองทะเลาะกันตั้งแต่เด็กเพราะเรื่องเดียวกัน แม้แต่ตอนคัดเลือกสนมก็ยังกล้าก่อเรื่อง
“เหตุใดหรือ..” อันหรูอี้อดที่จะถามไม่ได้ นายเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ข้าถึงมิอยากเข้าวังตั้งแต่แรกแล้ว” ซ่างกวนหมิงหมิงตอบตามคาด
“ท่านพ่อบังคับให้ข้าเข้ามา แต่เจ้ารอดูเถิด สักวันพวกเราจะต้องออกจากที่นี่ได้แน่”
“พวกเรา?” อันหรูอี้เน้นคำเอ่ยอีกครั้ง
ซ่างกวนหมิงหมิงกะพริบตา “กล่าวผิดน่ะ”
อันหรูอี้มองนางอย่างลึกซึ้ง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็ลดเสียงให้เบาลง “หรือว่าเจ้าจะมีคนที่หมายปองแล้ว?”
ซ่างกวนหมิงหมิงใช้ผ้าคลุมไหล่ฟาดอันหรูอี้เบา ๆ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “เจ้าอย่าเอ่ยมั่ว ๆ สิ ในตำหนักของเจ้าไม่รู้มีคนคอยจับตาดูอยู่เท่าไหร่ ระวังคนอื่นตจะได้ยินเข้า ข้ายังอยากมีชีวิตสงบสุขนะ”
อันหรูอี้ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ามิต้องห่วง เถาหง หลิวลวี่ และท่านป้าชิวจื้อ ล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ ข้าเองก็มิได้ชอบคนเยอะ คนนอกเข้ามาในห้องนี้มิได้หรอก”
ซ่างกวนหมิงหมิงยิ้ม กำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญพันปี พัน ๆ ปีคำนับกุ้ยเพคะ”
“เห็นหรือไม่?” อันหรูอี้ขยิบตาให้ซ่างกวนหมิงหมิง “เรื่องวุ่นวายมาแล้ว”
ซ่างกวนหมิงหมิงกลั้นขำไม่อยู่ เป็นอย่างที่นางว่าจริงด้วยอันหรูอี้มีนิสัยที่น่ารักกว่า ส่วนนิสัยชอบแทงข้างหลังของอันหลิงหลงนั้นนางรังเกียจเป็นที่สุด
ทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกัน อันหรูอี้ยังไม่ทันได้รับพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจึงคุกเข่าลงพร้อมกับนาง “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ คารวะสวีกุ้ยเฟยเพคะ”
ตำแหน่งสนมในวังของแคว้นซีจิ้นนั้นไม่มีการจำกัดจำนวน กุ้ยเฟยก็เช่นกัน เมื่ออันหรูอี้ได้รับรับสั่งแต่งตั้งแล้วก็ถือเป็นกุ้ยเฟยแล้วเช่นกัน
นางค้อมกายคารวะเพียงครั้งเดียว ท่าทางสง่างามงดงาม ความงามน่าตะลึง แม้ว่าซ่างกวนหมิงหมิงจะมีรูปโฉมไม่ด้อยไปกว่ากัน ซ้ำยังมีท่าทางองอาจน่าเกรงขาม แต่สายตาของทุกคนกลับหยุดอยู่ที่อันหรูอี้
กลุ่มคนเดินเข้ามา ฮองเฮามองนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเดินไปนั่งบนที่นั่งประจำตำแหน่งของตำหนักเหมันต์อย่างเชื่องช้า แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เชิญน้องทั้งสองลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้ากับสวีกุ้ยเฟย เพียงแค่มาเยี่ยมน้องหญิงเท่านั้น มิต้องมากพิธี”
“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
อันหรูอี้สบตากับซ่างกวนหมิงหมิง ชิวจื้อช่วยพยุงอันหรูอี้ขึ้น หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว สายตาที่ฮองเฮามองมาก็ยิ่งหนักขึ้น
เหลิงเยว่พยายามฝืนยิ้ม “น้องหญิงช่างงดงามสมคำร่ำลือ สมกับเป็นบุตรสาวคนโตของจวนตระกูลอัน มิแปลกใจที่ฝ่าบาทหลงใหล ถึงกับต้องรับเข้าวังกลางดึกเช่นนี้ น้องหญิงพักอยู่ที่นี่สะดวกสบายดีหรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้แฝงไปด้วยการเสียดสี ชัดเจนว่ากำลังพูดจาเสียดสีที่นางเข้าวังกลางดึก สูญเสียกริยามารยาท แต่สำหรับอันหรูอี้แล้วนางไม่ได้ใส่ใจ
หากแม้แต่คำด่าทอตรง ๆ ของหวังเสวี่ยเฟิงและอันหลิงหลงนางยังทนได้ การเสียดสีเล็กน้อยของฮองเฮานับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ความสามารถในการเสแสร้งของอันหรูอี้ก็พอตัว
ซ่างกวนหมิงหมิงไม่กล้าพูดแทน จ้องมองอันหรูอี้ด้วยความกังวล
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “ฮองเฮาทรงชมเกินไปแล้วเพคะ”
แล้วอย่างไรต่อ?
ซ่างกวนหมิงหมิงกะพริบตา มองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาฉงนใจ เด็กสาวโง่งมที่เคยมีนิสัยโผงผางผู้นั้น ยามนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวหลายปีที่ผ่านไปจะช่วยขัดเกลานางขึ้นมากทีเดียว
สวีเจิ้งเหลือบมองเหลิงเย่อย่างเย้ยหยัน พลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“สายพระเนตรของฝ่าบาทนั้นทรงเลิศล้ำอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ทรงเลือกพระองค์เป็นฮองเฮาเช่นนี้?”
แววตาขุ่นเคืองแวบผ่านดวงตาของเหลิงเย่ทันที “น้องหญิงเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
สวีเจิ้งหัวเราะ “ฮองเฮามิได้ทรงชมเชยหรูอี้อยู่หรอกหรือเพคะ ข้าแค่เออออตามไปด้วยเท่านั้น เหตุใด…เอ้ะ หรือว่าฮองเฮาทรงปากไม่ตรงกับใจ?”
ได้ยินกิตติศัพท์ความองอาจกล้าหาญของสวีกุ้ยเฟยมาโดยตลอด วันนี้ได้เห็นกับตา ช่างสมกับคำร่ำลือจริง ๆ
อันหรูอี้นั่งดูทั้งสองโต้เถียงกันอย่างสนุกสนาน มือของนางกําแหวนหยกของซ่งจื่ออานไว้แน่น นางเพียงนั่งเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ก็หันไปสบตากับซ่างกวนหมิงหมิง ทั้งคู่ต่างก็พยายามกลั้นยิ้ม
เหลิงเยว่กัดฟันกรอด นางกำผ้าคลุมไหล่ไว้แน่นก่อนจะฝืนยิ้มอีกครั้ง แล้วหันไปมองอันหรูอี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “น้องหญิงพึ่งเข้าวัง อาจจะยังมิรู้เรื่องราวมากนัก พิธีการแต่งตั้งสนมขึ้นเป็นกุ้ยเฟยของแคว้นซีจิ้นต้องจัดขึ้นที่ตำหนักยงฮวา ทั้งมารยาทและข้อห้ามต่าง ๆ น้องหญิงรู้หรือไม่?”
อันหรูอี้ ยิ้มบาง ๆ “โปรดวางพระทัยเถิดเพคะ ท่านป้าชิวจื้อบอกกล่าวเรื่องราวทุกอย่างให้กับหม่อมฉันแล้วเพคะ หม่อมฉันมิทำผิดธรรมเนียมเป็นแน่เพคะ”
เหลิงเยว่กล่าวต่อ “ชิวกูกู รับใช้ไทเฮามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดฝ่าบาททรงใส่พระทัยน้องหญิงยิ่งนัก”
ยังเอ่ยไม่ทันขาดคำ สายตาของนางก็พลันไปหยุดอยู่ที่มือของอันหรูอี้ แหวนหยกใสแวววาว วงใหญ่กว่านิ้วโป้งเสียอีก ส่องประกายสีเขียวมรกต
มันช่างงดงามราวกับตอนที่นางมอบมันให้เขาไม่มีผิดเพี้ยน…