หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 44 เด็กสาวที่โง่งม
บทที่ 44 เด็กสาวที่โง่งม
บทที่ 44 เด็กสาวที่โง่งม
หลังจากที่พระราชโองการแต่งตั้งกุ้ยเฟยประกาศออกไปแล้ว อันหรูอี้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องมีคนมาที่ตำหนักเหมันต์ของนาง เพื่อมาลองเชิงนางอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อวานหลังจากกลับเข้าวังนางจึงฝึกฝนการวางตัวและมารยาทขั้นพื้นฐานในวังกับชิวจื้อ
ซ่งจื่ออานมาเยี่ยมในตอนเย็น เห็นนางกำลังฝึกเดินอย่างตั้งอกตั้งใจก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าว่ามิต้องขนาดนั้นหรอกชิวกูกู*[1] เจ้าเพียงสอนให้นางพูดแค่คำว่า ‘ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี’ คงพอแล้วกระมัง?”
แต่ชิวจื้อกลับกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่าทางของกุ้ยเฟยหรูอี้นั้นดีมากแล้ว การคำนับนั้นมิได้ยากเท่าไรนักเพคะ หม่อมฉันเกรงแต่ว่านางจะทำผิดธรรมเนียมต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นฝึกไว้ให้ระมัดระวังดีกว่าเพคะ”
คำกล่าวนี้ถูกต้อง หากเกิดความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆแล้วนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง อันหรูอี้ก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับมันเช่นกัน
แต่อันหรูอี้ยังไม่ทันเอ่ยปาก ซ่งจื่ออานก็กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็มิเป็นไร อีกไม่กี่วันให้โจวฟูมาที่นี่ บอกไปว่าหรูอี้ร่างกายยังมิหายดี ต่อไปนี้ก็มิต้องไปคำนับที่ตำหนักคุนหนิงก็แล้วกัน”
ชิวจื้ออ้าปากค้างด้วยความตกใจ
อันหรูอี้หลุดขำออกมา “ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฮองเฮาและกุ้ยเฟยองค์อื่น ๆ คงต้องมาเยี่ยมแน่ แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรเพคะ?”
ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ครู่หนึ่งก็แย้มยิ้มออกมามองดวงตาที่เป็นปรพกายของอันหรูอี้ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็มิต้องกังวล ที่นี่คือตำหนจักเหมันต์ มิต้องเคร่งครัดกับธรรมเนียมมากนัก”
ซ่งจื่ออานหยุดไปครู่หนึ่ ก่อนจะกล่าวต่อ “หรูอี้ เจ้ามิจำเป็นต้องระมัดระวังให้มากนัก ต่อให้เจ้าจะแสดงท่าทางหยิ่งผยองโอหังสักหน่อย ก็มิมีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องเจ้าหรอก”
อันหรูอี้ทนทุกข์ทรมานมามากเพียงใด เขาก็จะมอบความสบายใจให้นางมากเท่านั้น
ธรรมเนียมในวังช่างน่ารำคาญเสียเหลือเกิน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทนไม่ไห มักจะคิดอยากออกไปเดินเล่นนอกวังอยู่เสมอ อันหรูอี้ถูกบังคับให้เข้าวังเช่นนี้ คงจะยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชิวจื้อจึงไม่ได้กำชับอันหรูอี้ให้ระมัดระวังอีก แต่กลับหันไปกำชับเตือนเถาหงและหลิวลวี่อย่างจริงจัง อันหรูอี้เป็นกุ้ยเฟยด้วยตำแหน่งของนางย่อมไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องอยู่แล้ว แต่ทว่ากับสาวใช้ข้างกายนั้นช่างจัดการได้ง่ายนัก
เถาหงกับหลิวลวี่รู้ดีถึงเรื่องนี้ จึงไม่กล้าประมาท ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อมีสนมและฮองเฮามาเยี่ยม ทั้งสองจึงทำตัวเรียบร้อยไม่แตกต่างจากนางกำนัลที่รับใช้ในวังหลวงมาเป็นเวลานาน
ถึงแม้จะเป็นการเตรียมตัวกะทันหัน แต่ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
ช่วงบ่าย คนที่มาเยี่ยมคือซ่างกวนหมิงหมิงนางเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา คล่องแคล่วว่องไว หลังจากคำนับฮ่องเฮาเสร็จก็ตรงมาที่นี่ ทันทีที่ได้ยินเสียงของนางอันหรูอี้ก็สบตากับชิวจื้อโดยอัตโนมัติ
เสียงนี้คล้ายกับเสียงที่ได้ยินจากกองหินจำลองเมื่อวานนี้ราวกับฝาแฝด ดูท่าว่าจะได้พบกันโดยบังเอิญเสียแล้ว
ทันทีที่ซ่างกวนหมิงหมิงย่างกรายเข้าสู่ตำหนักเหมันต์ เบื้องหน้าก็ปรากฏร่างระหงของสตรีนางหนึ่งที่สวมชุดเหลืองอ่อน นั่งอยู่บนที่ประทับอย่างสง่างาม
ใบหน้างดงามขาวผ่องดุจหยกชั้นดี แม้จะแลดูอ่อนล้าราวกับดอกไม้ที่ต้องสายฝนแต่กลับไม่ลดทอนความงามแม้แต่น้อย ดวงตางามกระจ่างใสดั่งหยาดน้ำค้างที่สะท้อนประกายวับวามอยู่ใต้คิ้วเรียวโก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งกลีบดอกท้อเผยรอยยิ้มบางเบาช่วยขับเน้นให้ใบหน้ารูปไข่ยิ่งดูงดงาม ผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้นสูงประดับด้วยปิ่นปักผมหยกอันวิจิตร แซมด้วยปอยผมที่ปล่อยลงมาข้างแก้มยิ่งขับเน้นให้ใบหน้างดงามหมดจน แม้แต่สตรีด้วยกันยังอดตะลึงงันไม่ได้
ซ่างกวนหมิงหมิงตะลึงกับความงดงามตรงหน้า จึงยังไม่ทันได้กล่าวอันใดออกมา แต่ทว่าอันหรูอี้กลับผงกศีรษะให้นางก่อนแล้วเอ่ยว่า “น้องหมิง”
ซ่างกวนหมิงหมิงตั้งสติได้จึงรีบคุกเข่าคำนับ “ถวายพระพร กุ้ยเฟย”
อันหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ก้าวไปข้างหน้าประคองนางขึ้นมาอย่างช้า ๆ ซ่างกวนหมิงหมิงตกใจกับท่าทางที่เป็นกันเองของนาง ก็นึกว่าอันหรูอี้ต้องการตีสนิทด้วย แต่กลับได้ยินนางพูดว่า “ต่อไปนี้เวลาเข้ามาในตำหนักเหมันต์ มิต้องมากพิธี”
ซ่างกวนหมิงหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง ถ้าหากเรื่องนี้เข้าหูอันหลิงหลง เกรงว่านางคงจะฉวยโอกาสนี้ ไปฟ้องฮองเฮาเพื่อหาเรื่องนางแน่
ชิวจื้อรีบก้าวเข้ามาอธิบาย “พระสนมซ่างกวนอย่าเข้าใจผิด ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้ตำหนักเหมันต์แห่งนี้ มิต้องมีพิธีรีตรองมากนัก ฝ่าบาทเกรงว่ากุ้ยเฟยจะมิสบายใจเพคะ”
“…”ซ่างกวนหมิงหมิงยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “กุ้ยเฟยช่างมีน้ำใจยิ่งนัก ฝ่าบาทก็มีรับสั่งหม่อมฉันว่าควรปฏิบัติตาม แต่เกรงว่าจะดูไม่เคารพให้คนอื่นนินทาเอาได้ ขอกุ้ยเฟยโปรดอภัยด้วยเพคะ”
อันหรูอี้กะพริบตา แล้วหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน นางหัวเราะจนรอยยิ้มบนใบหน้าของซ่างกวนหมิงหมิงแทบจะแข็งทื่อขึ้นเรื่อย ๆ
อันหรูอี้เอามือแตะจมูก ถามนาง “เจ้ายังจำเด็กสาวที่เคยต่อยตีกับเจ้าตอนอายุสิบสองได้หรือไม่?”
ซ่างกวนหมิงหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ?”
“เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี” อันหรูอี้ยิ้มอย่างมีเจ้าเล่ห์ แสร้งถอนหายใจ “เฮ้อพริกขี้หนูเช่นเจ้า พอโตขึ้นมาก็ทำตัวเรียบร้อยเชียวนะ”
ดวงตาของซ่างกวนหมิงหมิงเบิกกว้างเล็กน้อย นึกขึ้นได้ทันทีว่าตนเคยพบเด็กสาวที่โง่เง่าผู้หนึ่ง นางแต่งตัวเต็มไปด้วยสีแดงเข้มในงานเฉลิมฉลองบางอย่างที่จวนใดสักแห่ง
จริง ๆ แล้วเรื่องราวในคราวนั้นก็มิได้มีอันใดพิเศษ นางเพียงแค่เยาะเย้ยเด็กสาวโง่นั่นไปประโยคหนึ่ง เด็กสาวโง่นั่นก็เตะนางไปทีหนึ่ง แล้วพวกนางก็ต่อสู้กัน…
“อา!” ซ่างกวนหมิงหมิงร้องเสียงหลงออกมาทันที “เจ้าคือเด็กสาวโง่งมผู้นั้นที่ทำให้ข้าโดนตีที่บ้านงั้นรึ!”
อันหรูอี้ “เด็กสาวโง่งม..”
ชิวจื้อรีบมองไปรอบ ๆ แล้วรีบดึงทั้งสองคนเข้าไปในห้อง “โอ๊ย นายหญิงของข้า เอ่ยเรื่องนี้ในห้องดีกว่าหรือไม่? วันนี้ยังมีแขกคนอื่น ๆ อยู่นะเพคะ”
ซ่างกวนหมิงหมิงตั้งสติได้ มองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกผิด แล้วกวาดตามองอันหรูอี้ ความรู้สึกคุ้นเคยในอดีตผุดขึ้นมาในใจ นางเดินวนรอบ ๆ อันหรูอี้ “มิน่าเชื่อ เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ”
อันหรูอี้หรี่ตาลง ในชาติก่อนนางกับซ่างกวนหมิงหมิงมักมีเรื่องให้ทะเลาะกันบ่อย แม้แต่การคัดเลือกสนมนางก็ถูกลากกลับไปที่จวนเพื่อรับโทษเพราะนางดันไปทำตัวโง่เขลาด้วยการไปทะเลาะกับซ่างกวนหมิงหมิงจนทำให้บิดาของนางขายหน้า
แต่พอคิดไปคิดมา ตอนนั้นซ่างกวนหมิงหมิงก็พลอยซวยไปกับนางด้วยเช่นกัน
อันหรูอี้ยื่นมือไปบีบแก้มของซ่างกวนหมิงหมิงอย่างหมั่นเขี้ยว เผยให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของหญิงสาววัยสิบแปด “เจ้ายังเอ่ยว่าข้าทำให้เจ้าโดนตีอีก แล้วข้าเล่ากลับไปมิโดนตีรึไง”
จริง ๆ แล้ว การอบรมสั่งสอนของหวังเสวี่ยเฟิงก็มีข้อดี นิสัยที่ตรงไปตรงมาและไม่ยอมคนของอันหรูอี้ ทำให้นางกล้าหาญและมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ที่จวนอัครมหาเสนาบดี เพื่อเอาใจท่านพ่อนางจำต้องเก็บซ่อนความเป็นตัวเองเอาไว้ แต่บาดแผลที่หวังเสวี่ยเฟิงฝากไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะลบเลือนไปได้ง่าย ๆ
ในเมื่อตอนนี้ ซ่งจื่ออานเต็มใจที่จะตามใจนาง นางก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตนเองอีกต่อไป
ซ่างกวนหมิงหมิงถึงกับหน้าชักสีหน้าใส่ ถ้าไม่ติดว่าไม่ได้เจอกันนาน และเกรงใจฐานะกุ้ยเฟยของอันหรูอี้ นางคงได้ตบปากอันหรูอี้ไปแล้ว
แต่นาทีนี้นางได้แค่ปัดมืออันหรูอี้ที่บีบแก้มนางออก แล้วกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ตอนนั้นเจ้าก็เป็นคนเริ่มก่อนมิใช่รึ?”
อันหรูอี้ดึงนางมานั่งลง แล้วมองสำรวจอย่างสนใจ “ผ่านไปหลายปี เจ้าเองก็เปลี่ยนไปเยอะเช่นกันนะ”
ซ่างกวนหมิงหมิงเลิกคิ้ว “มิเท่าเจ้าหรอก”
อันหรูอี้หลุดขำออกมา “เลิกพูดจาประชดประชันได้แล้ว ข้าฟังมิรู้เรื่อง
‘พริกขี้หนู’ อย่างเจ้า ต้องพูดจาเผ็ดร้อนถึงจะถูก ตอนนั้นด่าคนอื่นมิเห็นว่าเจ้าจะเรียกพี่เรียกน้องเลยมิใช่หรือ?”
“ที่นี่มันวังหลวงนะ” ซ่างกวนหมิงหมิงกลอกตามองบน “ถ้าตอนนี้ข้ากล้าด่าเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นถึงกุ้ยเฟย แต่เชื่อเถอะ พรุ่งนี้เช้าศพข้าคงได้ไปนอนที่ก้นหลุมในป่าช้าหลวงแน่”
“เจ้ามิต้องกังวล” อันหรูอี้หัวเราะ “จื่ออานมิใช่คนโหดร้ายเพียงนั้น”
ซ่างกวนหมิงหมิงเบิกตากว้าง “เจ้ากล้าเรียก… พระนามของฝ่าบาทเช่นนั้นเลยรึ!?”
ใบหน้าของอันหรูอี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ยิ่งขับให้ใบหน้างดงามยิ่งขึ้น
ซ่างกวนหมิงหมิงอ้าปากค้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเถาหงรายงานจากด้านนอก “กุ้ยเฟยเพคะ ฮ่องเต้ทรงส่งท่านเซี่ยเหิงนำสิ่งของมาถวายเพคะ”
[1] กูกู : เรียกนางกำนัลรับใช้ผู้มีอาวุโสอยู่ทำงานรับใช้ในวังมานานและใกล้จะเกษียณออกจากวัง