หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 43 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย
บทที่ 43 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย
บทที่ 43 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย
คำว่า ‘กุ้ยเฟย’ ราวกับคลื่นพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำซัดสาดวังหลวงให้สะเทือนไปทั่วทั้งวัง
อันหรูอี้เพิ่งจะก้าวเข้าวังแท้ ๆ ก็ได้เป็นถึงกุ้ยเฟย นี่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ซีจิ้น
เหลิงเยว่เดินเข้าตำหนักคุนหนิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ใด ๆ เงยหน้าขึ้นก็เห็นบัลลังก์เฟิ่งหวงที่ทำจากหยกงามอันล้ำค่า นางเข้าวังมาหลายปี แต่ซ่งจื่ออานกลับนาน ๆ ทีจะมาเยือนตำหนักหลังนี้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหตุใดเขาจึงแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา
อดีตฮ่องเต้และอดีตฮองเฮาสวรรคตก่อนเวลาอันควร ทำให้ราชบัลลังก์สั่นคลอน ภายในราชสำนักก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นซ่งจื่ออานยังเยาว์วัยนักจำเป็นต้องพึ่งพาขุนนางเขาจึงรับนางเข้าวัง เช่นเดียวกับยามสงครามสงบ เขาก็ต้องการแม่ทัพที่เก่งกาจดังนั้นเขาจึงรับเอาสวีเจิ้งเข้าวังเป็นสนมอีกคน
นางย่อมรู้ดีแก่ใจ
ทว่าสามปี… ตลอดสามปีมานี้ ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นกลับฝังลึกในห้วงความทรงจำนางมิอาจลบเลือนได้
เขาเคยให้สัญญาว่าจะดูแลนางอย่างดี ให้นางอยู่อย่างสุขสบาย ไร้กังวล แต่สามปีผ่านไปนับตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์ครั้งนี้เป็นการคัดเลือกสนมครั้งแรกและนี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่เขามอบแก่ให้นาง
ต่อให้การกระทำเช่นนี้ของเขาเป็นแผนการกำจัดตระกูลเหลิง หรือแม้ว่าตระกูลเหลิงจะกำเริบเสิบสานเพียงใด นางก็อยู่เคียงข้างเขามานานสามปี เขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลยงั้นรึ? ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวนางสักคำ เขามอบตำแหน่งกุ้ยเฟยให้กับสตรีนางอื่นเช่นนี้ได้ง่าย ๆ อย่างไร?
หึ ไร้กังวลงั้นรึ… ตอนนั้นนางช่างโง่เขลายิ่งนักที่หลงเชื่อในคำลวงที่น่าขันเช่นนั้นได้
หว่านอิงนางกำนัลคนสนิทรีบเข้าไปประคองนางด้วยความเป็นห่วง แต่ถูกเหลิงเยว่สะบัดมือออก “ออกไปให้หมด! ไปให้พ้น!”
หว่านอิงเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง แต่พอตั้งสติได้ก็เห็นว่าตนถูกไล่ออกมาจากตำหนักคุนหนิงพร้อมกับนางกำนัลและขันทีคนอื่น ๆ แล้วพอประตูตำหนักปิดลง ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะชะเง้อมอง ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงภาพเบื้องหลังประตูบานนั้น
เสียงทุบทำลายข้าวของดังลั่น ราวกับถูกโจรปล้นสร้างความหวาดผวาให้แก่ผู้คนที่ได้ยิน
แต่ทว่าตำหนักซูหัวนั้น ช่างแตกต่างจากตำหนักคุณหนิงอย่างสิ้นเชิง ภายในตำหนังซูฮวา สวีเจิ้งกลับเพียงลูบไล้ปิ่นปักผมด้วยแววตาสนใจ
“ข้าอยากรู้จังว่านางเป็นสตรีเช่นไรถึงทำให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยได้ทันทีหลังจากที่นางเข้าวัง หากเป็นเช่นนี้ฮองเฮาคงจะพิโรธแล้วกระมัง”
‘ชิงอวิ๋น’หัวหน้านางกำนัลประจำตำหนักซูฮวายิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวขึ้นว่า “เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลอัครมหาเสนาบดีเพคะ นางย่อมต้องโดดเด่นกว่าผู้อื่นอยู่แล้วเพคะ กระหม่อมได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่ผู้นี้กับพระสนมหลิงหลง ยังมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเข้าวังด้วยนะเพคะ”
“โอ้” สวีเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ข้าพอได้ยินมาบ้าง ด้วยนิสัยเช่นนั้นของอันหลิงหลงข้างกายนางจึงไร้มิตรแท้ มีแต่พวกสอพอหวังผลโยชน์ทั้งนั้น”
ชิงอวิ๋นก้มหน้าลงแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ อีกครั้ง “วันนี้ฮองเฮาพาพระสนมอันหลิงหลงไปที่โรงหล่อเครื่องราชบรรณาการด้วยเพคะ”
สวีเจิ้งได้ยิงที่นางกำนัลเอ่ยพิมพำเบา ๆ ก็เลิกคิ้วทันที “เจ้าเอ่ยเสียงดังกว่านี้ได้หรือไม่? ถึงข้าจะจับตาดูนางแล้วมันอย่างไร? ข้ากล้าทำก็กล้ารับ มาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในตำหนักตัวเองเช่นนี้ ข้าไม่ชอบ”
ชิงอวิ๋นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “เพคะ”
สวีเจิ้งไม่กล่าวอันใดต่ออีก นางครุ่นคิดถึงเรื่องอันหรูอี้ มือที่งดงามของลูบคางอย่างใช้ความคิด “อย่างไรอีกสองวันก็ถึงพิธีแต่งตั้งแล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้เราไปเดินเล่นที่เรือนเหมันต์ของนางกันดีกว่า”
“พรุ่งนี้เลยหรือเพคะ?” ชิงอวิ๋นลังเลเล็กน้อย “เช่นนี้จะดีหรือเพคะ?”
“มีสิ่งใดมิดีเล่า” สวีเจิ้งลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย พลางหันไปมองท้องฟ้าภายนอก แล้วมุมปากก็ยกยิ้ม “พรุ่งนี้เรือนเหมันต์คงครึกครื้นน่าดู ฮองเฮาที่ใจแคบเช่นนั้น นางต้องไปแสดงอำนาจของตนเองเป็นแน่”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกลายเป็นคาดหวังขึ้นมาทันที “เด็กสาวที่เพิ่งเข้าวังเช่นนาง แม้แต่การวิธีคำนับก็มิรู้จะต้องทำเช่นไร นางย่อมสู้กับฮองเฮาจิ้งจอกนั่นมิได้หรอก เราต้องไปช่วยเหลือซักหน่อย”
ชิงอวิ๋นถอนหายใจ “กุ้ยเฟยก็ใจดีเกินไปแล้ว”
สวีเจิ้งจ้องนาง “เจ้าโง่ ในวังหลวงแห่งนี้มิมีผู้ใจดีหรอก แม้แต่ฮ่องเต้ หัวใจของฮ่องเต้ก็มิอาจมั่นคงได้นาน”
ในขณะที่สวีเจิ้งทำตัวสบาย ๆ อันหลิงหลงที่ตำหนักชูฮวากลับตกอยู่ในสภาวะตรงกันข้าม
นางกำนัลคนสนิทไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ ส่วนแม่นมที่คอยอบรมสั่งสอน เดิมทีก็ไม่ชอบขี้หน้าอันหลิงหลงที่ชอบทำตัวสูงส่งมาตั้งแต่แรก จึงปล่อยให้นางอยู่คนเดียว
บรรดานางกำนัลและขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ต่างพากันเอามืออุดหู
ซิ่วหงนางกำนัลคนสนิทอันหลิงหลง นางดึงผ้าห่มด้วยท่าทางหวาดกลัว มองอันหลิงหลงที่กำลังสติแตกด้วยความร้อนใจ นางโตในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้จักโรงหล่อเครื่องราชบรรณาการเป็นอย่างดี
แม้ว่าชื่อโรงหล่อเครื่องราชบรรณาการพอได้ยินแล้วรู้สึกมิได้ผิดแปลกอันใด แทมั้จริงแล้วมันคือสถานที่ลงทัณฑ์ของวังหลวง ไม่ว่าจะเป็นพระสนมชั้นสูง หรือนางกำนัลต่ำต้อย ล้วนถูกนำตัวไปลงโทษที่นั่น และไม่มีผู้ใดที่เข้าไปแล้วออกมาโดยที่ร่างกายยังสมบูรณ์
แต่วันนี้ฮองเฮากลับลากอันหลิงหลงไปเดินเล่นในห้องนั้น ภายในห้องนั้นไม่ได้มีกลิ่นเหม็นสาบอันใด เพื่อป้องกันโรคระบาดพวกเขาจึงทำความสะอาดคราบเลือดและคราบเนื้อต่าง ๆ จนหมดสิ้น
แต่ตะขอเหล็กเปื้อนเลือดยังคงแขวนอยู่บนกำแพง ขันทีที่ถูกควักลูกตายังร้องครวญครางอยู่ที่มุมห้อง ส่วนนางกำนัลที่ถูกถอดเสื้อผ้า ก็กำลังร้องไห้อยู่ใต้ร่างของทหารยาม
“ระวังปากของเจ้าให้ดี ใช้สมองของเจ้าให้มากขึ้น” ฝ่าบาทกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อันหลิงหลง… ที่นี่มิใช่จวนของเจ้า และข้าก็มิใช่มารดาของเจ้า ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะฉลาดมิได้ก็จงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง เข้าใจหรือไม่?”
อันหลิงหลงถูกฮองเฮาลากออกมาจากโรงหล่อเครื่องราชบรรณาการด้วยร่างกายสั่นเทา กว่าจะเดินไหวก็เล่นเอาเหนื่อยแต่พึ่งจะเดินผ่านตำหนักไท่เหอก็ได้ยินข่าวร้ายเข้าอีก
อันหรูอี้ได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย เป็นถึงพระสนมขั้นหนึ่งส่วนนางไม่มีแม้แต่ขั้น
ถ้าหากอันหรูอี้จะแก้แค้นนางล่ะก็…
ภาพเหตุการณ์ในโรงหล่อเครื่องราชบรรณาการนผุดขึ้นมาในหัว อันหลิงหลงรู้สึกคลื่นไส้ ความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แล่นปราดไปทั่วร่าง
“ฮะ ฮองเฮา” อันหลิงหลงคว้าผ้าห่มไว้แน่น “หม่อมฉันจะเชื่อฟังเพคะ”
ในเวลาเดียวกัน นอกวังหลวงที่จวนอัครมหาเสนาบดี ขันทีข้างกายฮ่องเต้ก็กำลังเดินออกจากจวน
บุตรสาวได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย อีกสามวันจะมีพิธีรับพระราชทานตราตั้ง ซ่งจื่ออานต้องการจัดงานใหญ่ ถึงแม้จะเกินหน้าเกินตาฮองเฮาไม่ได้ แต่ก็ต้องฉวยโอกาสนี้กดดันฮองเฮาสักหน่อย
อันก่วงเหนิงครุ่นคิด ถึงแม้เขาจะคิดว่าซ่งจื่ออานยังเป็น ‘ฮ่องเต้วัยเยาว์’ อยู่เสมอ แต่เขาก็รู้ว่าซ่งจื่ออานไม่ใช่คนโง่เขลา การที่เขาแต่งตั้งอันหรูอี้เป็นกุ้ยเฟยย่อมมีเหตุผลมากกว่านั้น
อันหรูอี้…
ซ่งจื่ออานคือฮ่องเต้ ไม่ควรทุ่มเทความรู้สึกให้กับเขามากเกินไป มิฉะนั้นวันหนึ่งอันหรูอี้จะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงบุตรสาว ความรู้สึกของอันก่วงเหนิงก็ยิ่งสับสน ทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิด แต่กระนั้นนางก็คือบุตรสาวของเขา อันก่วงเหนิงเดินกลับไปที่ห้องอักษรอย่างช้า ๆ เห็นเซียวชิงอนุภรรยาของเขายืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตู
“ท่านพี่” เซียวชิงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนหวาน
หัวใจของอันกวงเหนิงอ่อนยวาบเมื่อได้ยินเสียงอันอ่อนหวาน เขาดึงร่างบอบบางของภรรยารักเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพากันเดินเข้าไปในห้องอักษรระหว่างทางเขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วนางตัวดี หวังเสวี่ยเฟิง มันเป็นยังไรบ้าง?”
เซียวชิงถอนหายใจเบา ๆ “พี่หญิงใหญ่ยังบาดเจ็บสาหนักจากคืนนั้น หมอหลวงบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงนัก”
“สมน้ำหน้า นางทำตัวเองทั้งสิ้น!” นึกถึงเรื่องน่าอับอายที่หวังเสวี่ยเฟิงเป็นคนก่อที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุตรสาวต้องห่างเหิน อันก่วงเหนิงก็รู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก
เซียวชิงลูบหลังเขาเบา ๆ “ท่านพี่เจ้าค่ะ ใจเย็น ๆ อย่าไปถือสาหาความกับคนป่วยเลย พี่หญิงใหญ่สำนึกผิดแล้ว นางบอกว่าพอหายดีแล้ว จะไปบวชชีที่วัดหวงเมี่ยวเพื่อชดใช้ความผิด ท่านพี่จะไปดูนางหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
อันก่วงเหนิงไม่อยากพูดถึงนางอีก ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “มิต้องไปหรอก นางอยากจะไปบวชชีมิใช่รึ? หึ เจ้าก็สั่งคนหามนางไปส่งก็สิ้นเรื่อง ปล่อยให้อยู่ในจวนก็รกหูรกตาเสียเปล่า”
เมื่อวานเขาเป็นห่วงเรื่องราวในวังจึงแอบส่งคนไปสืบข่าว และก็ได้ข่าวมาว่าอันหลิงหลงทำเรื่องขายหน้าในวังตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าไป
แน่นนอนว่าในวังหลวงเบื้องหน้าและเบื้องหลังล้วนเชื่อมโยงกัน แม้แต่ตอนเลิกท้องพระโรง ยังมีขุนนางคนอื่น ๆ เอ่ยเย้ยหยันเขา ส่วนเหลิงตูนั้นก็พูดจาดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง ว่าเขาเลี้ยงลูกสาวได้โง่เง่าเต่าตุ่น ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า!
ในยามนี้ดูเหมือนว่าอันหรูอี้ต่างหาก ที่จะมีแววจะเป็นสตรีที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าเสียยิ่งกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้น อันก่วงเหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “เจ้าเตรียมตัวเตรียมของไว้ให้พร้อม อีกไม่กี่วันก็ถึงวันประกอบพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยแล้ว งานนี้ข้าจะต้องไม่เสียหน้า เลือกของขวัญชิ้นงาม ๆ ไว้ พรุ่งนี้เอามาให้ข้าดู ส่วนเรื่องในจวนเจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”
เซียวชิงยิ้มหวานตอบรับทันที “เจ้าค่ะ ท่านพี่”