หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 42 พันธสัญญาแห่งรักนิรันดร์
บทที่ 42 พันธสัญญาแห่งรักนิรันดร์
บทที่ 42 พันธสัญญาแห่งรักนิรันดร์
ซ่งจื่ออานให้อันหรูอี้ลุกนั่ง ส่วนตัวเองหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวออกมาจากโต๊ะ กล่องสีแดงทองลวดลายดอกไม้ที่วาดอย่างประณีตบรรจง มุมที่ซับซ้อนประดับประดาด้วยรูปคนตัวเล็ก ๆ แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง
อันหรูอี้ไม่ได้สนว่าข้างในกล่องจะคือสิ่งใด แต่กลับรู้สึกสนใจรูปคนตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นเสียมากกว่า “นี่คือสิ่งใดหรือ?”
ซ่งจื่ออานมองตามสายตาของนาง ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เขาเขย่ากล่องต่อหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “แค่กล่องใบเดียวก็ทำให้คุณหนูใหญ่จากตระกูลอันละสายตาไม่ได้ คงจะเป็นความผิดของข้าเอง ครั้งหน้าข้าควรจะมอบสิ่งของราคาถูกให้เจ้าจะดีกว่า”
“มีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือเพคะ?” อันหรูอี้ขมวดคิ้วพลางยื่นมือออกไป “ถ้าเช่นนั้นท่านก็เอาของในกล่องออกมา แล้วเอาแค่กล่องให้ข้าก็พอ”
ซ่งจื่ออานรีบซ่อนของเอาไว้ด้านหลัง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งที่อยู่ข้างในต่างหากที่มีค่า กล่องนี้จะนับเป็นของหายากอันใดกัน เอาไว้คราวหน้าข้าจะมอบให้เป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเลยเป็นอย่างไรเล่า?”
อันหรูอี้ยิ่งรู้สึกสนใจ จึงจงใจยั่วยุเขาเสียหน่อย ในเมื่อตอนอยู่ที่จวน นางก็มักจะทำเช่นนี้เป็นประจำ “น่าเสียดายยิ่งนัก ที่คุณหนูใหญ่จากตระกูลอันอย่างข้า ตาตื้น มองเห็นแค่กล่องใบนี้ ท่านจงรีบมอบกล่องใบนี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้เถิด!”
“อืม… เจ้านี่กล้าสั่งฮ่องเต้เชียวหรือ?” ซ่งจื่ออานขยับตัวหนีไปด้านหลัง “เช่นนั้นข้าคงจะมอบให้เจ้ามิได้แล้ว เช่นนั้นทิ้งไปเลยดีกว่า…”
พูดจบเขาก็ทำท่าจะโยนกล่องออกไปนอกหน้าต่าง
อันหรูอี้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา นางรีบขยับโต๊ะเตี้ย จากนั้นก็คว้าแขนของเขาเอาไว้ แล้วดึงกลับมา “ทิ้งไปเสียดายแย่นะเพคะ ดูให้ดีก่อนแล้วค่อยทิ้งก็ยังมิสายนะเพคะ”
ซ่งจื่ออานเห็นอันหรูอี้เข้ามาใกล้ ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ มืออีกข้างโอบนางเข้ามาทันที ก้มหน้ามองนางแล้วกล่าวว่า “ของที่ฮ่องเต้ให้เจ้ายังกล้าโยนทิ้งอีก เจ้านี่กล้าจริง ๆ นะ”
อันหรูอี้พิงไหล่กว้าง ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบ ๆ จ้องเขม็งไปที่กล่องอย่างไม่ลดละ
ซ่งจื่ออานจ้องมองนางนิ่ง ๆ อยู่นาน สุดท้ายก็ยอมแพ้ เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วนำกล่องนั้นวางใส่มือนางอย่างแผ่วเบา “ข้าให้ด้ก็ได้”
อันหรูอี้เม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นหัวเราะ นางรับกล่องใบนั้นมาไว้ในมือ แต่กลับขยับตัวไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของซ่งจื่ออันโดยไม่รู้ตัว ร่างกายบอบบางถูกโอบกอดเอาไว้แน่น นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เบา ๆ หน่อย ท่านจะฆ่าข้ารึ?”
ซ่งจื่ออานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เลิกเล่นได้แล้ว รีบดูเร็วเข้า”
กล่องใบนั้นเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะเฉพาะของแคว้นซีจิ้น ด้านล่างมีกลไกอยู่ เมื่อกดกลไกนั้น กล่องก็จะเปิดออกราวกับดอกบัวที่กำลังผลิบาน ภายในกล่องเล็ก ๆ นั้น มีเพียงหยกใสแจ๋วเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น…
ราวกับเป็นน้ำตาที่กลั่นตัวจากเมฆหมอก แต่นางก็มองไม่ออกว่าสิ่งนี้มีค่าอันใด
อันหรูอี้หยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาสัมผัสดู กลับรู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย บนฝ่ามือเรียบของนางราวกับไม่มีน้ำหนักใด ๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา คงคิดว่าบนมือของนางว่างเปล่า
“นี่คือสิ่งใดหรือเพคะ?” อันหรูอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เบายิ่งนัก”
ซ่งจื่ออานหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่คือกำไลหยกอวิ๋นมู่ เป็นสมบัติที่เสด็จพ่อทรงนำกลับมาได้จากการรบกับแคว้นหนานหมานเมื่อครั้งกระโน้น ของสิ่งนี้มีเพียงประโยชน์เดียวเท่านั้น ก็คือสามารถป้องกันพิษได้ร้อยชนิด”
ภายในวังหลวงมีการแพร่ระบาดของยาพิษอยู่บ่อยครั้ง ไม่อาจขจัดให้สิ้นซากได้ เคยมีนางกำนัลต้องตายไปอย่างไร้สาเหตุ แม้แต่หน่วยองครักษ์ลับของเขาก็ยังสืบหาต้นตอของยาพิษไม่พบ ภายในวังหลังแห่งนี้ เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น มีการช่วงชิงอำนาจ และเข่นฆ่ากันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ เขาก็แค่อยากจะปกป้องนางให้ปลอดภัย
อันหรูอี้มองหยกอวิ๋นมู่ด้วยความประหลาดใจ นางเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมันมาก่อน
เล่ากันว่าในยุคที่แคว้นหนานหมานถือกำเนิดขึ้น เคยมีเทพเซียนผู้วิเศษสามารถขจัดไอพิษที่ปกคลุมแคว้นปาฉู่ นำทัพไปปราบปรามภูตผีปีศาจ นำพาพลังวิเศษจากแดนสวรรค์มาสะกดสิ่งชั่วร้าย บ่มเพาะคุณความดี จนเกิดเป็นหยกอวิ๋นมู่ กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของแคว้นหนานหมาน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ไม่อาจถือเป็นเรื่องจริงจังได้ แต่เรื่องที่หยกอวิ๋นมู่เป็นสมบัติล้ำค่าของอาณาจักรหนานหมานนั้นเป็นเรื่องจริง
ในอดีต แคว้นหมานหนานรุกรานดินแดนแคว้นซีจิ้น อดีตฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก นำทัพทหารนับล้านออกรบด้วยพระองค์เอง บุกตะลุยไปจนถึงเมืองหลวงของแคว้นหนานหมาน บังคับให้จักรพพรดิของแคว้นหนานหมานยอมสวามิภักดิ์ มอบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ให้เป็นเครื่องบรรณาการ
ทว่าหลังจากที่อดีตฮ่องเต้ทรงยกทัพกลับเมืองหลวงได้เพียงหกวัน องค์จักรรพดิของแคว้นหนานหมานก็ถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ บัลลังก์ตกเป็นของจักรพรรดิองค์ใหม่ ‘ทู่ตาน’ สนธิสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้นซีจิ้นและแคว้นหนานหมานก็กลายเป็นโมฆะ
แต่ทว่าอดีตฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากเสด็จกลับวังหลวงได้ไม่ถึงห้าปี ก็เสด็จสวรรคต กล่าวได้ว่าสงครามครั้งนั้นเพิ่งจะผ่านไปเพียงห้าปี ทู่ตานจักรพรรดิแค้วนหนานหมาน ที่มีอายุมากกว่าซ่งจื่ออานเพียงเจ็ดปี ทว่าวิธีการปกครองกลับโหดเหี้ยมกว่ามาก
“นี่เป็นถึงสมบัติล้ำค่าเชียวนะ” อันหรูอี้เงยหน้าขึ้น มือเรียวสวยลูบไล้ใบหน้าของซ่งจื่ออานอย่างแผ่วเบา “…เหตุใดถึงต้องมอบสิ่งนี้ให้ข้าด้วย”
สงครามครั้งนั้น ทำให้ซ่งจื่ออานต้องขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อย อำนาจยังไม่มั่นคง อีกทั้งอดีตฮ่องเต้และอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คงไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาต้องนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากไปของสิ่งกว่านี้แล้ว
“มิเป็นไร” ซ่งจื่ออันรู้ว่านางกำลังปลอบโยนตน เขาหลับตาลงเบาๆ “มันก็แค่สิ่งของชิ้นหนึ่ง หากมันสามารถปกป้องเจ้าได้ ก็ดีกว่าเก็บมันเอาไว้เฉยๆ”
เขาจริงใจกับนางมากจริง ๆ…
อันหรูอี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง นางจับมือของเขาเอาไว้ บนใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์ที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับวัยเท่าไหร่นัก “ข้าชอบของขวัญชิ้นนี้มาก แต่ว่า… ข้าอยากจะเห็นราชโองการแต่งตั้งพระสนมเอกมากกว่า ในนั้นเขียนว่าอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเห็นนางเปลี่ยนเรื่อง ซ่งจื่ออานก็เปลี่ยนน้ำเสียงอย่างรวดเร็ว เขาถามด้วยรอยยิ้ม “อยากดูรึ?”
“แน่นอนว่าข้าอยากดู” อันหรูอี้มองเขาด้วยแววตาคาดหวัง ซ่งจื่ออานหัวเราะเบา ๆ แล้วดึงอันหรูอี้ให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปหยิบราชโองการที่อยู่บนโต๊ะ เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
อันหรูอี้รีบเดินตามออกไปอย่างงุนงง ไม่เข้าใจการกระทำของซ่งจื่ออานว่าเขาต้องการทำสิ่งใด
เซี่ยเหิงยืนถือดาบอยู่ด้านข้าง เถาหงและชิวจื้อกำลังกระซิบกระซาบกัน คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ของอันหรูอี้ตอนที่ยังอยู่ที่จวน บนใบหน้าของชิวจื้อเผยความสงสารออกมาอย่างเห็นได้ชัด
นางกำนัลที่เดินผ่านไปมาเห็นฮ่องเต้เสด็จพร้อมสตรีนางหนึ่งโดยบังเอิญ ต่างก็คุกเข่าลงทันที
บนราวบันไดหินอ่อนสีขาว สลักลวดลายมังกรคดเคี้ยวไปมา ด้านซ้ายของตำหนัก เหลิงเยว่กำลังจูงมืออันหลิงหลงที่ใบหน้าซีดเผือดเดินผ่านมา ทันใดนั้นก็เห็นบุคคลทั้งสองเดินออกมาจากตำหนักไท่เหอ ทำให้นางถึงกับชะงัก
ซ่งจื่ออานพาอันหรูอี้มาหยุดอยู่ที่หน้าบันได ในมือถือราชโองการเอาไว้สูง แต่กลับไม่ได้สั่งให้อันหรูอี้คุกเข่าคำนับ รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หนุ่ม
ราชโองการยังไม่ถูกเปิดออก แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็คุกเข่าคำนับ เสียงดังก้องกังวานของฮ่องเต้หนุ่มดังขึ้น
“อันหรูอี้ บุตรสาวคนโตของสกุลอัน งดงามทั้งรูปโฉมและจิตใจ เฉลียวฉลาด บริสุทธิ์ดุจหยาดน้ำค้าง จิตใจของเราทั้งสองเชื่อมโยงถึงกัน ราวกับปาฏิหาริย์เป็นสายใยที่ขาดกันไม่ได้ บัดนี้ ข้าจึงขอแต่งตั้งให้นางเป็นกุ้ยเฟย พระสนมเอกขั้นหนึ่ง ให้ประกอบพิธีตามธรรมเนียมโดยเร็วพลัน ขอให้เราทั้งสอง ครองรักกันชั่วนิจนิรันดร์!”
สายใยที่ขาดกันไม่ได้?
ครองรักกันชั่วนิจนิรันดร์?
ร่างกายของเหลิงเยว่สั่นเทา อันหลิงหลงถึงกับเซจนเกือบล้มลงไปกองกับพื้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาจับจ้องไปที่บุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่บนบันได เสียงถวายพระพรดังก้องไปทั่วบริเวณ สายตาของเหล่านางกำนัลที่มองมา ต่างเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ซ่งจื่ออานไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของคนทั้งสองที่มองมา เขาส่งราชโองการให้อันหรูอี้ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “เป็นอย่างไรบ้าง? นี่เป็นเพียงแค่ราชโองการเบื้องต้นเท่านั้น ตอนประกอบพิธีแต่งตั้งพระสนมเอก ยังมีราชโองการฉบับจริงอีกฉบับหนึ่ง เจ้าชอบเนื้อหาข้างในหรือไม่?”
อันหรูอี้ตะลึงงั้น ถึงกลับกล่าวสิ่งใดไม่ออก
นางมองสบตากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ของฮ่องเต้หนุ่ม พยายามที่จะมองหารอยยิ้มเย็นชาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นเหมือนกับตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก ทว่าตอนนี้นางกลับหาไม่พบ
จู่ ๆ อันหรูอี้ก็กำราชโองการในมือแน่น ในเวลานี้นางควรที่จะคุกเข่าคำนับแสดงความเคารพ แต่กลับไม่มีแม้แต่คำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากนาง
ซ่งจื่ออานเห็นดังนั้น รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าซาบซึ้งใจหรือไม่?”
ชั่วครู่หนึ่ง อันหรูอี้ก็พยักหน้า จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้น แตะริมฝีปากลงบนแก้มของซ่งจื่ออาน ท่ามกลางสายตาที่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงงั้นของอีกฝ่าย
“จื่ออาน… ขอบใจท่านมาก”