หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 41 หมากตัวหนึ่ง
บทที่ 41 หมากตัวหนึ่ง
บทที่ 41 หมากตัวหนึ่ง
ดังที่เหล่านางกำนัลแอบซุบซิบนินทากันอยู่หลังกำแพงหิน อันหลิงหลงกำลังเผชิญกับช่วงเวลาอันแสนอึดอัดภายในตำหนักคุนหนิง เหลิงเยว่แม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ใบหน้าที่งดงามของนางยังคงเรียบเฉย ไร้อารมณ์ใด ๆ
“ฮองเฮาเพคะ! อันหรูอี้นางนั้นน่ะ มีดีแค่เพียงใบหน้าอันงดงามล่อลวงบุรุษไปวัน ๆ มิรู้ว่าใช้วิธีการต่ำช้าใด ถึงได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ได้ กล้าแม้กระทั่งย่างกรายเข้าวังในยามวิกาลเช่นนี้ ไม่อับอายบ้างหรือเพคะ!”
“ตอนที่ยังอยู่ที่จวน นางก็เอาแต่แสดงกิริยาอวดดี กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ไร้ยางอาย นางก็เอาแต่อวดดี ออกไปข้างนอกก็มีเรื่องกับผู้อื่น ซ้ำ… ซ้ำนางยังรับของกำนัลจากบุรุษแปลกหน้าด้วยเพคะ!”
“ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามารดาของนางจากโลกนี้ไปนานแล้ว แม้กระทั่งนางเข้ารับการคัดเลือกนางสนมถึงสองครั้งสองครา ก็ยังไม่ผ่านแม้แต่ครั้งเดียว ช่างเป็นสตรีอัปมงคลเสียจริง…”
หลังจากพร่ำบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญอยู่นาน อันหลิงหลงก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเหลิงเยว่ ดวงตาคู่สวยแสร้งเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส บีบน้ำตาออกมาสองสามหยด ก่อนจะพูดประโยคสุดท้าย “ฮองเฮาเพคะ วังหลวงแห่งนี้มีเพียงพระนางเท่านั้นที่เป็นใหญ่ที่สุดในวังหลัง โปรดอย่าปล่อยให้นางมารร้ายเช่นนั้นอยู่ในวังหลวงเลยเพคะ!”
เหลิงเยว่ไม่เคยพบเจอคนโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้มาก่อนจริง ๆ
กล้าด่าว่าพี่สาวตนเองต่อหน้าคนอื่นอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ จิตใจช่างเลวทรามยิ่งนัก นอกจากจะไร้สมองแล้วยังจิตใจคับแคบ ซ้ำยังกล้าเสี้ยมให้นางไปกำจัดอันหรูอี้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้อันหรูอี้กำลังอยู่ในช่วงที่ฮ่องเต้โปรดปรานอย่างมาก หากเผชิญหน้าโดยตรงคนที่เสียเปรียบก็มีแต่ตนเองเท่านั้น อันหลิงหลงจ้องจะใช้นางเป็นหมากตัวหนึ่ง เพื่อผลักดันให้นางไปกำจัดอันหรูอี้ แล้วตัวเองค่อยนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังอย่างนั้นรึ?
นางคิดว่าตัวเองคู่ควรงั้นหรือ?
อันหลิงหลงร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เห็นเหลิงเยว่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดร้องไห้แล้วมองเหลิงเยว่ แต่กลับเห็นนางกำลังจิบชาอย่างสบายอารมณ์ เหยียดมือลูบผ้าคลุมไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจอันใดทั้งสิ้น
ในที่สุดอันหลิงหลงก็รู้สึกถึงความผิดปกติ นางพึมพำออกมาเบา ๆ ไม่กล้าพูดอันใดมาก
เหลิงเยว่ได้ยินเสียงเหมือนแมลงวันนั่นหยุดลงแล้ว จึงหันมามองอันหลิงหลงอย่างแปลกใจ “มิเอ่ยต่อแล้วหรือ?”
ตามที่นางคาดเดา อย่างน้อยอันหลิงหลงก็น่าจะพูดต่อไปอีกสักพักถึงจะหยุด จากที่ได้ยินคุยพูดถึงนาง ว่ากันว่าตอนที่นางอยู่ในตำหนักชูฮวา นางสามารถด่าคนได้เป็นชั่วยาม ทว่าคราวนี้นางกลับพัฒนาขึ้นมากเลยรึ?
ใบหน้าของอันหลิงหลงซีดเผือดลงเล็กน้อย เหลิงเยว่หัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้คัดลอกกฎของวังทั้งไปเปล่า ๆ ”
เหลิงเยว่มองหน้าอันหลิงหลง ถึงแม้ว่าจะสู้อันหรูอี้ไม่ได้แต่ก็มีรูปโฉมงามถึงหกส่วน เหลิงเยว่จ้องมองอันหลิงหลงด้วยสายหม่นลงพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “จิ้งเหลียงเหริน ข้าเข้าวังมาได้สามปีแล้ว ในวังแห่งนี้ข้าพบเจอผู้คนมามากมาย แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนที่พิเศษกว่าผู้อื่นมาก?”
อันหลิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกยินดีเล็กน้อย
“ฮองเฮาเพคะ พระนางชมข้าเกินไปแล้ว”
เหลิงเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะสบตากับนางกำนัลข้างกาย มองหน้ากันอย่างรู้ใจ บนใบหน้าต่างก็มีรอยยิ้มปรากฏ อันหลิงหลงผู้นี้นี่ ช่างไม่รู้จักแม้แต่วิธีฟังคำพูดของผู้อื่นเสียจริง
“อืม” ช่างเถิด นางจะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไป เหลิงเยว่ทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป “เจ้าเป็นคนพิเศษ และมีคุณสมบัติที่ดีมาก แต่ทว่าหลิงหลงเอ๋ย การกระทำสิ่งต่าง ๆ ในวังหลวง จำเป็นต้องใช้สมองด้วย”
อันหลิงหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฮองเฮาเพคะ…”
“ยังไงเสียเจ้าก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่” เหลิงเยว่อธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน “อันหรูอี้ยังไงก็นับว่าเป็นพี่สาวของเจ้า อีกทั้งยังเป็นคนที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้ คำบางคำเก็บไว้ในใจก็พอ เอ่ยมากไป ระวัง… ภายภาคหน้าจะมิมีโอกาสได้เอ่ยอีก”
อันหลิงหลงเงยหน้าขึ้นทันที ไม่ทันได้ระวังตัวจึงสบตากับสายตาที่ดูหยิ่งยโสแฝงไปด้วยรอยยิ้มอันเย็นชาของเหลิงเยว่ ใต้ขนตางอนยาวราวกับมีวังวนล้ำลึกซ่อนอยู่ ทำให้นางรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง
เหลิงเยว่ยื่นมือออกไป นางกำนัลข้างกายจึงช่วยพยุงนางลุกขึ้นยืน นางเดินผ่านอันหลิงหลงไปอย่างช้า ๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่พี่สาวที่ดีของเจ้านี่ก็มีวิธีการจริง ๆ ยังไงเสียตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าเดินเล่นแถวนี้ก็แล้วกัน”
ซิ่วหงรีบประคองอันหลิงหลงลุกขึ้น อันหลิงหลงยืนขึ้นอย่างอ่อนแรง เดินตามเหลิงเยว่ไปอย่างหวาดกลัว
หว่านอิง นางกำนัลข้างกายเหลิงเยว่หันไปมองอันหลิงหลงที่กำลังเดิน ตามหลังนางกำนัลของตำหนักคุนหนิง อันหลิงหลงกัดริมฝีปากแน่น แววตาก็ยังคงมีความไม่พอใจอยู่
“ฮองเฮาเพคะ” หว่านอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูแล้วอันหลิงหลง ยังมิเข้าใจอันใด ดูเหมือนคราวนี้พวกเราคงต้องเดินช้าลงหน่อยแล้วเพคะ”
เหลิงเยว่ไม่ใส่ใจ “แม้ว่านางจะโง่เขลาบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่ยังดีที่รู้จักกลัว เพียงแต่เป็นคนถือตัวมากเกินไป มิเป็นไร ค่อย ๆ ขจัดความถือตัวของนางไปก็แล้วกัน”
นางยิ้มพลางนึกถึงคำพูดของอันหลิงหลงเมื่อครู่ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย พูดอย่างเฉื่อยชา “ข้าคือฮองเฮา เป็นผู้ปกครองวังหลัง เพื่อความสงบสุขของวังหลังแห่งนี้ แน่นอน… ข้าย่อมต้องนึกถึงนางเป็นธรรมดา มิใช่หรือ?”
…
ทางด้านตำหนักเหมันต์ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอันหรูอี้
นางไม่ได้กลับไปที่ตำหนักเหมันต์ ในเมื่อนางเดินมาไกลขนาดนี้แล้ว อันหรูอี้จึงตัดสินใจเดินต่อไปยังตำหนักไท่เหอ เพียงแต่คราวนี้นางเดินช้าลงและสง่างามยิ่งขึ้น
ตำหนักไท่เหออยู่ด้านหลังตำหนักเสวียนเจิ้ง เป็นตำหนักชั้นในหลังจากเลิกท้องพระโรง หากมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องปรึกษาหารือ ซ่งจื่ออานก็จะสั่งให้คนไปเชิญขุนนางเข้ามาในตำหนักไท่เหอ
ผู้ที่สามารถเข้าตำหนักไท่เหอได้ล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจหรือมีความสำคัญ เสมือนได้เข้าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักแต่ระบบขุนนางอาวุโสในอดีตถูกอัครมหาเสนาบดี, แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน และตระกูลเหลิงแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายบุ๋น, ฝ่ายบู๊ และฝ่ายปกครอง ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดอำนาจกันอยู่
ดังนั้นจึงมีอำนาจเหนือกว่าขุนนางหกกรม ขุนนางอาวุโสจึงกลายเป็นขุนนางที่มีเพียงชื่อแต่ทว่าไร้อำนาจ และต้องพักอยู่ที่จวน ด้วยเหตุนี้ การได้เป็นขุนนางอาวุโสจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
หากแต่เดิมขุนนางอาวุโสเป็นผู้ช่วยเหลือประเทศ บริหารบ้านเมือง อำนาจทั้งหมดก็จะอยู่ในมือของฮ่องเต้ ขุนนาง
ก็จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ การปกครองก็จะโปร่งใสยุติธรรมมากขึ้น
สิ่งที่ซ่งจื่ออานปรารถนาก็คือระบบขุนนางอาวุโส
น่าเสียดาย ที่ข้างหน้าคำว่าฮ่องเต้ของเขายังมีคำว่า “วัยเยาว์” อยู่
บางคนก็ไม่ยอมสละอำนาจง่าย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปตามกาลเวลา
ตอนที่อันหรูอี้มาถึง เขากำลังขมวดคิ้วกับคดีทำร้ายร่างกายของทหารที่ประจำการอยู่ในด่านเซวียนหัว เรื่องของทหารที่ประจำการอยู่ด่านเซวียนหัวนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ผู้ว่าการมณฑลเมืองเซวียนหัวกลับไม่ใช่คนที่รู้จักหนักเบา คดีเล็ก ๆ เช่นนี้กลับส่งฎีกามาถึงสี่ฉบับ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
ในขณะนั้น เซี่ยเหิงก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งจื่ออานขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้ามิว่าง ให้สวีเจิ้งกลับไปก่อน”
เซี่ยเหิงกระพริบตาสองสามครั้ง เอ่ยเสียงดังว่า “ฮ่องเต้ตรัสว่าไม่มีเวลา อันกุ้ยเฟย โปรดกลับไปก่อนเถิดพะยะค่ะ!”
อันกุ้ยเฟย…
ซ่งจื่ออานเบิกตากว้างเล็กน้อย “เดี๋ยวก่อน!”
เซี่ยเหิงมองเขาอย่างไร้เดียงสา “มิใช่ฝ่าบาทตรัสว่าไม่มีเวลาหรือพะยะค่ะ?”
ซ่งจื่ออานโยนฎีกาในมือทิ้ง เงยหน้าลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร เดินอย่างรวดเร็วไปข้างหน้า ตอนที่เดินผ่านเซี่ยเหิงฮ่องเต้หนุ่มก็ยิ้มเย็นชา “เบี้ยหวัดเดือนนี้ตัดครึ่ง”
เซี่ยเหิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เห็นเพียงซ่งจื่ออานเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่กี่ก้าวก็เห็นร่างบอบบางที่งดงามยืนอยู่หน้าประตู
ประตูวังสูงใหญ่ประดับด้วยผ้าแพรสีชาด ดวงตาอันหรูอี้มีฉายแววหยอกล้อ สบตากับดวงตาหงส์คู่นั้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วกล่าวว่า“มิใช่ว่ามิมีเวลาหรือ? ข้าว่าข้ากลับไปก่อนดีกว่า…”
“ว่าง!” ซ่งจื่ออานไม่สนใจสายตาประหลาดใจของคนข้าง ๆ ลากตัว อันหรูอี้ เข้าไปในตำหนักไท่เหอทันที “ต่อไปนี้เจ้ามาที่ตำหนักไท่เหอ ก็เข้ามาได้เลย”
ลากตัวคนเดินตรงไปยังตำหนักหลัง ชายหนุ่มในชุดเหลืองและสตรีในชุดน้ำเงินเดินผ่านฉากบังตา ลวดลายดอกไม้หลากสีสันแข่งกันบานบนผ้าโปร่งแสง ทั้งคู่นั่งลงบนพื้นทันที
นอกระเบียงกว้างมีราวกั้นสูงครึ่งเมตร บนโต๊ะเตี้ยวางน้ำชาไว้ ด้านนอกเป็นสวนหลวงชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ทั้งคู่กลับมองแต่กันและกัน
ซ่งจื่ออานยิ้มเบา ๆ ถามนาง “เพิ่งผ่านไปมิถึงชั่วยามเอง อย่าบอกนะว่า คิดถึงข้า?”
อันหรูอี้เลิกคิ้วใช้คางชี้ไปทางนอกตำหนัก “ท่านป้าชิวจื้อบอกว่าท่านแต่งตั้งข้าเป็นกุ้ยเฟย ข้าคิดจะมาขัดขวางเสียก่อน แต่เดินมาได้ครึ่งทางก็คิดว่าเป็นกุ้ยเฟยก็ไม่เลวนัก เลยแวะมานั่งเล่นเพคะ”
ซ่งจื่ออานหัวเราะ มองนางอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้ามีของจะให้เจ้าดู”
“อันใดหรือ?”
“พอเจ้าเห็นก็จะรู้เอง…”