หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 40 ไปยังตำหนักไท่เหอ
บทที่ 40 ไปยังตำหนักไท่เหอ
บทที่ 40 ไปยังตำหนักไท่เหอ
นางรู้เพียงว่า กุ้ยเฟยนั้นเป็นขั้นหนึ่งชั้นหนึ่ง แต่ว่าเป็นขั้นสูงเท่าใดกันแน่?
ต่ำกว่านั้นมีเฟย เจาอี้ กุ้ยพิน เจี๋ยยวี๋ หรงฮวา ผิน เหลียงตี้ ตามลำดับชั้น หลังจากนั้นจึงเป็นเหลียงเหริน และสุดท้ายคือสตรีธรรมดาทั่วไป นั่นก็คือสนมที่เพิ่งเข้าวังมายังไม่ได้รับตำแหน่ง
เมื่อได้อยู่ในตำแหน่งกุ้ยเฟยแล้ว ในวังหลังนอกจากฮองเฮาแล้ว ก็ไม่ต้องคารวะผู้ใดทั้งสิ้น แม้ว่าในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซีจิ้นจะมีสนมที่ได้รับการเลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเลื่อนขั้นข้ามไปถึงสิบขั้นเช่นนี้มาก่อน!
ที่แท้การที่ซ่งจื่ออานบอกว่าจะขจัดความกังวลให้นางหมายถึงเช่นนี้สินะ อันหรูอี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ถึงแม้นางจะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าการเลื่อนขั้นของนางสนมนั้นนอกจากอาศัยความอาวุโสแล้วยังต้องอาศัยผลงานด้วยเช่นกัน
นางไม่มีทั้งความอาวุโสและคุณความงามใด ๆ แต่กลับได้เลื่อนขั้นมาถึงขั้นนี้ได้ นี้มิใช่หาเรื่องให้ตนเองหรอกหรือ?
“ฝ่าบาทได้ทรงร่างพระราชโองการแล้ว ทรงรับสั่งให้หม่อมฉันมาดูแลเพคะ กุ้ยเฟยมิต้องกังวล ฮ่องเต้ทรงทราบว่ากุ้ยเฟยยังมีอาการป่วยอยู่ จึงได้พระราชโองการแต่งตั้งและเครื่องแบบตามตำแหน่งส่งมาที่ตำหนักเหมันต์โดยตรงเพคะ”
เดิมทีชิวจื้อเป็นนางกำนัลคอยอบรบสั่งสองเหล่าสนมในวังหลวง ถึงแม้ว่าจะวัยที่ต้องออกจากวังแล้ว แต่เพราะไม่มีญาติพี่น้องอยู่ข้างนอกอีกทั้งยังเคยรับใช้ไทเฮามาก่อน จึงถูกซ่งจื่ออานรับไว้ดูแลโดยตรง ให้คอยสอดส่องดูแลในวังหลัง
การที่เขาส่งชิวจื้อมา ย่อมแสดงให้เห็นว่าซ่งจื่ออานให้ความสำคัญกับอันหรูอี้มากเพียงใด
ชิวจื้อมองใบหน้าที่งดงามที่แฝงไปด้วยความตกใจของอันหรูอี้ นางเพียงยิ้มน้อย ๆ ฮ่องเต้เยาว์วัยมักจะกระทำสิ่งใดอย่างหุนหันพลันแล่นเสมอ แต่นางก็มิรู้ว่าอันหรูอี้จะได้รับความโปรดปรานไปได้อีกนานเพียงใด
เถาหงกระซิบเสียงแหบพร่า ดึงแขนเสื้อของหลิวลวี่ “ข้า…มิได้ยินผิดไปใช่หรือไม่ แน่ใจนะว่าเป็นกุ้ยเฟย”
หลิวลวี่หยิกแขนตนเอง ความเจ็บปวดทำให้นางสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางรีบพูดด้วยความตกใจ “จริง! เป็นเรื่องจริง”
ทันใดนั้นอันหรูอีhก็รู้สึกตัว ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้ ทำให้นางตกตะลึงจนเกือบจะเป็นลม “ท่านชิวจื้อ เรื่องนี้…มันไม่ถูกต้องจื่ออาน
อยู่ที่ใด ข้าจะไปหาเขา!”
เมื่อได้ยินชื่อของฮ่องเต้ ชิวจื้อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “ฝ่า…ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ ฝ่าบาทกำลังทรงงานเพคะ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พระนาง…”
“ตำหนักไท่เหออยู่ที่ใด?” อันหรูอี้ขัดจังหวะชิวจื้ออย่างอดรนทนไม่ไหว “รบกวนท่าน พาข้าไปตำหนักไท่เหอด้วย!”
ชิวจื้อรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย การปรากฏตัวของอันหรูอี้กะทันหันเกินไป ถึงแม้จะได้รับความโปรดปรานสูงส่ง แต่ก็ไม่ผู้ใดรู้ว่าจะนางได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด เพราะโดยปกติแล้วฮ่องเต้ไม่ชอบให้ผู้ใดมารบกวนตอนที่ฝ่าบาทกำลังทรงงาน แม้แต่สวีกุ้ยเฟยยังต้องระมัดระวัง
การจะพาอันหรูอี้ไปที่นั่น ชิวจื้อจึงรู้สึกลังเลใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าอันหรูอี้ก้พอคาดเดาถึงความกังวลของชิวจื้อได้ จึงรีบกล่าวว่า
“ท่านป้ามิต้องกังวล เขาเคยบอกว่าข้าให้ไปที่ตำหนักไท่เหอได้”
ชิวจื้อกะพริบตาปริบ ๆ หลังจากได้ยินคำว่า ‘จื่ออาน’ นางเริ่มปรับตัวกับการเรียกเช่นนั้นเสียแล้ว แต่ทว่าก็ยังอดที่จะกล่าวตักเตือนไม่ได้ ท่าน “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พอออกจากตำหนักเหมันต์นี้ไปแล้ว ก็ห้ามพูดว่า ‘เขา’ อีกนะเพคะ ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาทเพคะ”
อันหรูอี้เม้มริมฝีปากเบาท ๆ ในแววตามีความกังวลเล็กน้อย “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว… รบกวนพาข้าไปที่ตำหนักไท่เหอก่อนเถิด”
อันหรูอี้ตัดสินใจแล้ว หลังจากที่นางรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีมานานหลายปี ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวต่อความรักความดปรดปรานที่มากเกินไป
ชิวจื้อถอนหายใจ แต่ก็สั่งให้นางกำนัลคนอื่น ๆ ลงไปก่อน หลวิลวี่เป็นคนเถรตรงเกินไป ชิวจื้อจึงให้นางอยู่ดูแลงานในตำหนัก จากนั้นก็พาอันหรูอี้กับเถาหงไปยังตำหนักไท่เหอ
แม้ว่าเสลี่ยงของกุ้ยเฟยจะหยุดรออยู่ไม่ไกล แต่อันหรูอี้ยังคงใจร้อน คิดว่าเดินไปเองน่าจะเร็วกว่า การถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ารำคาญเสียจริง
แม้จะเร่งรีบเพียงใด แต่ท่าทางการเดินของนางยังคงดงาม สมกับสตรีผู้สูงศักดิ์พึงมี หลังจากที่เดินอย่างเร่งรีบ ใบหน้าของนางก็ยิ่งดูแดงระเรื่อ สดใสราวกับหยดน้ำค้าง
ต่างจากพระสนมคนอื่น ๆ แม้แต่ข้าหลวงกุ้ยเฟยสวีเจิ้งเองก็ยังต้องฝึกฝนท่าทาง แต่อันหรูอี้กลับดูสง่างามและมีความเป็นธรรมชาติ ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง งดงามและน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
เพียงแค่ได้เห็นครั้งเดียว ก็ทำให้คนอดนึกถึงอันหลิงหลงไม่ได้
อันหลิงหลงมีแววตาเย่อหยิ่งซ่อนอยู่ระหว่างคิ้ว เดินอย่างเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง สายตาชอบเหลือบมองซ้ายขวา ท่าทางราวกับว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น
ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“ไม่แปลกใจเลยที่ฝ่าบาทถึงกับพานางเข้าวัง” นางกำนัลกลุ่มหนึ่งพึมพัมกัน “สมกับเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี ท่าทางต่างกันลิบลับ”
“นั่นท่านหญิงชิวจื้อนะ แม้แต่ฮองเฮายังต้องเกรงใจถึงสามส่วน ฝ่าบาทช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
“แต่อันหรูอีผู้นี้ยังมิมีตำแหน่งใด ๆ คาดว่าคงจะประกาศออกมาในเร็ววันนี้ พวกเจ้าว่าฝ่าบาทจะประทานตำแหน่งอันใดให้กับนาง”
“นางพักอยู่ที่ตำหนักจงสุ่ย ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นถึงเหลียงตี้ก็ได้นะ”
“ฮ่า ๆ ข้าว่าอย่างน้อยต้องเป็นถึงเจี๋ยยวี๋! รออีกมินานก็คงจะประกาศออกมาแล้ว…”
อันหรูอี้ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวเกี่ยวกับนางได้แพร่สะพัดไปทั่ววังอย่างรวดเร็ว นางรีบเดินไปยังตำหนักไท่เหออย่างเร่งรีบ จึงไม่ได้สนใจสายตาที่จับจ้องมองนางรอบด้าน นางรู้สึกเพียงแต่ความเหนื่อยเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชิวจื้อต้องการให้นางนั่งเสลี่ยงตอนออกจากตำหนัก ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลักษณ์เท่านั้น แต่เป็นเพราะพระราชวังนี้กว้างใหญ่เกินไป การเดินไประหว่างตำหนักนั้นช่างเหนื่อยยิ่งนักมีหวังนางได้เป็นลมไปแน่ ๆ
อันหรูอี้ถอนหายใจ “ท่านป้า พักสักครู่เถอะเจ้าค่ะ”
ชิวจื้ออมยิ้มเล็กน้อย “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงรู้สึกว่าวังหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป เสียใจที่ไม่ได้นั่งเสลี่ยงมาใช่หรือไม่เพคะ”
อันหรูอี้กระอักกระอ่วนใจ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เงยหน้ามองชิวจื้อด้วยสายตาเก้อเขิน “ท่านป้า อย่าหัวเราะเยาะข้าเลย ข้าเพิ่งเข้าวังหลวงครั้งแรก ลืมไปแล้วว่าที่นี่ไม่เหมือนจวนอัครมหาเสนาบดี”
“ฮิฮิ” ชิวจื้อหัวเราะเบา ๆ สองที ก้มมองมืออันบอบบางของนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ตอนที่หม่อมฉันได้เห็นกุ้ยเฟยในคราแรก ยังรู้สึกว่ายังคิดว่าพระนางดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ตอนนี้กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเสียอีก”
ชิวจื้อช่างแตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ ผู้ใดกันจะกล้าพูดจาหยอกล้อกับกุ้ยเฟยเช่นนี้ แต่นางกลับพูดคุยด้วยท่าทีเป็นกันเอง
อันหรูอี้ก็สังเกตเห็นความแตกต่างของนาง กำลังจะเอ่ยตอบ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากกองหินจำลองอย่างกะทันหัน “อันหรูอี้?”
ทุกคนต่างตกตะลึง ชิวจื้อรีบส่งสายตาให้พวกนางหุบปากเเละเงียบไว้ก่อน
เสียงนั้นยังคงดังต่อ “เจ้ามิรู้หรอก เช้านี้อันหลิงหลงบุกไปที่ตำหนักของนางแล้ว เหอะ ได้ยินมาว่าโดนตอกกลับมาจนหน้าหงาย นางก็เป็นถึงพี่สาวของนาง คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมหรือไม่?”
“นางจะยอมได้อย่างไร?” เสียงหญิงสาวอีกคนดังขึ้น น้ำเสียงค่อนข้างร่าเริง “มิได้ยินหรือว่าตอนนี้กำลังไปฟ้องฮองเฮาอยู่ คาดว่าตอนนี้นางคงกำลังประจบฮองเฮาอยู่แน่ ๆ อยากจะลากอันหรูอี้ลงจากตำแหน่ง”
“ฮองเฮาเพิ่งจะลงโทษนางไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ จะช่วยนางได้อย่างไร?”
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เจ้าอย่าไปดูถูกฮองเฮาเชียว แม้ว่านางจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ที่จริงแล้ว…”
“เช่นนั้นอันหรูอี้เล่า…”
“ที่นี่คือวังหลวง ตายร้ายดีอย่างไรก็เรื่องของนาง เอาล่ะ อย่าเอ่ยถึงนางเลย น้ำผึ้งที่เจ้าทำเมื่อวานเอามาให้ข้าดูหน่อยสิ…”
เสียงสนทนาดังกระซิบกระซาบจางหายไป กองหินจำลองกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด อันหรูอี้ผู้ซึ่งนั่งพักอยู่มองไปยังโขดหินแหลมคมแปลกตา แล้วก็จมลงสู่ความเงียบงัน
ชิวจื้อเดินเข้ามาใกล้ “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พระนางยังจะไปอีกหรือไม่เพคะ?”
อันหรูอี้นึกถึงคำสัญญาอันหนักแน่นของซ่งจื่ออาน ยังนึกถึงผ้าแพรสองม้วนที่ฮองเฮาส่งมาให้ เป็นผ้าแพรที่สวยงามคัดสรรมาอย่างดีจากบรรณาการ
แต่หากนางมิได้รับความโปรดปราดจากฮ่องเต้ เกรงว่าผ้าแพรเหล่านั้นจะกลายเป็นผ้าขาวรัดคอในชั่วพริบตา
ช่างเถิด อันหรูอี้ยิ้มออกมาบ้าง ๆ “ไม่ไปแล้ว กลับตำหนัก”