หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 4 ลอบวางยาพิษ
บทที่ 4 ลอบวางยาพิษ
บทที่ 4 ลอบวางยาพิษ
“นังสารเลว! นังสารเลว!”
ณ เรือนไม้ไผ่ที่อันหลินหลงอาศัยอยู่มีเสียงกรีดร้องออกมาอย่างโกรธแค้นดังก้องออกมาไม่ขาดสาย
อันหลิงหลงสะบัดมือมือขวาของนางที่ห่อหุ้มด้วยผ้าขาวอย่างแน่นหนาดวงตาของนางก็จ้องมองไปที่ผ้าห่อขาวบนมือของนางด้วยแววตาที่เกลียดชังราวกับจะปะทุออกมา
สาวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้าของนางตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นับตั้งแต่เจ้านายของตนถูกกักบริเวณ จิตใจของผู้เป็นนายก็เริ่มไม่ปกติขึ้นทุกวัน
“อันหรูอี้ นังสารเลว แท้จริงเจ้าเป็นสุนัขไม่เห่าแต่คอยแว้งกัดสินะ!” อันหลิงหลงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น “มือคู่นี้ของข้าเคยวาดดอกโบตั๋นในงานเลี้ยงวังหลวง เคยถวายน้ำชาให้ฮองเฮาแต่เจ้ากลับกล้าทำลายมัน!”
“คุณหนูรอง โปรดใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาร่างกายท่านให้หายดีก่อนนะเจ้าค่ะ” สาวรับใช้พูดปลอบด้วยความระมัดระวัง
เมื่อได้ยินดังนั้นอันหลิงหลงกลับโกรธมากยิ่งขึ้นนางคว้าถ้วยชาเขวี้ยงใส่สาวรับใช้ทันที “เจ้าจะรู้อันใดกัน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมอบอกข้า ว่ารอยแผลบนมือของข้าไม่มีวันหายได้ เจ้าจะรู้อันใดกัน! อันหรูอี้ นังสารเลว ข้าจะต้องให้นางชดใช้คืนเป็นพันเท่า!”
สาวรับใช้ที่ถูกน้ำชาสาดเปรอะเปื้อนไปทั้งตัวแต่กลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นอันหลินหลงก็หรี่ตาลงราวกับนึกสิ่งใดออก จู่ ๆ ดวงตาของนางที่มีแต่ความโกรธแค้นเมื่อครู่ก็ส่องประกายแวววับพร้อมกับรอยยิ้มขึ้นมาทันที “นางมิใช่กำลังป่วยอยู่หรอกหรือ ในเมื่อนางเคยเอ่ยกับท่านพ่อว่าพวกเราเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน เช่นนั้นข้าจะต้องทำตัวเป็นน้องสาวที่แสนดีเสียหน่อย”
ยามบ่ายสายลมพัดโชยอ่อน ๆ ภายในห้องนอนของเรือนเหมันต์ได้มีการก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่นอันหรูอี้กอดถุงน้ำร้อนในห้องที่อบอุ่นจนรู้สึกง่วงนอน นางจึงสั่งให้หลิวลวี่คอยปรนนิบัติและเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวพักผ่อนในช่วงกลางวัน
“คุณหนูใหญ่ ชุนหัวสาวรับใช้ของคุณหนูรองมาขอพบเจ้าค่ะ”
ขณะที่อันหรูอี้กำลังจะเคลิ้มหลับ สาวรับใช้คนหนึ่งจากข้างนอกก็เข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
นางจำเป็นจะต้องลุกขึ้นหรือ?
อันหรูอี้พูดอย่างเรียบเฉยว่า “อืม ให้นางรอข้างนอก เมื่อข้าตื่นแล้วจะออกไป”
การนอนครั้งนี้นางหลับสนิทมาก เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว
หลังจากล้างหน้าเสร็จ นางเปิดประตูออกจึงมองเห็นสาวรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทีโกรธเคือง ในมือของนางก็ถือกล่องอาหารไว้ การทรงตัวของนางโอนเอนเล็กน้อยบ่งบอกว่านางยืนอยู่เช่นนั้นนานพอสมควร
“นี่คือสิ่งใด?” อันหรูอี้เพิกเฉยต่อสีหน้าของชุนหัว ชี้ไปที่กล่องอาหารที่นางถือแล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชุนหัวนึกถึงการกระทำตัดสินใจของอันหรูอี้ในครั้งก่อน จึงรีบข่มความโกรธลงไปสองส่วน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ในนี้คือ…โจ๊กสมุนไพรที่คุณหนูรองต้มให้แก่คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ คุณหนูรองปรารถนาที่คืนดีกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
“อืม” อันหรูอี้ตบมือสั่งหลิวลวี่ที่ยืนอยู่ข้างกายว่า “รับมาเถอะ”
ชุนหัวนึกถึงคำสั่งของคุณหนูรองจึงพูดอย่างลังเลใจว่า “คุณหนูใหญ่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นน้ำใจของคุณหนูรอง หากปล่อยไว้ให้เย็นแล้วทานอาจจะไม่ถูกปากคุณหนูใหญ่ได้นะเจ้าค่ะ เช่นนั้นให้ข้าน้อยได้คอยดูแลจนคุณหนูทานหมดดีหรือไม่เจ้าคะ อีกอย่างหากคุณหนูรองรู้คงจะดีใจมากแน่”
กลอกตาไปมาอย่างรำคาญแล้วพูดว่า “ในจวนขุนนางใหญ่โตเช่นนี้ จะไม่มีคนรับใช้คอยจัดเตรียมอาหารร้อน ๆ ให้แล้วงั้นหรือ? รอนานเช่นนี้ข้าวต้มสมุนไพรเย็นชืดไปหมดแล้ว!”
ซุนหัวถึงกับสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นว่าอันหรูอี้มีท่าทีไม่หลงกลนางจึงไม่ซักไซ้ต่อ จากนั้นซุนหัวจึงทำความเคารพแล้วลากลับไป
หลิวลวี่ถือกล่องอาหารใส่โจ๊กสมุนไพรมาด้วยสีหน้าเกรงกลัวและเอ่ยถามอย่างลังเล “คุณหนูใหญ่ โจ๊กสมุนไพรนี้…จะกินหรือไม่เจ้าคะ?”
อันหรูอี้หรี่ตามองชั่วครู่ นางเคยพบวิธีการเช่นนี้มาแล้วในชาติก่อนไม่คิดว่าอันหลิงหลงในชาตินี้ยังคงเป็นคนโง่เช่นเดิม เมื่อไม่สำเร็จด้วยวิธีแรกนางจึงคิดจะลงมือฆ่าข้าไปเลยสินะ
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “กินสิ แต่ไม่ใช่ข้าที่จะกิน เจ้าไปเทโจ๊กสมุนไพรนี้ทิ้งไว้ข้างนอกบริเวณเรือนของอนุเซียวเถิด”
“เอ๊ะ? อนุเซียวหรือเจ้าคะ? อนุเซียวมิเคยข้องเกี่ยวกับพวกเราเลยนี่นา…” หลิวลวี่งุนงงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าสมองของตนเองนั้นไม่สามารถคิดตามนายของตนเองได้แล้ว
“ไม่นานก็จะมี” อันหรูอี้พูดด้วยสีหน้าเฉยชา
หลิวลวี่ไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง
หลิวลวี่เดินไปที่สวนชุ่ยอวี้ของอนุเซียว นางเทโจ๊กสมุนไพรทั้งหมดลงสวนด้านหน้าประตูเรือนของนาง หลังจากโจ๊กสมุนไพรสัมผัสกับพื้นหญ้ากลับกัดกร่อนหญ้าสีเขียวกลายเป็นสีดำไปทันที
หลิวลวี่ปิดปากตนด้วยความตกใจ ที่แท้นี่คือโจ๊กสมุนไพรพิษทเช่นนั้นหรือ! หากมิใช่นายหญิงของตนได้รู้ทันท่วงทียามนี้คงกลายเป็นศพไปแล้วกระมัง!
จากนั้นนางก็เห็นแมวขาวตัวใหญ่โผล่ออกมาจากสวนชุ่ยอวี้ มันเดินเตร่ไปมาในสวนดอกไม้อย่างเฉื่อยชา ได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจของโจ๊กสมุนไพรพิษนั้น มันจึงรีบร้อนเดินมาหาและเลียโจ๊กสมุนไพรนั้นเข้าไป
หลิวลวี่ไม่กล้ามองต่อ จึงรีบวิ่งกลับไปยังเรือนเหมันต์ บอกกับอันหรูอี้ว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่แย่แล้ว! แมวของอนุเซียวได้กินโจ๊กสมุนไพรไปแล้ว จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ…”
อันหรูอี้กำลังเพลิดเพลินกับการอ่านตำราอยู่ จึงยิ้มเบา ๆ พลางถามว่า “ทำอย่างไรได้เล่า? โจ๊กสมุนไพรนั้นมาจากที่ใดกัน?”
“เอ๊ะ?” หลิวลวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่จึงตอบไปว่า “แน่นอนว่าจากคุณหนูรองทำขึ้น…”
“ใช่ ไม่ว่าอย่างไรอันหลิงหลงก็ต้องรับผิดชอบ แล้วเราจะต้องกลัวอันใดกัน” อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ
ครู่ต่อมา เสียงร้องไห้คร่ำครวญของอนุเซียวก็ดังไปทั่วจวนอัครมหาเสนาบดี
สาวรับใช้ข้างกายของอัครมหาเสนาบดีรีบมาแจ้งว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านอัครมหาเสนาบดีเรียกให้ทุกคนในจวนทั้งหมดไปรวมตัวที่ห้องโถงใหญ่ขอรับ!”
อันหรูอี้และหลิวลวี่จ้องสายตากัน จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสง่างาม
ณ ห้องโถงกลาง บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“ท่านพี่… ท่านจงดูเถิด นี่เป็นแมวที่ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก!” อนุเซียวเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามสมกับที่เป็นสตรีเจียงหนาน ขณะนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ชี้ไปที่ศพแมวขาวที่มีเลือดไหลจากปากและจมูกบนพื้นนางร้องไห้โวยวายไม่ยอมฟังใคร
ยามนี้สตรีที่อัครมหาเสนาบดีรักที่สุดก็คืออนุเซียวผู้นี้ เมื่อเห็นนางเสียใจ เขาก็รู้สึกปวดใจไปด้วย
เมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นอันหรูอี้ยังไม่มาถึงจึงถามว่า “เหตุใดหรูอี้ยังไม่มา?”
“หึ! ท่านพ่อ บางทีอาจมีใครบางคนคิดทำสิ่งไม่ดีภายในจวนแน่เเจ้าค่ะ” อันหลิงหลงเมื่อได้ออกจากพื้นที่กักบริเวณ จึงใช้โอกาสนี้พูดจาใส่ร้ายอันหรูอี้
“จริงหรือ? น้องสาว เจ้าเอ่ยเช่นนี้มิกลัวลมจะพัดลิ้นเจ้าพันกันหรือ?”*[1]
เสียงอันไพเราะดังขึ้นก่อนที่จะมีเงาของหญิงสาวปรากฏตัวขึ้น ข้ารับใช้ในห้องโถงเปิดม่านออกก็เผยรูปโฉมที่งดงามของอันหรูอี้ นางก้าวเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามและมั่นคง ริมฝีปากนางมีรอยยิ้มอ่อน ๆ
อัครมหาเสนาบดีรู้สึกหงุดหงิดจึงโบกมือไม่อยากฟังการโต้เถียงกันของสองพี่น้อง
หลังจากสั่งให้อันหรูอี้นั่งลง เขาก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “แมวของอนุเซียวถูกคนวางยาพิษตาย ผู้ใดเป็นคนทำ! ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าออกสารภาพผิดเอง จงก้าวออกมาซะ หากไม่ออกมาแต่ถูกข้าจับได้เองข้าจะลงโทษมันสถานหนัก!”
อนุทั้งหลายในห้องนั้นต่างพึมพำกันออกมา โดยเฉพาะอนุที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับอนุเซียว ต่างก็กลัวว่าตนเองจะต้องมารับเคาระห์กรรมเรื่องนี้แทน
อันหรูอี้ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแสร้งทำท่าทางเหมือนคนตกใจก่อนจะเอ่ยว่า
“ท่านพ่อ ลูกมิกล้าหลอกลวงท่าน…โจ๊กสมุนไพรนี้เป็นของลูก แต่ลูกมิรู้ว่าเหตุใดแมวในสวนชุ่ยอวี้ถึงได้กินมันลงไปได้…”
อนุเซียวร้องลั่นขึ้นมา ลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปกระชากตัวอันหรูอี้ “เจ้าเป็นคนทำทั้งหมดนี้งั้นหรือ!”
[1] ลมพัดลิ้นพันกัน สำนวนจีนที่เป็นการเตือนว่าสิ่งที่พูดออกไปอาจจะไม่เป็นความจริงหรือเป็นการพูดที่ไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาหรือความขัดแย้งได้