หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 39 กุ้ยเฟย
บทที่ 39 กุ้ยเฟย
บทที่ 39 กุ้ยเฟย
อันหลิงหลงเป็นถึงสนมแต่อันหรูอี้ยังไร้ยศศักดิ์ การเอ่ยว่า ‘กล้า’ หรือไม่กล้า’ รับของกำนัลนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง
อันหรูอี้มองไปรอบ ๆ สังเกตเห็นนางกำนัลที่ก้มหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พวกนางล้วนแต่เป็นคนฉลาด มองสถานการณ์ออกดีกว่าอันหลิงหลงเสียอีก ถึงแม้อันหลิงหลงจะโวยวายเสียงดัง พวกนางก็เพียงแค่ก้มหน้า ไม่ได้สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น
ในวังหลวงนี้ ไม่เคยมีผู้ใดที่ทำให้ซ่งจื่ออานยอมทำลายกฎและให้ความโปรดปรานได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เหลิงเยว่วุ่นวายใจ จึงได้ยุยงให้อันหลิงหลงมาหาเรื่องเพื่อลองเชิงอันหรูอี้ และอันหลิงหลงก็ช่างทำได้ดีเสียจริง
เฮอะ แต่อันหลิงหลงกลับลืมไปว่าตนเองนั้นมีทำผิดพลาดมามาก่อนอยู่แล้ว ครั้งนี้ยังมาเป็นศัตรูกับอันหรูอี้อีก ช่างเป็นหมากที่ใช้ประโยชน์ได้ดีเสียจริง แต่กลับลืมไปว่าการเป็นศัตรูกับผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด ไม่ว่านางจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม
กลับมาที่เรื่องเดิมเมื่ออันหลิงหลงเห็นว่าอันหรูอี้ ยอมอ่อนข้อก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสะใจยิ่งขึ้น “เหตุใดข้าจะมิกล้าเล่า?”
อันหรูอี้ยิ้มเยาะ “แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังมิเคยบังคับให้ข้าไหว้เจ้า มิรู้ว่าความโอหังเช่นนี้ของเจ้า ได้มาจากที่ใดกัน?”
เมื่อวานนี้เข้าวังมาอย่างเร่งรีบ แต่โชคดีที่ซ่งจื่ออานไม่อยากให้นางต้องลำบาก จึงได้ยกเว้นการคำนับทั้งหมดให้แก่นาง
หลังจากที่ไทเฮาสวรรคตไปทั่วทั้งฝ่ายในก็เป็นของฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นเมื่อมีรับสั่งจากซ่งจื่ออาน ต่อให้นางได้พบกับฮองเฮานางก็ไม่จำเป็นต้องถวายความเคารพ
ในเวลานี้ นางรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่ของซ่งจื่ออานขึ้นมาบ้างแล้ว
อันหลิงหลงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองอันหรูอี้ด้วยความประหลาดใจ แม้ว่านางจะเกลียดชังอันหรูอี้เพียงใด แต่คำเอ่ยเช่นนี้ไม่สามารถพูดพล่อย ๆ ในวังหลวงได้ เมื่อเป็นคำที่ฮ่องเต้ตรัสออกมา แม้จะเป็นเพียงคำพูด ก็ถือเป็นโองการของฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้นอันหรูอี้ย่อมไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะกล้าแอบอ้างโองการของฮ่องเต้อย่างแน่นอน สีหน้าของอันหลิงหลงมืดครึ้มลงในทันที ไม่ได้สร้างคุณงามความดีอันใด มีแต่ความผิด จึงไม่ควรยุ่งมากเกินไป
หากต้องการจะจัดการกับนาง ค่อยหาโอกาสก็ยังไม่สาย!
อันหลิงหลงจ้องมองอันหรูอี้ด้วยความโกรธแค้น “อันหรูอี้ วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดี”
พูดจบนางก็สะบัดชายแขนเสื้อ ไม่จำเป็นต้องให้นางกำนัลประคอง ก้าวเท้ายาว ๆ ออกจากตำหนักไป
หลิวลวี่เห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณหนู ท่านดูสิ เหตุใดนางจึงทำหน้าเช่นเล่า? น่าขันยิ่งนัก”
เถาหงดึงมือหลิวลวี่พลางกระซิบเบา ๆ “พอเถิด มีอันใดค่อยไปคุยกันในห้อง ถ้ามีผู้ใดได้ยินเข้าจักต้องมีปัญหาแน่”
อันหรูอี้พยักหน้า ระมัดระวังไว้ย่อมดีกว่า
แต่พอทั้งสามคนเข้าห้องมาก็พบว่าในห้องมีผ้าแพรเนื้อดีวางอยู่ อันหรูอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเรียกนางกำนัลจากลานนอกเข้ามา “ผู้ใดส่งมา?”
นางกำนัลน้อยคนนั้นคารวะอันหรูอี้อย่างนอบน้อม แล้วกล่าว “เรียนคุณหนู เป็นนางกำนัลข้างกายฮองเฮานำมาให้เพคะ”
“ส่งมาเมื่อใด?”
“ตอนที่ท่านไปออกเพคะ”
อันหรูอี้ยิ่งสงสัย ในวังหลวงแห่งนี้นอกจากนิสัยอันหลิงหลงแล้ว นางก็ไม่ได้รูั้จักผู้อื่นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจุดประสงค์ของเหลิงเยว่
อันหรูอี้ถามต่อ “มีฝากอันใดไว้อีกหรือไม่?”
นางกำนัลในส่ายหน้า “มิมีเพคะ”
เมื่อซ่งจื่ออานมาถึงตำหนักในตอนเที่ยง ก็เห็นอันหรูอี้กำลังนั่งเหม่อมองผ้าแพรสองม้วน นางเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยในสายตาของซ่งจื่ออัน นางช่างดูน่าชังน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“คิดอัดใดอยู่หรือ? ถึงได้เพ่งมองขนาดนั้น” ซ่งจื่ออานนั่งลงตรงข้ามนาง
อันหรูอี้มองผ้าแพร “นี่ยังเห็นมิชัดเจนอยู่แล้วหรือเพคะ ฮองเฮาส่งของขวัญมาให้ ข้าไม่รู้เรื่องธรรมเนียมในวังเลยสักนิด…ต้องส่งของตอบแทนหรือไม่?”
ซ่งจื่ออันเลิกคิ้ว “ข้าจะให้กรมวังส่งของดี ๆ ไปให้ก็พอ”
อันหรูอี้ลังเลใจอยู่บ้าง “ข้า…ควรไปเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือไม่เพคะ?”
ซ่งจื่ออานเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกทั้งดีใจและผิดหวัง สุดก็ส่ายหน้า “เจ้ามีใจอยากปรับตัวให้เข้ากับวังหลวง ข้าดีใจมาก แต่เจ้ามิจำเป็นต้องฝืนใจยอมรับหากเจ้ามิชอบ ข้าจะหาคนมาให้เจ้า นางสามารถช่วยเจ้าจัดการทุกอย่างได้”
ท่าทางจริงจังของชายหนุ่มทำให้คนฟังอดใจเต้นไม่ได้ อันหรูอี้รินชา ส่งไปให้เขาอย่างช้า ๆ “รวมไปถึง… หาหนังสือต้องห้ามมาให้ข้าด้วยหรือไม่?”
ซ่งจื่ออานมองนางแล้วยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเจ้าอยากออกจากวัง บอกข้าตรง ๆ ได้เลย วันมะรืนนี้มีงานโคมไฟ เราไปด้วยกัน”
อันหรูอี้ไม่ได้สนใจความอับอายที่ตนเองถูกจับได้ ยิ้มอ่อนโยนตอบ
“มิใช่ ข้ากำลังคิดเรื่องที่ต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาทุกวัน”
ซ่งจื่ออานหลุดขำทันที สายตาฉายแววลึกซึ้งจ้องไปที่นาง “มิต้องกังวล ในเรือนเหมันต์นี้ เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองได้ แม้แต่ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเอง… ข้าจะขจัดกังวลใจของเจ้าเอง”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “หรูอี้ ไม่ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเจ้าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมากเพียงใด แต่ข้าจะมอบชีวิตที่แตกต่างให้กับเจ้า วังหลวงแห่งนี้…จะมิใช่กรงขังของเจ้า”
อันหรูอี้มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา บุรุษผู้นี้มิรู้ว่าคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางนั้นจะหนักแน่นเพียงใด แต่อันหรูอี้กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมันอย่างชัดเจน
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันหรูอี้ก็ลุกขึ้นยืนทันใด เดินอ้อมไปด้านหลังของซ่งจื่ออาน ยื่นแขนออกไป เหมือนท่าทางที่เขาปกป้องนางอย่างสุดกำลังในจวนอัครมหาเสนาบดี นางก็อยากปกป้องเขาเช่นกัน
“อย่างที่ท่านเอ่ยมา พวกเราก็ยังมิเข้าใจกันดี” อันหรูอี้ เอ่ย “เช่นนั้นเราค่อย ๆ เรียนรู้กันไป ข้ายินดีที่จะลองดู… เพียงแต่ว่าหากวันใดที่ท่านมิเชื่อใจข้าแล้ว ข้าก็จะจากไปโดยไม่ลังเลใจ”
แววตาซ่งจื่ออานวูบไหว ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสีหน้าที่ซับซ้อนก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ จะไม่มีวันนั้น”
‘หรูอี้… เจ้าวางใจเถิด ตราบใดที่ข้า ซ่งจื่ออาน ยังมีชีวิตอยู่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องทนทุกข์ใจแม้แต่น้อย หากเจ้ายินดีที่จะไว้ใจข้าอย่างสุดหัวใจ ข้าก็จะไว้ใจเจ้าอย่างสุดหัวใจเช่นกัน’
อันหรูอี้ หัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้น… ข้ากินข้าวได้หรือยังเพคะ? ท้องข้าหิวมากแล้ว เช้านี้อันหลิงหลงยังมาป่วนข้าอีก แม้แต่น้ำก็ยังมิได้ตกถึงท้องสักอึก”
“เฮ้อ” ซ่งจื่ออาน ถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจ ดึงแขนนางให้เข้ามาใกล้ตนมากยิ่งขึ้น “ดีเสียจริง นี่เพิ่งจะเริ่มต้น เจ้าก็แสดงอาการเอาแต่ใจเสียแล้ว”
อันหรูอี้ อดหัวเราะไม่ได้ ซ่งจื่ออานลุกขึ้นยืน จูงมืออันหรูอี้เดินไปยังห้องโถงหลัก ระหว่างทางก็ตะโกนออกไปด้านนอก “มาเถิด พวกยกอาหารเข้ามา!”
เขาหันหน้ากลับมา ยิ้มให้อันหรูอี้ “ที่เรือนเหมันต์มีครัวเล็ก ๆ เจ้าชอบกินขนมน้ำผึ้งดอกกุ้ยฮวาใช่ไหม? ข้าจะให้พวกเขาทำให้เจ้ากินทุกวัน ข้ามักจะต้องไปอ่านฎีกาที่ตำหนักไท่เหอ หากเจ้าอยากพบข้า ก็ไปที่นั่นได้เลย”
นั่นเป็นขนมที่นางกินบ่อยที่สุดตอนอยู่ที่จวนอัครเสนาบดี จริง ๆ แล้วนางไม่ได้ชอบ แค่รู้สึกว่ามันดูสวยงามราวกับผลึกเท่านั้น แต่ตอนนี้ กลับชอบขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว
นางเติบโตมาโดยไร้มารดา แม้จะมีบิดาแต่ก็ไม่เคยใส่ใจดูแลนางมากนัก ซ้ำคนในจวนยังรังแก ข่มเหงนางแม้แต่บ่าวไพร่ในนั้นก็ยังดูถูกนาง
ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ จะมีผู้ที่จดจำคำพูดของนางเอาไว้ในใจและใส่ใจประคองนางไว้ในอุ้งมือเช่นนี้
อันหรูอี้กุมมือของเขาไว้แน่นขึ้น “เพคะ”
เถาหงกับหลิวลวี่ที่อยู่หน้าประตูต่างยิ้มให้กัน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ความรักของหนุ่มสาวก็ยังคงบริสุทธิ์และร้อนแรงเสมอ
หลังอาหารกลางวัน ซ่งจื่ออานก็ยังอ้อยอิ่งอยู่อีกครู่ก่อนจะจากไป แต่เมื่อเขาจากไปได้ไม่นานก็มีนางกำนัลวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดราชสำนักเรียบง่ายเดินเข้า ใบหน้าเต็มไปด้วยร้อยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
อันหรูอี้ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ท่านคือ?”
“หม่อมฉันคือชิวจื้อ” นางกำนัลกล่าวพร้อมยิ้มจาง ๆ “มาเพื่อช่วยกุ้ยเฟยจัดการปัญหาต่าง ๆ เพคะ”
อันหรูอี้ชะงักไปเล็กน้อย “กุ้ยเฟยงั้นรึ?!”