หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 38 อันหลิงหลง
บทที่ 38 อันหลิงหลง
บทที่ 38 อันหลิงหลง
แม้จะยังเช้าตรู่แต่คนจากเรือนเหมันต์ในจวนเสนาบดีก็มีคนมารับเข้าวังหลวงแล้ว เหล่าคนรับใช้เก่าแก่ต่างยังอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีต่อไป เพื่ออยู่เป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่หลิวซู ณ เรือนเดิมที่เคยอยู่
แน่นอนว่าเถาหงกับหลิวลวี่ก็ตามเข้าวังมาด้วย เดิมทีพวกนางไม่อยากให้อันรูอี้เข้าวัง แต่หลังจากเกิดเรื่องราวเมื่อคืนความสัมพันธ์ระหว่างอันรูอี้กับอันก่วงเหนิงก็ไม่อาจกลับไปเป็นเช่นเดิมได้ การอยู่ด้วยกันไปก็มีแต่จะมองหน้ากันไม่ติด สู้มาอยู่เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ?
แต่ก็ใช่ว่าวังหลวงจะเป็นทางเลือกที่ดีในสายตาของพวกนางเช่นกัน
สำหรับพวกนางแล้ว ซ่งจื่ออานเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ปกครองแผ่นดิน เป็นราชาแห่งดินแดนผืนนี้ ในวังหลังของฮ่องเต้ล้วนมีสตรีงามนับไม่ถ้วน ฮ่องเต้ทำเช่นนี้คงเป็นเพราะการพบกันที่ถนนในวันนั้นจึงรู้สึกสะดุดตากับความงามของคุณหนูพวกนางอยู่บ้าง ซ้ำเมื่อคืนนี้ยังเห็นความสัมพันธ์ที่น่าเวทนาระหว่างบิดากับบุตรีเช่นนั้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าฮ่องเต้สนใจในตัวอันหรูอี้เป็นพิเศษ
แม้กระทั่งเปลี่ยนชื่อตำหนักจงสุ่ย เขาก็ยังสามารถทำเพื่ออันหรูอี้ได้ แต่ความรักของฮ่องเต้ที่นางเคยได้ยินมามักจะไม่ยั่งยืนแล้วซ่งจื่ออานเล่า จะสามารถรักนางได้นานเพียงใด?
หลิวลวี่ประคองอันหรูอี้ให้นั่งลงบนม้านั่ง แล้วกล่าวว่า “คุณหนู ไม่คิดเลยว่าฮ่องเต้จะทรงรับท่านเข้าวังจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่า…”
เถาหงตีไปที่หัวหลิวลวี่ทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “หลิวลวี่ พระราชวังมิใช่จวนอัครมหาเสนาบดี ตำหนักเหมันต์แห่งนี้ก็มิใช่เรือนเหมันต์ของคุณหนู เจ้าต้องระวังปากเจ้าด้วย อย่าได้ให้ผู้อื่นได้ยินเข้า”
หลิวลวี่เบ้ปากเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ นางก็ไม่อยากก่อเรื่องให้คุณหนูของตนเดือดร้อนเช่นกัน
เถาหงถอนหายใจ กล่าวว่า “ที่นี่คือพระราชวัง ถึงแม้พวกเราจะอยู่ในตำหนักของตัวเอง ก็ต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ในวังมีหูและตาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
อันหรูอี้ได้ยินแล้วก็รู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน แต่ก็เข้าใจความหมายของเถาหง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเมื่อคืนนี้ทำให้ผู้คนในวังยังไม่ทันได้ตั้งตัว แม้แต่อันหลิงหลงเองก็คงยังไม่ได้รับข่าว จึงยังไม่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้
แต่เมื่อคนเหล่านั้นปรากฏตัว นางก็ต้องเปิดฉากสงครามรอบใหม่
ซ่งจื่ออานจะทำเพื่อนางได้มากแค่ไหน นางเองก็ยังไม่แน่ใจและเขาจะมีความสามารถทำได้ถึงขั้นนั้นหรือไม่ นางเองก็ยังคงสงสัย
อันหรูอี้เอื้อมมือไปจับที่มือเถาหง ส่วนอีกข้างก็จับที่หลิวลวี่ “เถาหง หลิวลวี่ พวกเจ้าติดตามข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าถือว่าพวกเจ้าเป็นคนในครอบครัวของข้า ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น พวกเราต้องอยู่ด้วยกันให้ดี ดูแลกันและกัน”
เถาหงและหลิวลวี่พยักหน้า สำหรับพวกนางแล้วอันหรูอี้คือเจ้านายที่ดีเสมอมา นางปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเท่าเทียมกันเสมอ แม้ว่าในอดีตอันหรูอี้จะเป็นคนที่นิสัยดุร้าย แต่คุณหนูก็ดีกับพวกนางมาก
“ต่อจากนี้ พวกเราสามคนจะอยู่เคียงข้างกัน…”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอันหรูอี้จึงร้องไห้ออกมา บางทีอาจเป็นเพราะความเศร้าโศกในชาติที่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกว่าในชาตินี้นอกจากสองคนนี้ นางก็ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาอีกแล้ว
หลังจากที่นางร้องไห้จนพอแล้ว เถาหงและหลิวลวี่จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้อันหรูอี้อย่างแผ่วเบา
อันหรูอี้ หัวเราะออกมาเบา ๆ “ที่จริงแล้ว ข้ามิอยากจะร้องไห้เลย”
หลิวลวี่แลบลิ้นหน้าทะเล้น “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นความผิดของพวกบ่าวเอง ที่ทำให้คุณหนูร้องไห้ ต้องโทษพวกบ่าวแล้ว”
ถึงแม้จะแต่งหน้าเบา ๆ แต่พอร้องไห้ไปพักหนึ่งใบหน้าของอันหรูอี้ก็ยังคงเลอะเล็กน้อย เถาหงเห็นก็กลั้นหัวเราะไม่ไหว “คุณหนูคงต้องล้างหน้าแต่งตัวใหม่แล้วล่ะ”
หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว เถาหงก็ไปที่ลานด้านนอก กล่าวกับนางกำนัลในตำหนักด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ และแน่นอนว่านี่ก็เป็นการสำรวจกำนัลในตำหนักไปในตัวด้วย หลังจากนั้นก็ตักน้ำมาให้อันหรูอี้ล้างหน้า
หลังจากที่ร้องไห้มาทั้งคืน อันหรูอี้กำลังจะล้างผมให้สดชื่นเสียหน่อย แต่พออันหรูอี้หันไปมองผมหางม้าของตนเองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “หากโดนผมเช่นนี้ฟาดเข้า เกรงว่าจะดับลมหายใจคนผู้นั้นได้เลยกระมัง”
เถาหงยิ้ม “คุณหนูพูดเล่นแล้ว คุณหนูเจ้าค่ะ ในเมื่อเราเข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว เราก็ควรจะเดินเล่นเพื่อทำความคุ้นเคยสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าค่ะ ? ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว”
อันหรูอี้ พยักหน้า “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ตำหนักเหมันต์แห่งนี้กว้างใหญ่มาก กว้างเป็นสองเท่าของเรือนเหมันต์ในจวนอัครเสนาบดี ด้านหลังมีสวนดอกไม้ที่มี ภูเขาหินจำลอง ศาลาพักผ่อน ด้านหน้าเป็นห้องโถงกลาง มีห้องนอนและห้องหับต่าง ๆ
ม่านลุกปัดแพรสีเขียวมรกต พลิ้วไหวรับสายลมในยามเช้า ศาลากลางสระน้ำที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นดอกบัว เชื่อมต่อด้วยระเบียงทางเดินไปสู่หอคอยสูงตระหง่าน หากเป็นบ้านเรือนราษฎรธรรมดาคงต้องเป็นผู้ที่ฐานะมั่งคั่งอย่างยิ่ง จึงจะสร้างสวนเช่นนี้ได้ เมื่อได้ก้าวเดินบนแผ่นหินสีเขียวขจีที่ทอดยาว ความหดหู่ใจตลอดคืนก็พลันมลายหายไปสิ้น
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางกำลังจะมีชีวิตใหม่ อันหรูอี้เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพที่ซ่งจื่ออานปกป้องนางยังคงอยู่ในความทรงจำ ยามนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็มาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นนางจะลองดูสักครั้ง
หากวันหนึ่งรักสิ้นบุญหมด ก่อนอื่นนางเพียงจัดการส่งสาวใช้สองคนออกไป แล้วตนเองค่อยตามไปภายหลังก็ไม่สาย
…
แม้สวนในตำหนักเหมันต์แห่งนี้จะกว้างใหญ่ แต่เมื่อมองนาน ๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกน่าเบื่อ
แต่ทว่า หากนางรู้ล่วงหน้าว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนเล็กส่วนตัวแล้ว จะต้องได้ยินเสียงคุ้นเคยดังก้องเช่นนี้ สู้นางกลับไปนอนอยู่ท่ามกลางสวนภูเขาจำลองที่น่าเบื่อพวกนั้นยังจะดีเสียกว่า
“สตรีชั้นต่ำที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ บังอาจให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้ได้เช่นไร”
น้ำเสียงที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่อันหลิงหลงแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
อันหรูอี้รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของอันหลิงหลง แต่ในเมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดีต่างกันแค่ว่าจะพบเจอเร็วหรือช้าเท่านั้น
เถาหงมองอันหรูอี้ด้วยความเป็นห่วง ในตอนนี้อันหรูอี้มีเพียงความโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่ไร้ยศศักดิ์ แม้แต่คนในวังที่มีชาติตระกูลต่ำต้อยที่สุดก็ยังสูงส่งกว่านาง
สิ่งที่อันหลิงหลงกล่าวออกมาเป็นความจริง
และวังหลวงก็เป็นสถานที่ที่มีคนเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยและยกย่องคนผู้สูงส่ง
นางกำนัลข้างกายพยายามเอ่ยเตือนเบา ๆ แต่ทว่าอันหลิงหลงกลับยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม “ผู้หญิงชั้นต่ำนั่นมันเป็นตัวอันใดกัน? หลอกล่อฮ่องเต้ได้ชั่วขณะ คิดว่าจะหลอกล่อไปได้ตลอดชีวิตงั้นรึ? นางจิ้งจอก!”
เสียงเสียงดังถึงเพียงนี้ คงได้ยินกันทั้งตำหนักแล้วกระมัง
อันหรูอี้รู้สึกขบขันเล็กน้อย คงคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้นางต้องอับอาย แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วคนที่จะต้องอับอายกลับเป็นอันหลิงหลงแทน ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้อันหลิงหลงทำตัวเหิมเกริมในตำหนักของนางได้เช่นกัน!
อันหรูอี้พาเถาหงและหลิวลวี่สองสาวใช้ออกมา พูดว่า “อันหลิงหลง ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงบุตรีของอัครมหาเสนาบดีนี่คือมารยาทที่เจ้าพึงแสดงออกมา?”
บนใบหน้าอันหลิงหลงฉายแววเย็นชาขึ้นมาชั่ววูบ เพียงสนมในวังก็ก่อสร้างปัญหาให้นางมากพออยู่แล้ว อันรูอี้ยังจะมาแย่งความโปรดปรานกับนางอีก
ทั้ง ๆ ที่การคัดเลือกสนมผ่านไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอันหรูอี้ใช้วิชามารยาอันใด ถึงได้เข้ามาอยู่ในวังได้อย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ ซ้ำยังยังได้รับพระราชทานตำหนักจงสุ่ยอีกต่างหาก
ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อไปแล้ว แต่ที่นี่ก็คือตำหนักจงสุ่ย เป็นที่ประทับของพระสนมชั้นกุ้ยเฟยและสูงกว่านั้นเท่านั้น
เมื่อคิดถึงถึงตรงนี้ อันหลิงหลงก็ยิ่งอึดอัดใจมากขึ้น “เจ้ากำลังเอ่ยกับผู้ใดอยู่อันหรูอี้ เจ้าเป็นเพียงสตรีชั้นต่ำที่ไร้ชาติกำเนิด จะมาเทียบชั้นกับข้าได้เช่นไร”
อันหรูอี้ยิ้มเยาะ “ดีจริง คนไร้ชาติกำเนิดอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยาเช่นเจ้า จะเอาอันใดมาเทียบกับคุณหนูใหญ่เช่นข้าเล่า”
อันหลิงหลงหัวเราะเสียงดัง “หึ อันหรูอี้… ถึงแม้ข้าจะเป็นบุตรีที่เกิดจาาอนุภรรยาแล้วมันอย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือพระราชวัง ฐานะของข้าสูงกว่าเจ้ายิ่งนัก เมื่อเห็นหน้าข้า เจ้าก็ต้องคำนับ”
คำพูดของอันหลิงหลงทำให้อันหรูอี้ประหลาดใจไม่น้อย ดูเหมือนช่วงนี้อันหลิงหลงไม่เพียงแต่จะอดทนเก่ง แม้แต่ฝีปากก็ยังคมคายยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าอันหรูอี้เงียบไป อันหลิงหลงก็ยิ่งได้ใจ “หึ คุณหนูใหญ่จากจวนอัครมหาเสนาบดีผู้เคร่งครัดในเรื่องมารยาทเป็นที่สุดเช่นเจ้า เหตุใดยามนี้จึงมิแสดงมารยาทของเจ้าออกมาให้ได้เป็นที่ประจักษ์เสียหน่อยเล่า?”
อันหรูอี้เม้มริมฝีปาก “อันหลิงหลง ข้ากล้าคำนับ เพียงแต่มิรู้ว่าเจ้าจะกล้ารับหรือไม่”