หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 37 ตำหนักเหมันต์
บทที่ 37 ตำหนักเหมันต์
บทที่ 37 ตำหนักเหมันต์
แม้อันหรูอี้จะไม่ชอบหวังเสวี่ยเฟิง แต่นางก็ยังมีความรู้สึกต่ออันก่วงเหนิงอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นนางคงไม่โกรธและผิดหวังเช่นนี้
อันก่วงเหนิงยังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง แล้วนางจะยังยืนอยู่ได้อย่างไร อันหรูอี้จึงคุกเข่าลงตาม แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจและสบายใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดใหม่!
ซ่งจื่ออานตั้งใจจะช่วยอันหรูอี้ระบายความในใจ แต่กลับกลายเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี
“พอแล้ว ลุกขึ้นมาเถิด”
หัวใจของอัครเสนาบดีเต้นรัว ฮ่องเต้ผู้นี้ยังเยาว์วัย แต่คำพูดและการกระทำกลับดูสุขุมเยือกเย็น แม้ว่าในอดีตเขาจะเคยช่วยเหลือฮ่องเต้ไว้มากมาย แต่เขาก็ไม่กล้าถามฮ่องเต้ต่อหน้าทุกคนว่า เหตุใดถึงได้มาอยู่ในห้องนอนของบุตรสาวเขาในยามวิกาลเช่นนี้
ซ่งจื่ออานจับมืออันหรูอี้แล้วพูดกับอัครเสนาบดีว่า “เราได้ยินมาว่า บทเพลงก่วงหลิงสานที่บุตรสาวใหญ่ของท่านบรรเลงนั้น เลื่องลือไปทั่วหล้า จึงได้รบกวนในยามวิกาลเช่นนี้ ขอท่านอัครเสนาบดีอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองบุตรสาวเลย”
ช่างเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นจริง ๆ แต่ผู้ที่อยู่ตรงนั้นก็ทำอันใดกับเขาไม่ได้
การได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ถือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างยิ่ง แม้จะไม่รู้ว่าอันหรูอี้รู้จักกับฮ่องเต้ได้อย่างไร แต่ตราบใดที่สามารถนำเกียรติมาสู่ตระกูลได้ไม่ว่าจะรู้จักกันอย่างไรก็ไม่สำคัญ
อันก่วงเหนิงลุกขึ้นยืนด้วยอารมณ์ที่สับสน แต่กลับสบตากับดวงตาเย็นชาและผิดหวังของอันหรูอี้ ใจหนึ่งก็หวั่นไหวแต่อีกใจก็ยังคงยืนกรานในความถูกต้องของตน
เขาไม่ได้ทำผิด ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยทำสิ่งใดผิดเลย
เรื่องในจวนต่อให้เขาจะลำเอียงไปบ้าง แต่ก็เพราะถูกคนอื่นบังตา ส่วนเรื่องที่บุตรสาวใหญ่ลักลอบพบผู้ชาย การที่เขาจะดุด่าบ้างก็ไม่เห็นแปลก ส่วนเรื่องอันหนิง…
เพียงแค่เห็นแววตาของเขา อันหรูอี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางแค่นเสียงเยาะเย้ย แล้วหันไปมองเถาหง “เถาหง เอาจดหมายมา”
เถาหงพยักหน้า มองอันกjวงเหนิงแวบหนึ่ง แล้วหยิบจดหมายที่อยู่ในมือออกมา
อันหรูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ยื่นจดหมายด้วยสองมือ กล่าวว่า
“นี่คือของที่ป้าหลี่และอันหนิงมอบให้ท่านก่อนจากไป ป้าหลี่ฝากลูกมา่บอกท่านประโยคหนึ่งว่า ในฐานะอัครมหาเสนาบดีผู้สูงศักดิ์เช่นท่าน ควรที่จะความกล้าหาญ มีจุดยืน รู้จักแยกแยะถูกผิดให้เป็น…”
สายตาของอันหรูอี้เหลือบไปมองหวังเสวี่ยเฟิง “อย่าเชื่อคนง่ายนัก”
อันก่วงเหนิงสูดหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าแดงก่ำอยากจะลงมือกับอันหรูอี้แต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายจึงลากหวังเสวี่ยเฟิงออกมาและตบไปหน้านางอย่างไม่ยั้งแรงสองครั้ง
“สารเลว!” อันก่วงเหนิงได้แต่ระบายใส่นาง “เจ้าควรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียด!”
ช่างน่าขันสิ้นดี
ซ่งจื่ออันสูดหายใจเข้าลึก ๆ หัวเราะเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปจับมืออันหรูอี้ “เรายังมีเรื่องต้องปรึกษาหารือกับคุณหนูใหญ่ ขอตัวก่อน ท่านอัครเสนาบดีจะว่าอย่างไร?”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสออกมาแล้วไม่ว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจะเต็มใจหรือไม่ ซ่งจื่ออานก็ตั้งใจจะพาตัวนางไปแน่นอน
แน่นอนว่าอันหรูอี้เองก็ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว จวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ มันช่างหนาวเหน็บเกินไป
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งคืน แสงไฟในตำหนักเฟยซวงก็ยังคงสว่างไสว
อันหรูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากจะหนีออกจากวังหลวงก็คงเป็นไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นคนดึงเขาเอาไว้เอง
อันหรูอี้เงียบไปตลอด นางกำลังคิดถึงวังที่เห็นระหว่างทาง มันใหญ่โตมโหฬาร สง่างาม ราวกับเดินไปทั้งชีวิตก็ไม่ถึงจุดสิ้นสุด แต่นางกลับหุนหันพลันแล่น ถูกความโกรธแค้นสองชาติทำให้มึนงงถึงกับส่งตัวเองเข้ามาติดกับ
ซ่งจื่ออานนั่งมองอันหรูอี้อย่างครุ่นคิด ความผิดหวังบนใบหน้าของนางชัดเจนเกินไป ทำให้ซ่งจื่ออานนึกถึงสีหน้าดีใจอย่างห้ามไม่อยู่ของอันก่วงเหนิงตอนที่พวกเขาออกจากจวนอัครมหาเสนาบดี
อันก่วงเหนิงอาจจะหูเบา ทำตัวเย็นชาไร้ความปรานี บางครั้งก็โหดร้ายทารุณบ้าง แต่เขาไม่มีความรักความเมตตาให้บุตรสาวตนเองจริงหรือ? ในฐานะอัครมหาเสนาบดี เขาไร้ความสามารถกับเรื่องในจวนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขายังกลัวว่าอันหรูอี้จะโกรธอีก เขายอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่พานางเข้าวังมาโดยพลการ นางจะโกรธเขาหรือไม่?
เขาไม่ต้องการบังคับสตรี เรื่องเช่นนี้มันชั่วช้าเกินไป ผู้ปกครองประเทศชาติจะทำเรื่องไร้ยางอายแบบนั้นได้อย่างไร?
เพียงแต่…สตรีผู้นี้ชื่อ ‘อันหรูอี้’
ซ่งจื่ออานถอนหายใจ เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่หม่นหมองเล็กน้อย “เจ้า… เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่”
อันหรูอี้เงยหน้ามองซ่งจื่ออัน ราวกับเพิ่งรู้สึกตัว นางเผลตอบกลับอย่างเชื่องช้า “โกรธท่านเรื่องด้วยเรื่องอันใด ข้าเหนื่อย ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้หรือไม่?”
ในฐานะฮ่องเต้การพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างยิ่งสำหรับสตรีผู้หนึ่งแล้ว
ซ่งจื่ออันมองอันหรูอี้ที่ดูสับสน จู่ ๆ เขาก็เหมือนถูกมนต์สะกดขยับเข้าไปใกล้นาง
อันหรูอี้จ้องมองซ่งจื่ออันอย่างเหม่อลอย มองดูบุรุษผู้นี้ที่เคยปรากฏตัวในความฝัน คนที่คอยปกป้องนางจากมรสุมชีวิต ดูเหมือนว่าตอนนี้หัวใจของนางจะหวั่นไหวไปกับเขาเสียแล้ว…
ทว่าในชั่วขณะที่ทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน อันหรูอี้ก้หันหน้าหนี ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านก็สลายหายไปราวกับฟองสบู่ ทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ไม่เกิดขึ้น
…
ราตรีผ่านพ้นไป รุ่งอรุณก็เข้ามาเยือน
บรรยากาศวังหลังตอนนี้ราวกับน้ำมันเดือด และตำหนักที่กำลังเดือดที่สุดในตอนนี้ คือตำหนักคุนหนิงของเหลิงเยว่
เล่งเยว่ถามด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าบอกว่าฮ่องเต้พาบุตรสาวคนโตของจวนอัครเสนาบดีเข้าวัง แล้วยังเปลี่ยนชื่อ ‘ตำหนักจงสุ่ย’เป็นตำหนักเหมันต์มอบให้กับนางด้วยงั้นรึ?”
นางกำนัลก้มหน้าลงต่ำ “กราบทูลฮองเฮา เรื่องนี้เป็นความจริงเพค่ะ เดิมทีหม่อมฉันก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่เช้านี้หลังจากเสด็จออกว่าราชการแล้ว ฮ่องเต้ก็เสด็จไปที่ตำหนักเหมันต์เพคะ”
เหลิงเยว่แค่นเสียงเย็นชา “มิรู้ว่าจวนอัครเสนาบดีเอาสิ่งใดกรอกหูฮ่องเต้กันแน่ ถึงทำให้ฮ่องเต้เป็นห่วงเป็นใยถึงเพียงนี้”
“ฮองเฮาทรงรับสั่งอย่างไรดีเพคะ?”
เหลิงเยว่มองเล็บที่ทาสีแดงของตัวเอง ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ดวงตาเป็นประกายกร้าว “เข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว ข้ายังต้องลงมือเองอีกหรือ?”
“มีผู้จับตาดูนางอยู่เต็มไปหมด ส่วนน้องสาวของนาง หึ ภายนอกดูอ่อนโยน แต่จริง ๆ แล้วร้ายกาจยิ่งกว่างูพิษ ปล่อยให้พวกมันกัดกันเองก็แล้วกัน”
นางกำนัลเดินตามหลังเหลิงเยว่เอ่ยสนับสนุนว่า “ฮองเฮาตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันช่างโง่เขลานัก”
“ไป เอาผ้าไหมเนื้อดีที่ฮ่องเต้มอบให้เมื่อปีก่อนไปสองพับ แล้วแอบกระซิบบอกข่าวนี้ให้อันหลิงหลง ส่วนนางจะทำอย่างไร นางย่อมรู้อยู่แล้ว”
“เพคะ หม่อมฉันขอตัว”
ส่วนทางด้านตำหนักเหมันต์ ซึ่งก็คือตำหนักจงสุ่ยเดิมอันหรูอี้กำลังก้มหน้าส่วนซ่งจื่ออานนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ตำหนักเหมันต์ในวังหลวงแห่งนี้ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี แม้ว่าจะมองไม่เห็นนอกวัง แต่ก็มองเห็นตำหนักเฟยซวงที่เป็นตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ได้ชัดเจน
ซ่งจื่ออานนึกถึงเรื่องเมื่อคืนจึงค่อย ๆ ยิ้มออกมา “การได้นั่งเฉย ๆ เช่นนี้ก็ไม่เลวนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าต้องไปเข้าเฝ้าแล้ว”
“เข้าเฝ้า?” อันหรูอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าเกือบลืมไปแล้ว ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ ข้าทำให้ท่านเสียเวลาแล้ว”
ซ่งจื่ออันส่ายหน้า เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ในที่แห่งนี้ เจ้าเรียกเราว่าจื่ออานได้”
อันหรูอี้ลืมตาขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นการขยับเพียงนิดเดียวแต่ซ่งจื่ออานก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของนาง เขาจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ามิต้องกังวล ในตำหนักเหมันต์นี้จะไม่มีผู้ใดทำอันใดเจ้าได้”